ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 55
http://pantip.com/topic/30750596
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 56
สีสันแห่งความหมองตรมเข้าครอบคลุมตำหนักของมหิตาเทวี พระนางผู้ซึ่งเพิ่งตกพระโลหิตประทับนิ่งอยู่บนแท่นบรรทม ดวงพักตร์ซีดขาววรกายเย็นเฉียบ มีเจ้านาคราชประทับอยู่ข้างแท่นกุมหัตถ์ชายาไว้หลวมๆ ดวงเนตรยังจ้องไปที่วงพักตร์งามทว่าซีดเซียวแววเนตรนั้นฉายความสงสารนัก เพลานี้ทั้งสองมิได้อยู่กันตามลำพัง ในห้องบรรทมนั้นวุ่นวายไปด้วยผู้คน สมุนไพรร้อนถูกนำใส่หม้อดินมาอบให้เกิดความอบอุ่น บานบัญชรถูกปิดไว้มิให้ลมพัดเข้าออก ด้วยเกรงจะทำให้อาการของมหิตาเทวีทรุดหนักลง ใกล้กันนั้นมีหม้อโอสถที่เพิ่งถูกยกเข้ามา รอเวลาให้เย็นแล้วจึงจะปลุกพระเทวีขึ้นมาเสวย
“ท่านภูวิษะ ออกไปก่อนเถอะเพคะ” เป็นคุณท้าวจันทร์หอมที่กราบทูล อีกเดี๋ยวนางตั้งใจจะอบควันกับพระโยนีเพื่อรักษากล่องพระสกุล[1-มดลูก] จึงไม่เหมาะที่จะมีบุรุษใดอยู่ที่นี่ แม้จะเป็นพระสวามีก็มิบังควร
“ให้เราอยู่กับนางอีกสักครู่เถิดคุณท้าว”
“เสด็จพี่...” สุรเสียงอ่อนล้าเรียกหาผู้เป็นสวามี
“ข้าอยู่นี่ อย่ากลัวไป”
“ลูก...ลูกของเรา น้อง..น้อง...” ยังตรัสไม่ทันจบประโยคดีก็กรรแสงออกมา
“นี่อาจจะยังไม่ถึงเวลาของเขา อย่าได้เศร้าเสียใจไป” ว่าแล้วจึงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบไล้วงพักตร์หวานล้ำนั้น
“น้องไม่ดีเอง...”
“ไม่เป็นไร” ภูวิษะเจ้าตรัสซ้ำทุกครั้งที่พระชายาตรัสโทษองค์เอง
“ครรภ์ยังอ่อนแบบนี้ดูยากนักหม่อมฉันเองก็บกพร่องไม่ทราบว่าทรงตั้งพระครรภ์ มิเช่นนั้นจะไม่ยอมให้เสด็จไปไหน” คุณท้าวจันทร์หอมมีสีหน้าเศร้าสร้อยนัก มหิตาเทวีได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งทรงกรรแสง
“คุณท้าวมันไม่ใช่ความผิดของใคร มิต้องหาตัวผู้กระทำผิด เลือดเนื้อของเรายังไม่ถึงเวลากำเนิดก็เท่านั้น” เมื่อได้ยินรับสั่งคุณท้าวจันทร์หอมจึงปลีกตัวไป ปล่อยให้เจ้านาคราชปลอบประโลมพระชายาไปตามลำพัง
“พี่ไม่ได้โกรธเจ้า” ทรงตรัสเพียงสั้นๆ แล้วยกหัตถ์ลูบพระนลาฏชายา
“พักเถิด เดี๋ยวคุณท้าวจะให้ยาเจ้าแล้ว” ทรงตรัสกับมหิตาเทวีอีกสองสามคำ แล้วเสด็จออกจากห้องบรรทมไปโดยมีหญิงสาวจากอนาคตกาลเดินตามไปห่างๆ แต่ไม่มีใครมองเห็นหล่อน
“เจ้าภูคะ....” หล่อนเรียกเมื่อเห็นเขาหยุดเดิน ภูวิษะเจ้าไม่มีท่าทีจะได้ยินเสียงเรียก
