ตอนที่แล้วค่ะ ตอนที่ 60
http://pantip.com/topic/30974733
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 61
ก่อนแสงอุษาจะมาเยือนในย่ำรุ่ง บานบัญชรของตำหนักมหิตาเทวีมีแสงไฟนวลกระจ่างลอดออกมา ผู้คนในตำหนักนั้นล้วนตื่นขึ้นถ้วนหน้า ไม่มีผู้ใดมือว่างทุกผู้คนยุ่งเหยิงกันระวิง เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันที่ภูวิษะเจ้าจะนำทัพออกศึก นางกำนัลทุกนางจึงตระเตรียมส่งเสด็จ
เคียงฟ้าลุกขึ้นมาตั้งแต่ตี 3 เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ใจนึกอยากช่วยหยิบจับบ้างแต่ติดว่ามิอาจแตะต้องสิ่งใดได้ เมื่อหล่อนเป็นเพียงวิญญาณไร้รูปมีแต่เงาวูบไหวไปมายากที่ผู้ใดจะมองเห็นได้ด้วยซ้ำ หญิงสาวจึงได้แต่ช่วยสำรวจตรวจตราเผื่อขาดตกบกพร่องสิ่งใดจะได้กระซิบบอกผู้อื่น แต่ก็พบว่าตนเองไม่รู้ว่าการไปทัพนั้นต้องเตรียมสิ่งใดบ้าง สุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของคุณท้าวจันทร์หอมที่คอยกำกับดูแลทุกสิ่ง เคียงฟ้าจึงว่างแสนว่างซ้ำยังรู้สึกว่ายังไร้ประโยชน์เสียด้วย
เมื่อเหลือบไปเห็นหน้าห้องบรรทมเปิดบานทวารไว้บอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องตื่นบรรทมแล้ว นางกำนัลกลุ่มหนึ่งนั่งสีสะล้อบรรเลงเพลง ในขณะที่อีกนางร้องเพลงขับกล่อมอยู่ไม่ไกลบานทวารนั้นเมื่อแรกก็ประหลาดใจจะมาบรรเลงเพลงอะไรกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จึงพบว่านางกำนัลเหล่านั้นกำลังขับลำนำ ถวายความสำราญระหว่างที่ภูวิษะเจ้ากำลังเกล้าพระเกศานั่นเอง
ภายห้องบรรทมตะเกียงดวงน้อยวางไว้บนตั่งข้างกระจกทองเหลืองแสงนวลส่องไปทั่วห้อง เจ้านาคราชนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะอันอ่อนนุ่มปล่อยให้พระชายาสางพระเกศาให้ ซึ่งจะประดับองค์ทรงเครื่องงามเป็นพิเศษทั้งนี้เพื่อเข้าร่วมพิธีบวงสรวงพระเสื้อเมือง รวมทั้งพิธีให้สัตยาเบื้องหน้าพระบาทเจ้าสิทธิเสณมหิตาเทวีหยุดมือครู่หนึ่งแล้วทอดพระเนตรไปยังนางคนสนิท
“พี่ศรีดาราส่งน้ำมันหอมมาให้เรา”
สีพระพักตร์นั้นดูผิดแปลกไป แต่ภูวิษะเจ้ามิได้ทอดพระเนตรเห็น ด้านซ้ายมือมีนางศรีดาราถือถาดไม้บรรจุผอบเล็กๆ สองสามใบรอท่าอยู่ นางรีบวางถาดลงแล้วหยิบผอบยื่นให้ทันที ชายาแห่งนาคเจ้าเม้มโอษฐ์เล็กน้อยก่อนจะรับมา แล้วจัดแจงเทน้ำมันหอมลงบนหัตถ์แล้วถูวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนำมาชโลมผมให้พระสวามี
“กลิ่นหอมแปลกจริง มิใช่กระแจะจันทร์[1]รึ ?” มหิตาเทวีสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อพระสวามีทรงจำกลิ่นน้ำมันว่านกระแจะจันทร์ ที่ใช้ประจำได้
“เอ้อ...น้องผสมกลิ่นไม้หอมอื่นร่วมลงไปด้วย ทรงโปรดไหมเพคะ?”
