เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 56-57

กระทู้สนทนา
ตอนที่แล้วค่ะ  ตอนที่ 55 http://pantip.com/topic/30750596

ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose

ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl


ตอนที่ 56




                     สีสันแห่งความหมองตรมเข้าครอบคลุมตำหนักของมหิตาเทวี   พระนางผู้ซึ่งเพิ่งตกพระโลหิตประทับนิ่งอยู่บนแท่นบรรทม  ดวงพักตร์ซีดขาววรกายเย็นเฉียบ มีเจ้านาคราชประทับอยู่ข้างแท่นกุมหัตถ์ชายาไว้หลวมๆ  ดวงเนตรยังจ้องไปที่วงพักตร์งามทว่าซีดเซียวแววเนตรนั้นฉายความสงสารนัก  เพลานี้ทั้งสองมิได้อยู่กันตามลำพัง ในห้องบรรทมนั้นวุ่นวายไปด้วยผู้คน สมุนไพรร้อนถูกนำใส่หม้อดินมาอบให้เกิดความอบอุ่น บานบัญชรถูกปิดไว้มิให้ลมพัดเข้าออก ด้วยเกรงจะทำให้อาการของมหิตาเทวีทรุดหนักลง ใกล้กันนั้นมีหม้อโอสถที่เพิ่งถูกยกเข้ามา รอเวลาให้เย็นแล้วจึงจะปลุกพระเทวีขึ้นมาเสวย


    “ท่านภูวิษะ  ออกไปก่อนเถอะเพคะ” เป็นคุณท้าวจันทร์หอมที่กราบทูล  อีกเดี๋ยวนางตั้งใจจะอบควันกับพระโยนีเพื่อรักษากล่องพระสกุล[1-มดลูก] จึงไม่เหมาะที่จะมีบุรุษใดอยู่ที่นี่ แม้จะเป็นพระสวามีก็มิบังควร


    “ให้เราอยู่กับนางอีกสักครู่เถิดคุณท้าว”


    “เสด็จพี่...” สุรเสียงอ่อนล้าเรียกหาผู้เป็นสวามี


    “ข้าอยู่นี่  อย่ากลัวไป”


    “ลูก...ลูกของเรา  น้อง..น้อง...” ยังตรัสไม่ทันจบประโยคดีก็กรรแสงออกมา


    “นี่อาจจะยังไม่ถึงเวลาของเขา อย่าได้เศร้าเสียใจไป” ว่าแล้วจึงยกพระหัตถ์ขึ้นลูบไล้วงพักตร์หวานล้ำนั้น


    “น้องไม่ดีเอง...”


    “ไม่เป็นไร” ภูวิษะเจ้าตรัสซ้ำทุกครั้งที่พระชายาตรัสโทษองค์เอง


    “ครรภ์ยังอ่อนแบบนี้ดูยากนักหม่อมฉันเองก็บกพร่องไม่ทราบว่าทรงตั้งพระครรภ์ มิเช่นนั้นจะไม่ยอมให้เสด็จไปไหน” คุณท้าวจันทร์หอมมีสีหน้าเศร้าสร้อยนัก  มหิตาเทวีได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งทรงกรรแสง


    “คุณท้าวมันไม่ใช่ความผิดของใคร  มิต้องหาตัวผู้กระทำผิด  เลือดเนื้อของเรายังไม่ถึงเวลากำเนิดก็เท่านั้น” เมื่อได้ยินรับสั่งคุณท้าวจันทร์หอมจึงปลีกตัวไป ปล่อยให้เจ้านาคราชปลอบประโลมพระชายาไปตามลำพัง


    “พี่ไม่ได้โกรธเจ้า” ทรงตรัสเพียงสั้นๆ  แล้วยกหัตถ์ลูบพระนลาฏชายา


    “พักเถิด เดี๋ยวคุณท้าวจะให้ยาเจ้าแล้ว” ทรงตรัสกับมหิตาเทวีอีกสองสามคำ  แล้วเสด็จออกจากห้องบรรทมไปโดยมีหญิงสาวจากอนาคตกาลเดินตามไปห่างๆ แต่ไม่มีใครมองเห็นหล่อน


    “เจ้าภูคะ....” หล่อนเรียกเมื่อเห็นเขาหยุดเดิน ภูวิษะเจ้าไม่มีท่าทีจะได้ยินเสียงเรียก  


วรองค์สง่าประทับนิ่งเม้มโอษฐ์แน่น  ดวงพักตร์แม้มิได้แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา  แต่แววเนตรนั้นหม่นหมองไม่น้อย  แม้ไม่มีใครบอกเคียงฟ้าก็ดูออกว่าเจ้านาคราชเสียใจเพียงใด  หล่อนอยากปลอบโยนเขาแต่ติดที่ว่าตนเองเป็นเพียงรูปเงาไม่สามารถสัมผัสใครหรือสิ่งใดได้