วรองค์สง่าประทับนิ่งเม้มโอษฐ์แน่น ดวงพักตร์แม้มิได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา แต่แววเนตรนั้นหม่นหมองไม่น้อย แม้ไม่มีใครบอกเคียงฟ้าก็ดูออกว่าเจ้านาคราชเสียใจเพียงใด หล่อนอยากปลอบโยนเขาแต่ติดที่ว่าตนเองเป็นเพียงรูปเงาไม่สามารถสัมผัสใครหรือสิ่งใดได้
“นี่อาจเป็นสิ่งที่มหิตาต้องชดใช้แก่กุสุมาลย์....” เป็นดำรัสเบาๆ คล้ายถ้อยรำพึง
“อโหสิเถิดหนา...นางแลกด้วยชีวิตของลูกเราแล้ว” หญิงสาวฟังแล้วยืนตัวเย็นเฉียบ ก้อนสะอื้นจุกขึ้นมาในลำคอ แล้วสองตาก็คลอด้วยน้ำใส
“ค่ะ...มันคงจะเป็นอย่างนั้น ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต” หล่อนตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่..ลูกในท้องไม่รู้เรื่องด้วย” เคียงฟ้ายกมือขึ้นรูปท้องตนเองราวกับเป็นหล่อนที่แท้งลูก
“คงเป็นกรรมของเรากับนาง...” ตรัสถึงประโยคนี้ก็ทรงถอนพระทัยออกมาโดยแรง ภูวิษะเจ้าประทับนิ่งอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่งก็เสด็จดำเนินไป ทิ้งให้เคียงฟ้านั่งทอดถอนหายใจอยู่เดียวดาย
“นั่นสินะ...กรรมที่คุณกับลูกต้องมาเกี่ยวข้อง” แล้วน้ำตาก็ทะลักออกมาจากสองตา แม้หล่อนไม่เคยแต่งงาน แต่ความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่เพิ่งเสียลูกไปเป็นอย่างไรนั้น หล่อนได้รับกระแสนี้จากมหิตาเทวีอย่างเต็มเปี่ยม
หลายวันผ่านไปมหิตาเทวีมีพระอาการดีขึ้น แต่หมอหลวงยังไม่อนุญาตให้พระสวามีภูวิษะเจ้าเข้ามาร่วมห้องบรรทมได้ตลอดทั้งเดือน เนื่องจากการรักษาอาการจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการรมสมุนไพรด้วย เคียงฟ้าเฝ้าดูอาการของมหิตาเทวีอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วงแล้ว หล่อนก็ตามเสด็จนาคเจ้าไปที่ต่างๆ ซึ่งก็พบว่ากิจกรรมส่วนใหญ่หมดไปกับการวางแผนการรบ นอกจากนั้นมิได้ไปไหนอีกนอกจากไปภาวนาจิตที่นาคาลัย หรือนานๆ ทีก็ออกไปที่ตลาดล่างบ้าง
“มหิตา...ฉันไม่เห็นว่าเจ้าภูมีพฤติกรรมน่าสงสารว่าจะนอกใจเธอเลย” หล่อนละคำว่าหรือเพราะพี่กุสุมาลย์ไม่อยู่แล้วกันเล่า แต่เพียงครู่เดียวก็สลัดศรีษะไล่ความคิดนั้นทิ้ง หล่อนพยายามทำใจเป็นกลางไม่เอนเอียงไปตามที่มหิตาเทวีดำริ