“ก็ดี” ตรัสตอบเพียงแค่นั้นแล้วเงียบไปอีก ทำให้ศรีดารารอบถอนหายใจนึกดีใจที่ภูวิษะเจ้ามิได้เฉลียวพระทัย
เมื่อน้ำมันหอมจับเกศาให้เกาะกลุ่มเรียบร้อยแล้ว มหิตาเทวีก็ทรงจัดแจงเกล้ามวยให้พระสวามีโดยมีปทุมมาที่ประจำอยู่ด้านทางขวาถือถาดหุ้มแพรอัญเชิญพระเกี้ยวยอด [2]ทรงโปร่งบางขึ้นโครงคล้ายกรงนกเรียกว่าทรงลูกฟัก และพระจุฑาจากกล่องบรรจุมาคอยท่าอยู่
“พี่ศรีดาราส่งสิ่งนั้นมา” นางคนทะเล้นนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วส่งสายตาคล้ายจะทูลถามว่าเอาจริงหรือเพคะ แต่มิได้พูดออกไป กิริยาเก้ๆ กังนั่นขัดหูขัดตาปทุมมานัก จนนางต้องชะโงกหน้าจากอีกด้านมาตำหนิ
“ศรีดารา พระเทวีสั่งให้หยิบของให้อย่าได้ชักช้า”
“พะ..เพคะ” เมื่อได้สตินางก็รีบยกถาดทั้งใบยื่นให้พระชายา
“ศรีดารา! เจ้าหยิบเฉพาะผอบที่ทรงต้องการสิ”
“ไม่เป็นไร ยื่นถาดมาเถิดเดี๋ยวข้าเลือกเอง”นางจึงค่อยทำตามรับสั่งแต่ก้มหน้านิ่งมิยอมสบตาอีก จนภูวิษะเจ้าปรายพระเนตรมาเห็นเข้าจึงตรัสถาม
“เจ้าเป็นกระไร ดูลุกลี้ลุกลนนัก”
“มิได้เพคะ หม่อมฉันไม่ดีเอง” นางยิ่งก้มหน้าลงต่ำยามเมื่อทูลตอบทำเอาเจ้านาคราชขมวดขนงเข้มนั้นเข้าหากันด้วยนึกขำท่าทีของนาง ในขณะที่มหิตาเทวีนั้นนิ่วหน้าหทัยเต้นไม่เป็นส่ำกลัวว่าศรีดาราจะหลุดสิ่งใดออกมา
“เจ้าอยากบอกสิ่งใดกับเรารึ?” ภูวิษะเจ้าตรัสถามยังไม่ทันจบประโยคดี มหิตาเทวีก็สุรเสียงดังขึ้นมา
“พี่ศรีดารา ยังตื่นไม่เต็มตาหรือไร?” สุรเสียงนั้นข่มกำชับอยู่ในทีจนศรีดารามิกล้าตอบอันใดออกมา
“ยังง่วงรึ? เจ้านี่ไม่ไหวเลย” แต่ภูวิษะเจ้ากลับเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ทรงส่งเสียงสรวลออกมาเบาๆ ท่ามกลางความโล่งพระทัยของพระชายา
“ยังไม่ส่งของมาอีก เร็วสิ! เดี๋ยวก็เลยฤกษ์ดอก” มหิตาเทวีเร่งเร้า ศรีดาราจึงยกถาดไม้บรรจุผอบให้
หัตถ์เรียวงามหยิบเอาไม้ซีกชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งออกมาจากผอบ มองไม่ออกว่ามีไว้เพื่อการณ์ใดที่แลเห็นเป็นเพียงไม้ชิ้นเล็กๆ ที่ฝานมาจากต้นของมันแล้วตากจนแห้งสนิทก่อนจะนำไปแช่น้ำมันไว้ในผอบนั้น จนดูซับเอากลิ่นและความวาวมันมาได้ที่ตัวไม้จนหมดสิ้น มหิตาเทวีค่อยๆ สอดไม้ชิ้นนั้นซ่อนไว้ในพระเกษมวยของพระสวามี โดยใช้บั้นพระเอวบังปทุมมามิให้มองเห็นว่าเมื่อครู่หยิบสิ่งใดออกมา