“นี่อาจเป็นสิ่งที่มหิตาต้องชดใช้แก่กุสุมาลย์....” เป็นดำรัสเบาๆ คล้ายถ้อยรำพึง


“อโหสิเถิดหนา...นางแลกด้วยชีวิตของลูกเราแล้ว” หญิงสาวฟังแล้วยืนตัวเย็นเฉียบ ก้อนสะอื้นจุกขึ้นมาในลำคอ แล้วสองตาก็คลอด้วยน้ำใส


“ค่ะ...มันคงจะเป็นอย่างนั้น  ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต” หล่อนตอบด้วยเสียงสั่นเครือ  “แต่..ลูกในท้องไม่รู้เรื่องด้วย” เคียงฟ้ายกมือขึ้นรูปท้องตนเองราวกับเป็นหล่อนที่แท้งลูก


“คงเป็นกรรมของเรากับนาง...” ตรัสถึงประโยคนี้ก็ทรงถอนพระทัยออกมาโดยแรง  ภูวิษะเจ้าประทับนิ่งอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่งก็เสด็จดำเนินไป  ทิ้งให้เคียงฟ้านั่งทอดถอนหายใจอยู่เดียวดาย


“นั่นสินะ...กรรมที่คุณกับลูกต้องมาเกี่ยวข้อง” แล้วน้ำตาก็ทะลักออกมาจากสองตา  แม้หล่อนไม่เคยแต่งงาน แต่ความรู้สึกของคนเป็นแม่ที่เพิ่งเสียลูกไปเป็นอย่างไรนั้น  หล่อนได้รับกระแสนี้จากมหิตาเทวีอย่างเต็มเปี่ยม


                  หลายวันผ่านไปมหิตาเทวีมีพระอาการดีขึ้น  แต่หมอหลวงยังไม่อนุญาตให้พระสวามีภูวิษะเจ้าเข้ามาร่วมห้องบรรทมได้ตลอดทั้งเดือน  เนื่องจากการรักษาอาการจำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง  รวมทั้งการรมสมุนไพรด้วย  เคียงฟ้าเฝ้าดูอาการของมหิตาเทวีอย่างใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วงแล้ว  หล่อนก็ตามเสด็จนาคเจ้าไปที่ต่างๆ  ซึ่งก็พบว่ากิจกรรมส่วนใหญ่หมดไปกับการวางแผนการรบ  นอกจากนั้นมิได้ไปไหนอีกนอกจากไปภาวนาจิตที่นาคาลัย หรือนานๆ ทีก็ออกไปที่ตลาดล่างบ้าง  


“มหิตา...ฉันไม่เห็นว่าเจ้าภูมีพฤติกรรมน่าสงสารว่าจะนอกใจเธอเลย” หล่อนละคำว่าหรือเพราะพี่กุสุมาลย์ไม่อยู่แล้วกันเล่า  แต่เพียงครู่เดียวก็สลัดศรีษะไล่ความคิดนั้นทิ้ง  หล่อนพยายามทำใจเป็นกลางไม่เอนเอียงไปตามที่มหิตาเทวีดำริ


การตกพระโลหิตครั้งนี้มิใช่เพียงสร้างความเสียพระทัยให้กับเทวีน้อยเท่านั้น  แต่ยังเพิ่มพระอาการวิตกและดำริมากจนซึมเศร้า อาจเป็นเพราะพระวรกายยังไม่ปรกตินักก็เป็นได้  เพียงแต่มหิตาเทวีมิเคยตรัสสิ่งที่เฝ้าดำริเฝ้าวิตกอยู่ในพระทัยให้พระสวามีสดับเลย


เกือบสามเดือนพระอาการจึงเป็นปกติ  วันเวลาแห่งศึกสงครามถูกกำหนดฤกษ์ขึ้นแล้ว  นับว่าช้ากว่าที่ควรไปเสียด้วยซ้ำ  ตามฤกษ์เดิมควรจะเดินทางตั้งแต่แรมที่แล้ว  ทว่าสงครามมิใช่ใครเร็วใครได้ดั่งเช่นการค้าขาย  หากรั้งรอดูท่าทีเมืองพะโคว่าจะสนับสนุนปาลปุระอย่างออกหน้าหรือไม่  หากเป็นเช่นนั้นแล้วการเตรียมจำนวนไพร่พลก็ต้องเปลี่ยนไป  จำนวนเสบียงก็เช่นกัน  แต่เมื่อประเมินจนแน่ใจในสภาพการณ์แล้วจึงได้กำหนดฤกษ์ตีเมืองปาล