การตกพระโลหิตครั้งนี้มิใช่เพียงสร้างความเสียพระทัยให้กับเทวีน้อยเท่านั้น แต่ยังเพิ่มพระอาการวิตกและดำริมากจนซึมเศร้า อาจเป็นเพราะพระวรกายยังไม่ปรกตินักก็เป็นได้ เพียงแต่มหิตาเทวีมิเคยตรัสสิ่งที่เฝ้าดำริเฝ้าวิตกอยู่ในพระทัยให้พระสวามีสดับเลย
เกือบสามเดือนพระอาการจึงเป็นปกติ วันเวลาแห่งศึกสงครามถูกกำหนดฤกษ์ขึ้นแล้ว นับว่าช้ากว่าที่ควรไปเสียด้วยซ้ำ ตามฤกษ์เดิมควรจะเดินทางตั้งแต่แรมที่แล้ว ทว่าสงครามมิใช่ใครเร็วใครได้ดั่งเช่นการค้าขาย หากรั้งรอดูท่าทีเมืองพะโคว่าจะสนับสนุนปาลปุระอย่างออกหน้าหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วการเตรียมจำนวนไพร่พลก็ต้องเปลี่ยนไป จำนวนเสบียงก็เช่นกัน แต่เมื่อประเมินจนแน่ใจในสภาพการณ์แล้วจึงได้กำหนดฤกษ์ตีเมืองปาล
“ว่ายังไงนะ อีกสิบวันอย่างนั้นรึ? ไฉนกระชั้นเช่นนี้” มหิตาเทวีอุทานออกมาหลังจากสดับข่าวจากศรีดาราผู้เป็นบุตรีขุนพลมหัทธนะ แน่นนอนว่าข่าวนี้นางรู้จากบิดาของนางจึงมิใช่เรื่องเลื่อนลอย
“กะทันหันเพียงนี้ แล้วข้าจะทำเช่นใดดี” แน่งน้อยโฉมงามทรงพัตราภรณ์งดงามสมเป็นขัตติยะนารี แต่ภายในพระทัยนั้นไม่ต่างกับสตรีทั่วไปที่หึงหวงสามี
“อีกแค่ 10 วันเท่านั้น หรือข้าควรจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ ทูลขอร้องอีกครั้ง” ตรัสพลางเสด็จดำเนินไปมาด้วยท่าทางว้าวุ่น
“โถ...อย่าเลยเพคะ” ศรีดารายังจำภาพที่เทวีแห่งนางพลัดตกบันไดตำหนักหลวงได้ชัดเจนจึงร้องห้าม
“ประเดี๋ยวพระแม่เจ้าจะพิโรธเอานะเพคะ อีกอย่างเมื่อฤกษ์ศึกกำหนดแล้ว จะไปทูลขอแบบนี้จะกลายเป็นที่ครหาได้”
“นั่นสิเพคะ ทรงสงบใจเถิด ไม่นักท่านภูวิษะจะนำชัยกลับสู่จุมภะ” ปทุมมาเป็นอีกผู้หนึ่งที่ทูลทัดทาน
“ก็นั่นแล...พี่ปทุมมา หากทรงกำชัยกลับมา มีหวังจะได้นางหญิงเมืองปาลกลับมาเป็นบรรณาการ ข้าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ข้าไม่มีวันรับนางหญิงเมืองปาลมาร่วมตำหนักเด็ดขาด”
“คงไม่หรอกเพคะ อย่างไรนางก็เป็นเจ้าหญิง คงจะสร้างตำหนักใหม่ให้”
“พี่ศรีดารา!!” ดวงเนตรงามเขม่นมายังนางคนสนิททันที ศรีดารารู้ตัวว่าพลาดจึงรีบปิดปาก
“อย่าไปสนใจแม่ศรีดาราเลยเพคะ หม่อมฉันว่าพระแม่เจ้าเข้าพระทัยถึงพระทัยของพระเทวีดี เมื่อถึงเวลาคงจะช่วยทูลทัดทานมิให้ถวายเจ้าหญิงเมืองปาลให้แก่ท่านภูวิษะเป็นแน่เพคะ”
“พี่ปทุมมา คิดอย่างนั้นรึ? แล้วพระบาทเจ้าเล่า? ท่านจะทรงยอมตามที่ทูลขอหรือไม่ เสด็จพ่ออาจจะเห็นว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลของสตรีก็เป็นได้” นางกำนัลคนสนิททั้งสองเงียบเสียงไป มิกล้าวิพากษ์พระดำริของพระบาทเจ้า