“พี่ปทุมมา...ขอปิ่น” จากนั้นจึงเรียกหาเอาปิ่นก้านมาเสียบเข้ากับเกี้ยวยอดที่สวมทับพระเกศมวยไปเพียงเท่านี้ก็มิมีผู้ใดสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมที่สอดแทรกอยู่ในพระเกศาของพระสวามีแล้ว แม้กระทั่งเจ้านาคราชเองก็มิได้ระแวงสงสัย
จะมีก็แต่หญิงพลัดยุคจากอนาคตมาสู่ห้วงอดีตเท่านั้น ที่ผุดขึ้นยืนด้วยใบหน้าซีดเผือดเหงื่อกาฬแตกเต็มหน้า หล่อนเห็นทุกอย่างเต็มตา แต่จะบอกภูวิษะเจ้าอย่างไรในเมื่อเขาไม่เห็นหล่อน จึงได้แต่หันรีหันขวางหาคนช่วยด้วยความร้อนใจ
“พี่ศรีดารา...ห้ามเข้าสิ” เคียงฟ้าพุ่งไปหาศรีดาราซึ่งเป็นคนเดียวที่เคยได้ยินเสียงหล่อน
“เอ้อ..ประเดี๋ยวเพคะ!” ศรีดาราคล้ายรับรู้จึงยกมือขึ้นห้ามร้องเรียกภูวิษะเจ้าก่อนจะเสด็จออกไป
“มีกระไรรึศรีดารา? ”
“คือว่า....” นางคนคิ้วเข้มกลืนก็มิเข้าคายก็มิออก พออ้าปากจะทูลก็หันไปเห็นสายพระเนตรของมหิตาเทวีถลึงมายังตน สุดท้ายก็มิกล้าทูลได้แต่ก้มลงกราบพระบาทเจ้านาคราช
“ขอให้ทรงแคล้วคลาดทุกประการนะเพคะ”
“ขอบใจเจ้ามาก” ภูวิษะเจ้าแย้มสรวลตอบนุ่มนวลนัก
เมื่อศรีดาราเงยหน้าขึ้นจึงเห็นบุรุษเลอลักษณ์เลิศหล้าทรงพระสิริโฉมยิ่งกว่าวันใด นางสิ้นคำพูดทุกประการ รัศมีจอมคนเปล่งออกมาจากวรกาย ลูกสาวขุนพลมหัทธนะจึงค่อยคลายความกังวลลง เมื่อคิดว่าลางทีมนต์ดำใดๆ มิอาจทำอันตรายบุรุษผู้มีบุญตรงหน้าก็เป็นได้ ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิดนางยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว แลดูไม่ต่างกับข้าทาสที่ภักดี
“พี่ศรีดารา ทำไมไม่พูดไป ทำไมนิ่งอยู่ นี่อย่ามัวแต่ตะลึงความหล่อสิ เขายิ้มให้หน่อยเดียวตาค้างไปเลยเหรอ บ้าจริงๆ!!!” เคียงฟ้าโวยวายแต่น่าเสียดายศรีดาราไม่รับรู้กับเสียงหล่อนอีก หญิงสาวไม่อาจบอกเรื่องนี้กับผู้ใดได้เลย
“เฮ้อ...อ” จนเสียงทอดถอนหทัยดังมาจากมหิตาเทวีนั่นแหละ ศรีดาราจึงได้สติ
“อย่าทำให้ข้าตกใจได้ไหมพี่ศรีดารา” เมื่อโดนตำหนินางคนคิ้วเข้มก็ตีหน้าเหยเก
“ทรงอภัยเถิดเพคะ แม่ศรีดาราเพียงแค่อยากถวายพระพรเท่านั้น” เป็นปทุมมาที่แก้ตัวแทนนาง
“ช่างเถิด แต่อย่าได้ทำเช่นนี้อีก” มหิตาเทวีถลึงพระเนตรใส่ ศรีดาราจึงรีบก้มศรีษะลงกราบ เมื่อทรงพอพระทัยแล้วจึงค่อยระลึกได้ว่ามีสายตาของปทุมมามองมาอย่างไม่เข้าใจจึงตรัสต่อ
“โดยเฉพาะต่อหน้าพระแม่เจ้า อยู่ๆ ไปร้องเรียกอย่างมิรู้กาลเทศะ ตอนจะเสด็จเช่นนี้จะทรงกริ้วได้ และยิ่งถ้ามีพระเสด็จพี่องค์ใดทอดพระเนตรเข้าแล้วทรงตำหนิซ้ำเรื่องจะไปกันใหญ่”
“โถ...จะมีพระเทวีองค์ไหนเล่าเพคะ จะคอยซ้ำเช่นนี้นอกจาก....” ศรีดาราละไว้ในฐานที่เข้าใจ