“ว่ายังไงนะ  อีกสิบวันอย่างนั้นรึ?  ไฉนกระชั้นเช่นนี้” มหิตาเทวีอุทานออกมาหลังจากสดับข่าวจากศรีดาราผู้เป็นบุตรีขุนพลมหัทธนะ  แน่นนอนว่าข่าวนี้นางรู้จากบิดาของนางจึงมิใช่เรื่องเลื่อนลอย


“กะทันหันเพียงนี้  แล้วข้าจะทำเช่นใดดี” แน่งน้อยโฉมงามทรงพัตราภรณ์งดงามสมเป็นขัตติยะนารี  แต่ภายในพระทัยนั้นไม่ต่างกับสตรีทั่วไปที่หึงหวงสามี


“อีกแค่ 10 วันเท่านั้น หรือข้าควรจะไปเข้าเฝ้าเสด็จแม่ ทูลขอร้องอีกครั้ง” ตรัสพลางเสด็จดำเนินไปมาด้วยท่าทางว้าวุ่น


“โถ...อย่าเลยเพคะ” ศรีดารายังจำภาพที่เทวีแห่งนางพลัดตกบันไดตำหนักหลวงได้ชัดเจนจึงร้องห้าม


“ประเดี๋ยวพระแม่เจ้าจะพิโรธเอานะเพคะ  อีกอย่างเมื่อฤกษ์ศึกกำหนดแล้ว  จะไปทูลขอแบบนี้จะกลายเป็นที่ครหาได้”


“นั่นสิเพคะ  ทรงสงบใจเถิด ไม่นักท่านภูวิษะจะนำชัยกลับสู่จุมภะ” ปทุมมาเป็นอีกผู้หนึ่งที่ทูลทัดทาน


“ก็นั่นแล...พี่ปทุมมา หากทรงกำชัยกลับมา  มีหวังจะได้นางหญิงเมืองปาลกลับมาเป็นบรรณาการ  ข้าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น  ข้าไม่มีวันรับนางหญิงเมืองปาลมาร่วมตำหนักเด็ดขาด”


“คงไม่หรอกเพคะ  อย่างไรนางก็เป็นเจ้าหญิง  คงจะสร้างตำหนักใหม่ให้”


“พี่ศรีดารา!!”  ดวงเนตรงามเขม่นมายังนางคนสนิททันที  ศรีดารารู้ตัวว่าพลาดจึงรีบปิดปาก


“อย่าไปสนใจแม่ศรีดาราเลยเพคะ  หม่อมฉันว่าพระแม่เจ้าเข้าพระทัยถึงพระทัยของพระเทวีดี  เมื่อถึงเวลาคงจะช่วยทูลทัดทานมิให้ถวายเจ้าหญิงเมืองปาลให้แก่ท่านภูวิษะเป็นแน่เพคะ”


“พี่ปทุมมา คิดอย่างนั้นรึ?  แล้วพระบาทเจ้าเล่า? ท่านจะทรงยอมตามที่ทูลขอหรือไม่  เสด็จพ่ออาจจะเห็นว่านี่เป็นเรื่องเหลวไหลของสตรีก็เป็นได้” นางกำนัลคนสนิททั้งสองเงียบเสียงไป มิกล้าวิพากษ์พระดำริของพระบาทเจ้า


“ถ้าอย่างนั้น...ทูลขอท่านภูวิษะตรงๆ ดีไหมเพคะ?” เมื่อฟังศรีดาราเสนอความคิดแล้ว  สีพระพักตร์มหิตาเทวีกลับอ่อนล้าลงทันที   ทรงหยุดดำเนินไปมาอย่างเมื่อครู่แล้วประทับลงบนพระแท่น


“เสด็จพี่...จะเห็นเราเป็นหญิงน่ารำคาญหรือไม่”


“ทรงเป็นคู่บารมีกัน  การกล่าวความนัยคงมิใช่เรื่องผิดแปลกอันใดกระมังเพคะ”


“ศรีดารา เจ้าก็พูดไป”


“เอ๊ะ? หรือมีวิธีดีกว่านี้เล่าปทุมมา”


    “แต่ฉันเห็นดีด้วยนะ  พูดกับเจ้าภูเถอะมหิตา” เคียงฟ้าที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมา  แม้ไม่มีใครได้ยินหล่อน แต่หญิงสาวคิดว่ากระแสนี้น่าจะส่งถึงมหิตาเทวีได้


    “ลองดูนะเพคะ  ท่านภูวิษะรักพระเทวีปานนี้ คงจะไม่ขัดคำขอ” ศรีดาราสนับสนุน


    “...ข้าจะลองดู”


    “ดีแล้วล่ะ” เคียงฟ้าตอบอย่างโล่งใจ  แต่หล่อนหารู้ไม่ว่ามันเป็นเพียงความสบายใจแค่ชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น


++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่