“ถ้าอย่างนั้น...ทูลขอท่านภูวิษะตรงๆ ดีไหมเพคะ?” เมื่อฟังศรีดาราเสนอความคิดแล้ว สีพระพักตร์มหิตาเทวีกลับอ่อนล้าลงทันที ทรงหยุดดำเนินไปมาอย่างเมื่อครู่แล้วประทับลงบนพระแท่น
“เสด็จพี่...จะเห็นเราเป็นหญิงน่ารำคาญหรือไม่”
“ทรงเป็นคู่บารมีกัน การกล่าวความนัยคงมิใช่เรื่องผิดแปลกอันใดกระมังเพคะ”
“ศรีดารา เจ้าก็พูดไป”
“เอ๊ะ? หรือมีวิธีดีกว่านี้เล่าปทุมมา”
“แต่ฉันเห็นดีด้วยนะ พูดกับเจ้าภูเถอะมหิตา” เคียงฟ้าที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมา แม้ไม่มีใครได้ยินหล่อน แต่หญิงสาวคิดว่ากระแสนี้น่าจะส่งถึงมหิตาเทวีได้
“ลองดูนะเพคะ ท่านภูวิษะรักพระเทวีปานนี้ คงจะไม่ขัดคำขอ” ศรีดาราสนับสนุน
“...ข้าจะลองดู”
“ดีแล้วล่ะ” เคียงฟ้าตอบอย่างโล่งใจ แต่หล่อนหารู้ไม่ว่ามันเป็นเพียงความสบายใจแค่ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 56-57
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 56
สีสันแห่งความหมองตรมเข้าครอบคลุมตำหนักของมหิตาเทวี พระนางผู้ซึ่งเพิ่งตกพระโลหิตประทับนิ่งอยู่บนแท่นบรรทม ดวงพักตร์ซีดขาววรกายเย็นเฉียบ มีเจ้านาคราชประทับอยู่ข้างแท่นกุมหัตถ์ชายาไว้หลวมๆ ดวงเนตรยังจ้องไปที่วงพักตร์งามทว่าซีดเซียวแววเนตรนั้นฉายความสงสารนัก เพลานี้ทั้งสองมิได้อยู่กันตามลำพัง ในห้องบรรทมนั้นวุ่นวายไปด้วยผู้คน สมุนไพรร้อนถูกนำใส่หม้อดินมาอบให้เกิดความอบอุ่น บานบัญชรถูกปิดไว้มิให้ลมพัดเข้าออก ด้วยเกรงจะทำให้อาการของมหิตาเทวีทรุดหนักลง ใกล้กันนั้นมีหม้อโอสถที่เพิ่งถูกยกเข้ามา รอเวลาให้เย็นแล้วจึงจะปลุกพระเทวีขึ้นมาเสวย
“ท่านภูวิษะ ออกไปก่อนเถอะเพคะ” เป็นคุณท้าวจันทร์หอมที่กราบทูล อีกเดี๋ยวนางตั้งใจจะอบควันกับพระโยนีเพื่อรักษากล่องพระสกุล[1-มดลูก] จึงไม่เหมาะที่จะมีบุรุษใดอยู่ที่นี่ แม้จะเป็นพระสวามีก็มิบังควร
“ให้เราอยู่กับนางอีกสักครู่เถิดคุณท้าว”
“เสด็จพี่...” สุรเสียงอ่อนล้าเรียกหาผู้เป็นสวามี
“ข้าอยู่นี่ อย่ากลัวไป”
“ลูก...ลูกของเรา น้อง..น้อง...” ยังตรัสไม่ทันจบประโยคดีก็กรรแสงออกมา
“นี่อาจจะยังไม่ถึงเวลาของเขา อย่าได้เศร้าเสียใจไป” ว่าแล้วจึงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบไล้วงพักตร์หวานล้ำนั้น
“น้องไม่ดีเอง...”