“แม่นี่! ทรงเตือนแล้วจะเถียง” ปทุมมาตีแขนสหายทันที “เจ้าอย่าก่อเรื่องให้พระเทวีทรงถูกตำหนิได้เชียวนะ”
เมื่อเคียงฟ้าเห็นว่าไม่มีใครสนใจหล่อน ไม่มีใครร้อนใจเช่นเดียวกับที่หล่อนร้อนรนอยู่ หญิงสาวนึกเป็นห่วงภูวิษะเจ้ายิ่งนัก แม้ในใจพยายามบอกตนเองว่าเขาเป็นพญานาคมนต์ดำไม่น่าทำอะไรเขาได้ก็ตาม แต่ใจหล่อนก็มิอาจสงบลงได้ยิ่งทวีความห่วงใยมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจนั่งอยู่กับที่ได้ หล่อนตัดสินใจวิ่งตามขบวนเจ้านาคราชไป แต่ดูเหมือนจะช้าเกินไป ภูวิษะเจ้าขึ้นทรงม้าแล้วเตรียมจะควบมันออกไปพร้อมด้วยทหารของตน
เคียงฟ้าไม่ใช่คนที่เก่งกีฬานักแต่หล่อนออกวิ่งอย่างเต็มที่เพื่อตามขบวนเสด็จให้ทัน แต่คนหรือจะสู้ฝีเท้าม้าได้ยิ่งเป็นฝีเท้าสตรีเช่นหล่อน ม้าวิ่งห้อไปไกลแล้วหล่อนเหนื่อยแสนเหนื่อยแต่ยังไม่หยุดวิ่งตาม จนกระทั่งพ้นเขตตำหนักออกไป เคียงฟ้าที่วิ่งตามมาติดๆ กลับถูกพลังงานที่มองไม่เห็นผลักไสหล่อนด้วยแรงมหาศาล จนหญิงสาวกระเด็นลงไปกองกับพื้น หล่อนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจึงพยายามตามขบวนม้าไปอีกหน หากไม่ต่างจากครั้งก่อนเสมือนมีกำแพงแก้วที่มองไม่เห็นกางกั้นอยู่ หล่อนมิอาจข้ามเขตตำหนักออกไปได้จึงได้แต่นั่งจุกแอ่กอยู่กับพื้น
“ทำไม? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมฉันไปไม่ได้? เจ้าภู! เดี๋ยวค่ะ! อย่าเพิ่งไปรอฟ้าก่อนนนน...น!!?” หล่อนยังตะโกนไล่ตามขบวนม้าไปด้วยสุดเสียงที่มีอยู่
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
[1]
ว่านกระแจะจันทร์ เป็นหัวว่านชนิดหนึ่งนิยมนำมากลั่นเอาน้ำมาทำเครื่องหอมน้ำปรุง บางครั้งก็ผสมกับน้ำมันชนิดอื่น เช่นน้ำมันจันทร์เป็นต้น มีสรรพคุณเสน่ห์มหานิยม นิยมใช้ในราชสำนักหงสาวดี มีถิ่นกำเนิดจากพุกาม ต่อมาความนิยมแพร่เข้าประเทศไทยจากทางล้านนา ปัจจุบันครูบาบางส่วนนิยมน้ำหัวว่านไปทำเครื่องรางของขลังอีกด้วย
[2]
เกี้ยวยอด คือ คือมงกุฏขนาดเล็กที่สวมครอบมวยผม มีลักษณะเป็นทรงสูง ถ้ามีเฉพาะฐานกลมจะเรียกว่าเกี้ยวกลม
เวียงนาคินทร์ ตอนที่ 61-62
ติดตามความเดิมตอนเก่ากว่านี้ ได้ในบล็อกแก็งค์เลยค่ะ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=babyrose
ส่วนถ้าอยากทวงนิยาย ไปที่แฟนเพจในเฟซบุ๊คได้ค่ะ
เพจนี้เป็นเพจกลุ่มค่ะ ของนักเขียน 3 คน
คือ วรรณศุกร์ / ดาวรดา /แก้วกังไส
https://www.facebook.com/janaey.janjao?ref=hl
ตอนที่ 61
ก่อนแสงอุษาจะมาเยือนในย่ำรุ่ง บานบัญชรของตำหนักมหิตาเทวีมีแสงไฟนวลกระจ่างลอดออกมา ผู้คนในตำหนักนั้นล้วนตื่นขึ้นถ้วนหน้า ไม่มีผู้ใดมือว่างทุกผู้คนยุ่งเหยิงกันระวิง เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันที่ภูวิษะเจ้าจะนำทัพออกศึก นางกำนัลทุกนางจึงตระเตรียมส่งเสด็จ
เคียงฟ้าลุกขึ้นมาตั้งแต่ตี 3 เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ใจนึกอยากช่วยหยิบจับบ้างแต่ติดว่ามิอาจแตะต้องสิ่งใดได้ เมื่อหล่อนเป็นเพียงวิญญาณไร้รูปมีแต่เงาวูบไหวไปมายากที่ผู้ใดจะมองเห็นได้ด้วยซ้ำ หญิงสาวจึงได้แต่ช่วยสำรวจตรวจตราเผื่อขาดตกบกพร่องสิ่งใดจะได้กระซิบบอกผู้อื่น แต่ก็พบว่าตนเองไม่รู้ว่าการไปทัพนั้นต้องเตรียมสิ่งใดบ้าง สุดท้ายก็เป็นหน้าที่ของคุณท้าวจันทร์หอมที่คอยกำกับดูแลทุกสิ่ง เคียงฟ้าจึงว่างแสนว่างซ้ำยังรู้สึกว่ายังไร้ประโยชน์เสียด้วย
เมื่อเหลือบไปเห็นหน้าห้องบรรทมเปิดบานทวารไว้บอกให้รู้ว่าเจ้าของห้องตื่นบรรทมแล้ว นางกำนัลกลุ่มหนึ่งนั่งสีสะล้อบรรเลงเพลง ในขณะที่อีกนางร้องเพลงขับกล่อมอยู่ไม่ไกลบานทวารนั้นเมื่อแรกก็ประหลาดใจจะมาบรรเลงเพลงอะไรกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ จึงพบว่านางกำนัลเหล่านั้นกำลังขับลำนำ ถวายความสำราญระหว่างที่ภูวิษะเจ้ากำลังเกล้าพระเกศานั่นเอง
ภายห้องบรรทมตะเกียงดวงน้อยวางไว้บนตั่งข้างกระจกทองเหลืองแสงนวลส่องไปทั่วห้อง เจ้านาคราชนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะอันอ่อนนุ่มปล่อยให้พระชายาสางพระเกศาให้ ซึ่งจะประดับองค์ทรงเครื่องงามเป็นพิเศษทั้งนี้เพื่อเข้าร่วมพิธีบวงสรวงพระเสื้อเมือง รวมทั้งพิธีให้สัตยาเบื้องหน้าพระบาทเจ้าสิทธิเสณมหิตาเทวีหยุดมือครู่หนึ่งแล้วทอดพระเนตรไปยังนางคนสนิท
“พี่ศรีดาราส่งน้ำมันหอมมาให้เรา”
สีพระพักตร์นั้นดูผิดแปลกไป แต่ภูวิษะเจ้ามิได้ทอดพระเนตรเห็น ด้านซ้ายมือมีนางศรีดาราถือถาดไม้บรรจุผอบเล็กๆ สองสามใบรอท่าอยู่ นางรีบวางถาดลงแล้วหยิบผอบยื่นให้ทันที ชายาแห่งนาคเจ้าเม้มโอษฐ์เล็กน้อยก่อนจะรับมา แล้วจัดแจงเทน้ำมันหอมลงบนหัตถ์แล้วถูวนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนำมาชโลมผมให้พระสวามี
“กลิ่นหอมแปลกจริง มิใช่กระแจะจันทร์[1]รึ ?” มหิตาเทวีสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อพระสวามีทรงจำกลิ่นน้ำมันว่านกระแจะจันทร์ ที่ใช้ประจำได้
“เอ้อ...น้องผสมกลิ่นไม้หอมอื่นร่วมลงไปด้วย ทรงโปรดไหมเพคะ?”