“ไม่เป็นไร” ภูวิษะเจ้าตรัสซ้ำทุกครั้งที่พระชายาตรัสโทษองค์เอง
“ครรภ์ยังอ่อนแบบนี้ดูยากนักหม่อมฉันเองก็บกพร่องไม่ทราบว่าทรงตั้งพระครรภ์ มิเช่นนั้นจะไม่ยอมให้เสด็จไปไหน” คุณท้าวจันทร์หอมมีสีหน้าเศร้าสร้อยนัก มหิตาเทวีได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งทรงกรรแสง
“คุณท้าวมันไม่ใช่ความผิดของใคร มิต้องหาตัวผู้กระทำผิด เลือดเนื้อของเรายังไม่ถึงเวลากำเนิดก็เท่านั้น” เมื่อได้ยินรับสั่งคุณท้าวจันทร์หอมจึงปลีกตัวไป ปล่อยให้เจ้านาคราชปลอบประโลมพระชายาไปตามลำพัง
“พี่ไม่ได้โกรธเจ้า” ทรงตรัสเพียงสั้นๆ แล้วยกหัตถ์ลูบพระนลาฏชายา
“พักเถิด เดี๋ยวคุณท้าวจะให้ยาเจ้าแล้ว” ทรงตรัสกับมหิตาเทวีอีกสองสามคำ แล้วเสด็จออกจากห้องบรรทมไปโดยมีหญิงสาวจากอนาคตกาลเดินตามไปห่างๆ แต่ไม่มีใครมองเห็นหล่อน
“เจ้าภูคะ....” หล่อนเรียกเมื่อเห็นเขาหยุดเดิน ภูวิษะเจ้าไม่มีท่าทีจะได้ยินเสียงเรียก
วรองค์สง่าประทับนิ่งเม้มโอษฐ์แน่น ดวงพักตร์แม้มิได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา แต่แววเนตรนั้นหม่นหมองไม่น้อย แม้ไม่มีใครบอกเคียงฟ้าก็ดูออกว่าเจ้านาคราชเสียใจเพียงใด หล่อนอยากปลอบโยนเขาแต่ติดที่ว่าตนเองเป็นเพียงรูปเงาไม่สามารถสัมผัสใครหรือสิ่งใดได้
“นี่อาจเป็นสิ่งที่มหิตาต้องชดใช้แก่กุสุมาลย์....” เป็นดำรัสเบาๆ คล้ายถ้อยรำพึง
“อโหสิเถิดหนา...นางแลกด้วยชีวิตของลูกเราแล้ว” หญิงสาวฟังแล้วยืนตัวเย็นเฉียบ ก้อนสะอื้นจุกขึ้นมาในลำคอ แล้วสองตาก็คลอด้วยน้ำใส
“ค่ะ...มันคงจะเป็นอย่างนั้น ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต” หล่อนตอบด้วยเสียงสั่นเครือ “แต่..ลูกในท้องไม่รู้เรื่องด้วย” เคียงฟ้ายกมือขึ้นรูปท้องตนเองราวกับเป็นหล่อนที่แท้งลูก
“คงเป็นกรรมของเรากับนาง...” ตรัสถึงประโยคนี้ก็ทรงถอนพระทัยออกมาโดยแรง ภูวิษะเจ้าประทับนิ่งอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่งก็เสด็จดำเนินไป ทิ้งให้เคียงฟ้านั่งทอดถอนหายใจอยู่เดียวดาย
“นั่นสินะ...กรรมที่คุณกับลูกต้องมาเกี่ยวข้อง” แล้วน้ำตาก็ทะลักออกมาจากสองตา แม้หล่อนไม่เคยแต่งงาน แต่ความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่เพิ่งเสียลูกไปเป็นอย่างไรนั้น หล่อนได้รับกระแสนี้จากมหิตาเทวีอย่างเต็มเปี่ยม