“ก็ดี” ตรัสตอบเพียงแค่นั้นแล้วเงียบไปอีก ทำให้ศรีดารารอบถอนหายใจนึกดีใจที่ภูวิษะเจ้ามิได้เฉลียวพระทัย
เมื่อน้ำมันหอมจับเกศาให้เกาะกลุ่มเรียบร้อยแล้ว มหิตาเทวีก็ทรงจัดแจงเกล้ามวยให้พระสวามีโดยมีปทุมมาที่ประจำอยู่ด้านทางขวาถือถาดหุ้มแพรอัญเชิญพระเกี้ยวยอด [2]ทรงโปร่งบางขึ้นโครงคล้ายกรงนกเรียกว่าทรงลูกฟัก และพระจุฑาจากกล่องบรรจุมาคอยท่าอยู่
“พี่ศรีดาราส่งสิ่งนั้นมา” นางคนทะเล้นนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วส่งสายตาคล้ายจะทูลถามว่าเอาจริงหรือเพคะ แต่มิได้พูดออกไป กิริยาเก้ๆ กังนั่นขัดหูขัดตาปทุมมานัก จนนางต้องชะโงกหน้าจากอีกด้านมาตำหนิ
“ศรีดารา พระเทวีสั่งให้หยิบของให้อย่าได้ชักช้า”
“พะ..เพคะ” เมื่อได้สตินางก็รีบยกถาดทั้งใบยื่นให้พระชายา
“ศรีดารา! เจ้าหยิบเฉพาะผอบที่ทรงต้องการสิ”
“ไม่เป็นไร ยื่นถาดมาเถิดเดี๋ยวข้าเลือกเอง”นางจึงค่อยทำตามรับสั่งแต่ก้มหน้านิ่งมิยอมสบตาอีก จนภูวิษะเจ้าปรายพระเนตรมาเห็นเข้าจึงตรัสถาม
“เจ้าเป็นกระไร ดูลุกลี้ลุกลนนัก”
“มิได้เพคะ หม่อมฉันไม่ดีเอง” นางยิ่งก้มหน้าลงต่ำยามเมื่อทูลตอบทำเอาเจ้านาคราชขมวดขนงเข้มนั้นเข้าหากันด้วยนึกขำท่าทีของนาง ในขณะที่มหิตาเทวีนั้นนิ่วหน้าหทัยเต้นไม่เป็นส่ำกลัวว่าศรีดาราจะหลุดสิ่งใดออกมา
“เจ้าอยากบอกสิ่งใดกับเรารึ?” ภูวิษะเจ้าตรัสถามยังไม่ทันจบประโยคดี มหิตาเทวีก็สุรเสียงดังขึ้นมา
“พี่ศรีดารา ยังตื่นไม่เต็มตาหรือไร?” สุรเสียงนั้นข่มกำชับอยู่ในทีจนศรีดารามิกล้าตอบอันใดออกมา
“ยังง่วงรึ? เจ้านี่ไม่ไหวเลย” แต่ภูวิษะเจ้ากลับเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย ทรงส่งเสียงสรวลออกมาเบาๆ ท่ามกลางความโล่งพระทัยของพระชายา
“ยังไม่ส่งของมาอีก เร็วสิ! เดี๋ยวก็เลยฤกษ์ดอก” มหิตาเทวีเร่งเร้า ศรีดาราจึงยกถาดไม้บรรจุผอบให้
หัตถ์เรียวงามหยิบเอาไม้ซีกชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งออกมาจากผอบ มองไม่ออกว่ามีไว้เพื่อการณ์ใดที่แลเห็นเป็นเพียงไม้ชิ้นเล็กๆ ที่ฝานมาจากต้นของมันแล้วตากจนแห้งสนิทก่อนจะนำไปแช่น้ำมันไว้ในผอบนั้น จนดูซับเอากลิ่นและความวาวมันมาได้ที่ตัวไม้จนหมดสิ้น มหิตาเทวีค่อยๆ สอดไม้ชิ้นนั้นซ่อนไว้ในพระเกษมวยของพระสวามี โดยใช้บั้นพระเอวบังปทุมมามิให้มองเห็นว่าเมื่อครู่หยิบสิ่งใดออกมา
“พี่ปทุมมา...ขอปิ่น” จากนั้นจึงเรียกหาเอาปิ่นก้านมาเสียบเข้ากับเกี้ยวยอดที่สวมทับพระเกศมวยไปเพียงเท่านี้ก็มิมีผู้ใดสังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมที่สอดแทรกอยู่ในพระเกศาของพระสวามีแล้ว แม้กระทั่งเจ้านาคราชเองก็มิได้ระแวงสงสัย
จะมีก็แต่หญิงพลัดยุคจากอนาคตมาสู่ห้วงอดีตเท่านั้น ที่ผุดขึ้นยืนด้วยใบหน้าซีดเผือดเหงื่อกาฬแตกเต็มหน้า หล่อนเห็นทุกอย่างเต็มตา แต่จะบอกภูวิษะเจ้าอย่างไรในเมื่อเขาไม่เห็นหล่อน จึงได้แต่หันรีหันขวางหาคนช่วยด้วยความร้อนใจ
“พี่ศรีดารา...ห้ามเข้าสิ” เคียงฟ้าพุ่งไปหาศรีดาราซึ่งเป็นคนเดียวที่เคยได้ยินเสียงหล่อน
“เอ้อ..ประเดี๋ยวเพคะ!” ศรีดาราคล้ายรับรู้จึงยกมือขึ้นห้ามร้องเรียกภูวิษะเจ้าก่อนจะเสด็จออกไป
“มีกระไรรึศรีดารา? ”
“คือว่า....” นางคนคิ้วเข้มกลืนก็มิเข้าคายก็มิออก พออ้าปากจะทูลก็หันไปเห็นสายพระเนตรของมหิตาเทวีถลึงมายังตน สุดท้ายก็มิกล้าทูลได้แต่ก้มลงกราบพระบาทเจ้านาคราช
“ขอให้ทรงแคล้วคลาดทุกประการนะเพคะ”
“ขอบใจเจ้ามาก” ภูวิษะเจ้าแย้มสรวลตอบนุ่มนวลนัก
เมื่อศรีดาราเงยหน้าขึ้นจึงเห็นบุรุษเลอลักษณ์เลิศหล้าทรงพระสิริโฉมยิ่งกว่าวันใด นางสิ้นคำพูดทุกประการ รัศมีจอมคนเปล่งออกมาจากวรกาย ลูกสาวขุนพลมหัทธนะจึงค่อยคลายความกังวลลง เมื่อคิดว่าลางทีมนต์ดำใดๆ มิอาจทำอันตรายบุรุษผู้มีบุญตรงหน้าก็เป็นได้ ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิดนางยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว แลดูไม่ต่างกับข้าทาสที่ภักดี
“พี่ศรีดารา ทำไมไม่พูดไป ทำไมนิ่งอยู่ นี่อย่ามัวแต่ตะลึงความหล่อสิ เขายิ้มให้หน่อยเดียวตาค้างไปเลยเหรอ บ้าจริงๆ!!!” เคียงฟ้าโวยวายแต่น่าเสียดายศรีดาราไม่รับรู้กับเสียงหล่อนอีก หญิงสาวไม่อาจบอกเรื่องนี้กับผู้ใดได้เลย
“เฮ้อ...อ” จนเสียงทอดถอนหทัยดังมาจากมหิตาเทวีนั่นแหละ ศรีดาราจึงได้สติ
“อย่าทำให้ข้าตกใจได้ไหมพี่ศรีดารา” เมื่อโดนตำหนินางคนคิ้วเข้มก็ตีหน้าเหยเก
“ทรงอภัยเถิดเพคะ แม่ศรีดาราเพียงแค่อยากถวายพระพรเท่านั้น” เป็นปทุมมาที่แก้ตัวแทนนาง
“ช่างเถิด แต่อย่าได้ทำเช่นนี้อีก” มหิตาเทวีถลึงพระเนตรใส่ ศรีดาราจึงรีบก้มศรีษะลงกราบ เมื่อทรงพอพระทัยแล้วจึงค่อยระลึกได้ว่ามีสายตาของปทุมมามองมาอย่างไม่เข้าใจจึงตรัสต่อ