หลายวันผ่านไปมหิตาเทวีมีพระอาการดีขึ้น แต่หมอหลวงยังไม่อนุญาตให้พระสวามีภูวิษะเจ้าเข้ามาร่วมห้องบรรทมได้ตลอดทั้งเดือน เนื่องจากการรักษาอาการจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการรมสมุนไพรด้วย เคียงฟ้าเฝ้าดูอาการของมหิตาเทวีอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วงแล้ว หล่อนก็ตามเสด็จนาคเจ้าไปที่ต่างๆ ซึ่งก็พบว่ากิจกรรมส่วนใหญ่หมดไปกับการวางแผนการรบ นอกจากนั้นมิได้ไปไหนอีกนอกจากไปภาวนาจิตที่นาคาลัย หรือนานๆ ทีก็ออกไปที่ตลาดล่างบ้าง
“มหิตา...ฉันไม่เห็นว่าเจ้าภูมีพฤติกรรมน่าสงสารว่าจะนอกใจเธอเลย” หล่อนละคำว่าหรือเพราะพี่กุสุมาลย์ไม่อยู่แล้วกันเล่า แต่เพียงครู่เดียวก็สลัดศรีษะไล่ความคิดนั้นทิ้ง หล่อนพยายามทำใจเป็นกลางไม่เอนเอียงไปตามที่มหิตาเทวีดำริ
การตกพระโลหิตครั้งนี้มิใช่เพียงสร้างความเสียพระทัยให้กับเทวีน้อยเท่านั้น แต่ยังเพิ่มพระอาการวิตกและดำริมากจนซึมเศร้า อาจเป็นเพราะพระวรกายยังไม่ปรกตินักก็เป็นได้ เพียงแต่มหิตาเทวีมิเคยตรัสสิ่งที่เฝ้าดำริเฝ้าวิตกอยู่ในพระทัยให้พระสวามีสดับเลย
เกือบสามเดือนพระอาการจึงเป็นปกติ วันเวลาแห่งศึกสงครามถูกกำหนดฤกษ์ขึ้นแล้ว นับว่าช้ากว่าที่ควรไปเสียด้วยซ้ำ ตามฤกษ์เดิมควรจะเดินทางตั้งแต่แรมที่แล้ว ทว่าสงครามมิใช่ใครเร็วใครได้ดั่งเช่นการค้าขาย หากรั้งรอดูท่าทีเมืองพะโคว่าจะสนับสนุนปาลปุระอย่างออกหน้าหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วการเตรียมจำนวนไพร่พลก็ต้องเปลี่ยนไป จำนวนเสบียงก็เช่นกัน แต่เมื่อประเมินจนแน่ใจในสภาพการณ์แล้วจึงได้กำหนดฤกษ์ตีเมืองปาล
“ว่ายังไงนะ อีกสิบวันอย่างนั้นรึ? ไฉนกระชั้นเช่นนี้” มหิตาเทวีอุทานออกมาหลังจากสดับข่าวจากศรีดาราผู้เป็นบุตรีขุนพลมหัทธนะ แน่นนอนว่าข่าวนี้นางรู้จากบิดาของนางจึงมิใช่เรื่องเลื่อนลอย
“กะทันหันเพียงนี้ แล้วข้าจะทำเช่นใดดี” แน่งน้อยโฉมงามทรงพัตราภรณ์งดงามสมเป็นขัตติยะนารี แต่ภายในพระทัยนั้นไม่ต่างกับสตรีทั่วไปที่หึงหวงสามี
“อีกแค่ 10 วันเท่านั้น หรือข้าควรจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ ทูลขอร้องอีกครั้ง” ตรัสพลางเสด็จดำเนินไปมาด้วยท่าทางว้าวุ่น
“โถ...อย่าเลยเพคะ” ศรีดารายังจำภาพที่เทวีแห่งนางพลัดตกบันไดตำหนักหลวงได้ชัดเจนจึงร้องห้าม
“ประเดี๋ยวพระแม่เจ้าจะพิโรธเอานะเพคะ อีกอย่างเมื่อฤกษ์ศึกกำหนดแล้ว จะไปทูลขอแบบนี้จะกลายเป็นที่ครหาได้”
“นั่นสิเพคะ ทรงสงบใจเถิด ไม่นักท่านภูวิษะจะนำชัยกลับสู่จุมภะ” ปทุมมาเป็นอีกผู้หนึ่งที่ทูลทัดทาน
“ก็นั่นแล...พี่ปทุมมา หากทรงกำชัยกลับมา มีหวังจะได้นางหญิงเมืองปาลกลับมาเป็นบรรณาการ ข้าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น ข้าไม่มีวันรับนางหญิงเมืองปาลมาร่วมตำหนักเด็ดขาด”
“คงไม่หรอกเพคะ อย่างไรนางก็เป็นเจ้าหญิง คงจะสร้างตำหนักใหม่ให้”
“พี่ศรีดารา!!” ดวงเนตรงามเขม่นมายังนางคนสนิททันที ศรีดารารู้ตัวว่าพลาดจึงรีบปิดปาก
“อย่าไปสนใจแม่ศรีดาราเลยเพคะ หม่อมฉันว่าพระแม่เจ้าเข้าพระทัยถึงพระทัยของพระเทวีดี เมื่อถึงเวลาคงจะช่วยทูลทัดทานมิให้ถวายเจ้าหญิงเมืองปาลให้แก่ท่านภูวิษะเป็นแน่เพคะ”
“พี่ปทุมมา คิดอย่างนั้นรึ? แล้วพระบาทเจ้าเล่า? ท่านจะทรงยอมตามที่ทูลขอหรือไม่ เสด็จพ่ออาจจะเห็นว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลของสตรีก็เป็นได้” นางกำนัลคนสนิททั้งสองเงียบเสียงไป มิกล้าวิพากษ์พระดำริของพระบาทเจ้า
“ถ้าอย่างนั้น...ทูลขอท่านภูวิษะตรงๆ ดีไหมเพคะ?” เมื่อฟังศรีดาราเสนอความคิดแล้ว สีพระพักตร์มหิตาเทวีกลับอ่อนล้าลงทันที ทรงหยุดดำเนินไปมาอย่างเมื่อครู่แล้วประทับลงบนพระแท่น
“เสด็จพี่...จะเห็นเราเป็นหญิงน่ารำคาญหรือไม่”
“ทรงเป็นคู่บารมีกัน การกล่าวความนัยคงมิใช่เรื่องผิดแปลกอันใดกระมังเพคะ”
“ศรีดารา เจ้าก็พูดไป”
“เอ๊ะ? หรือมีวิธีดีกว่านี้เล่าปทุมมา”
“แต่ฉันเห็นดีด้วยนะ พูดกับเจ้าภูเถอะมหิตา” เคียงฟ้าที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมา แม้ไม่มีใครได้ยินหล่อน แต่หญิงสาวคิดว่ากระแสนี้น่าจะส่งถึงมหิตาเทวีได้
“ลองดูนะเพคะ ท่านภูวิษะรักพระเทวีปานนี้ คงจะไม่ขัดคำขอ” ศรีดาราสนับสนุน
“...ข้าจะลองดู”
“ดีแล้วล่ะ” เคียงฟ้าตอบอย่างโล่งใจ แต่หล่อนหารู้ไม่ว่ามันเป็นเพียงความสบายใจแค่ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++