“โดยเฉพาะต่อหน้าพระแม่เจ้า อยู่ๆ ไปร้องเรียกอย่างมิรู้กาลเทศะ ตอนจะเสด็จเช่นนี้จะทรงกริ้วได้ และยิ่งถ้ามีพระเสด็จพี่องค์ใดทอดพระเนตรเข้าแล้วทรงตำหนิซ้ำเรื่องจะไปกันใหญ่”
“โถ...จะมีพระเทวีองค์ไหนเล่าเพคะ จะคอยซ้ำเช่นนี้นอกจาก....” ศรีดาราละไว้ในฐานที่เข้าใจ
“แม่นี่! ทรงเตือนแล้วจะเถียง” ปทุมมาตีแขนสหายทันที “เจ้าอย่าก่อเรื่องให้พระเทวีทรงถูกตำหนิได้เชียวนะ”
เมื่อเคียงฟ้าเห็นว่าไม่มีใครสนใจหล่อน ไม่มีใครร้อนใจเช่นเดียวกับที่หล่อนร้อนรนอยู่ หญิงสาวนึกเป็นห่วงภูวิษะเจ้ายิ่งนัก แม้ในใจพยายามบอกตนเองว่าเขาเป็นพญานาคมนต์ดำไม่น่าทำอะไรเขาได้ก็ตาม แต่ใจหล่อนก็มิอาจสงบลงได้ยิ่งทวีความห่วงใยมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่อาจนั่งอยู่กับที่ได้ หล่อนตัดสินใจวิ่งตามขบวนเจ้านาคราชไป แต่ดูเหมือนจะช้าเกินไป ภูวิษะเจ้าขึ้นทรงม้าแล้วเตรียมจะควบมันออกไปพร้อมด้วยทหารของตน
เคียงฟ้าไม่ใช่คนที่เก่งกีฬานักแต่หล่อนออกวิ่งอย่างเต็มที่เพื่อตามขบวนเสด็จให้ทัน แต่คนหรือจะสู้ฝีเท้าม้าได้ยิ่งเป็นฝีเท้าสตรีเช่นหล่อน ม้าวิ่งห้อไปไกลแล้วหล่อนเหนื่อยแสนเหนื่อยแต่ยังไม่หยุดวิ่งตาม จนกระทั่งพ้นเขตตำหนักออกไป เคียงฟ้าที่วิ่งตามมาติดๆ กลับถูกพลังงานที่มองไม่เห็นผลักไสหล่อนด้วยแรงมหาศาล จนหญิงสาวกระเด็นลงไปกองกับพื้น หล่อนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นจึงพยายามตามขบวนม้าไปอีกหน หากไม่ต่างจากครั้งก่อนเสมือนมีกำแพงแก้วที่มองไม่เห็นกางกั้นอยู่ หล่อนมิอาจข้ามเขตตำหนักออกไปได้จึงได้แต่นั่งจุกแอ่กอยู่กับพื้น
“ทำไม? เกิดอะไรขึ้น? ทำไมฉันไปไม่ได้? เจ้าภู! เดี๋ยวค่ะ! อย่าเพิ่งไปรอฟ้าก่อนนนน...น!!?” หล่อนยังตะโกนไล่ตามขบวนม้าไปด้วยสุดเสียงที่มีอยู่
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
[1]ว่านกระแจะจันทร์ เป็นหัวว่านชนิดหนึ่งนิยมนำมากลั่นเอาน้ำมาทำเครื่องหอมน้ำปรุง บางครั้งก็ผสมกับน้ำมันชนิดอื่น เช่นน้ำมันจันทร์เป็นต้น มีสรรพคุณเสน่ห์มหานิยม นิยมใช้ในราชสำนักหงสาวดี มีถิ่นกำเนิดจากพุกาม ต่อมาความนิยมแพร่เข้าประเทศไทยจากทางล้านนา ปัจจุบันครูบาบางส่วนนิยมน้ำหัวว่านไปทำเครื่องรางของขลังอีกด้วย
[2]เกี้ยวยอด คือ คือมงกุฏขนาดเล็กที่สวมครอบมวยผม มีลักษณะเป็นทรงสูง ถ้ามีเฉพาะฐานกลมจะเรียกว่าเกี้ยวกลม