หลวงปู่มั่น… พบพระพุทธเจ้า
เล่าโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ พร้อมเหล่าพระสาวก เสด็จมา
ในคืนที่หลวงปู่มั่น บรรลุพระอรหันต์
ต่อไปนี้คือ
“ความอัศจรรย์เหนืออัศจรรย์”
ซึ่งหลวงตามหาบัว ได้เล่าจากคำบอกเล่าของหลวงปู่มั่น
พระอรหันต์องค์สำคัญที่สุดองค์หนึ่ง ในยุคของเรา
หลังจากท่านหลวงปู่มั่น
เดินทางมาถึง ดินแดนวิมุตติ แล้ว
คืนต่อมา…
มีพระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์สาวกจำนวนมาก
เสด็จมาอนุโมทนาวิมุตติธรรมกับท่าน เสมอมิได้ขาด
คืนนั้น
พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
พร้อมสาวกบริวารจำนวน หมื่น เสด็จมาเยี่ยม
คืนนั้น
อีกพระองค์ เสด็จมา
พร้อมสาวกบริวารจำนวน แสน
จำนวนพระสาวก ที่ตามเสด็จมาแต่ละพระองค์
มีไม่เท่ากัน
ขึ้นอยู่กับวาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ที่ไม่เหมือนกัน
บรรดาพระสาวกของแต่ละพระองค์
ที่ตามเสด็จมานั้น
มีสามเณรตามมาด้วยจำนวนไม่น้อยเลย
ท่านหลวงปู่มั่นสงสัย…
จึงพิจารณา
และได้ทราบว่า…
คำว่า ‘พระอรหันต์’ ในนามธรรมนั้น
มิได้หมายถึงเฉพาะพระ
แต่สามเณร ที่มีจิตบริสุทธิ์หมดจด
ก็นับเป็นอรหันต์สาวกด้วย
เมื่อพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเสด็จมาแล้ว
ก็ได้ประทานโอวาท
และอนุโมทนาแก่หลวงปู่มั่น
ที่สามารถบรรลุนิพพาน
หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ในโอกาสนั้น
หลวงปู่มั่นได้กราบทูลถามว่า…
“ในเมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระอรหันต์ทั้งหลาย นิพพานแล้ว
เหตุใดจึงเสด็จมาด้วยร่างกายในลักษณะเช่นนี้ได้?”
ท่านกราบทูลว่า…
“ข้าพระองค์ทราบว่า พระตถาคต และพระอรหันต์เป็นของแท้ ไม่สงสัย
ที่สงสัยก็คือ…
พระองค์ทั้งหลาย เสด็จไปในอนุปาทิเสสนิพพาน
ซึ่งไม่มีส่วนสมมุติหลงเหลือ
แล้วทำไมจึงสามารถมาในร่างนี้ได้?”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า…
**“ถ้าอีกฝ่ายหนึ่ง ยังครองร่างสมมุติอยู่
แม้จะมีความบริสุทธิ์ทางใจเต็มเปี่ยม
ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพาน
ก็ต้องแสดงสมมุติตอบรับกัน
จึงจำเป็นต้องมาในร่างสมมุติ ซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้
ถ้าทั้งสองฝ่าย ล้วนเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน
ไม่มีสมมุติเหลืออยู่เลย
ตถาคตก็ไม่มีสมมุติใดๆ มาแสดงอีก
เพราะฉะนั้น
การที่ตถาคตกับสาวกมาเยี่ยมในเวลานี้
จึงต้องแสดงออกในรูปลักษณะสมมุติดั้งเดิม
เพื่อให้ผู้อื่นพอจะทราบได้ว่า
‘พระพุทธเจ้าองค์นั้น’ และ ‘พระอรหันต์องค์นั้น’
มีรูปลักษณะอย่างไร”**
ต่อมา
เมื่อหลวงปู่มั่นสงสัยถึงแบบแผนปฏิบัติของพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล
ว่าควรเป็นอย่างไร
พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง
ก็จะ แสดงให้ดู
เช่น
การเดินจงกรม ควรวางมืออย่างไร
ควรก้าวเดิน หรือสำรวมตนแบบใด
การนั่งสมาธิ ควรนั่งท่าไหน
ควรหันหน้าไปทางทิศใด…
โดยเฉพาะเรื่อง อาวุโสในหมู่สงฆ์
หลวงปู่มั่นได้เล่าไว้อย่างลึกซึ้งว่า…
วันหนึ่ง
ท่านนึกอยากรู้ว่า
ในสมัยพุทธกาล
เหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย ปฏิบัติต่อกันอย่างไร
ในแง่ของความอาวุโสก่อนหลัง
ไม่นาน…
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ทั้งหนุ่มและชรา
ตลอดจนสามเณร
ก็เสด็จมากันมากมาย
แต่มาถึงไม่พร้อมกัน
ผู้ที่มาถึงก่อน แม้จะเป็นสามเณรองค์น้อย
ก็ได้นั่งลงก่อน
อยู่ข้างหน้าพระ
ส่วนผู้ที่มาทีหลัง แม้จะชรา
ก็ต้องนั่งด้านหลัง
ยิ่งไปกว่านั้น…
พระพุทธเจ้า เมื่อเสด็จมาถึง
ก็ประทับในที่นั้นเลย
มิได้ประทับในอาสนะอันควรประมุข
เมื่อหลวงปู่มั่นเห็นเช่นนั้น
ก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ
แต่ในขณะเดียวกัน
“ธรรม” ก็ผุดขึ้นมาในจิตทันที
โดยที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวก
ยังมิได้แสดงโอวาทใดๆ เลย
“นี่คือวิสุทธิธรรม ล้วนๆ”
ไม่มีสมมุติเจือปน
จึงไม่มีระเบียบ
ไม่มีอาวุโส
ไม่มีการแบ่งสูงต่ำ
ทุกองค์ เสมอภาคกันด้วยความบริสุทธิ์ล้วนๆ
ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา จนถึงสามเณรองค์สุดท้าย
ไม่มีใครยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
นี่คือเครื่องแสดงถึง “ความบริสุทธิ์”
หลังจากธรรมนี้สิ้นสุดลง
หลวงปู่มั่นก็พิจารณาต่อไปว่า…
“แล้วเช่นใดหนอ คืออาการของความเคารพในทางสมมุติ?”
พลันที่ความสงสัยดับลง
ภาพที่เห็นก็เปลี่ยนไป…
พระพุทธเจ้า
เสด็จมาประทับในฐานะองค์ประมุข
อยู่ด้านหน้าเหล่าสาวก
สามเณรองค์น้อย
กลับไปอยู่ด้านหลังสุด
เป็นภาพที่ งดงาม มีระเบียบ
น่าเคารพ
น่าเลื่อมใส
ขณะนั้นเอง
ธรรม ก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งในใจของท่าน…
“นี่คือธรรมเนียมของสงฆ์ในทางสมมุติ
แม้เป็นพระอรหันต์
แต่หากอ่อนพรรษา
ก็ยังต้องแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ในพรรษา”
และเมื่อธรรมสิ้นสุดลงอีกครั้ง
พระพุทธเจ้าก็แสดงโอวาทเรื่อง
“ความเคารพ และความเสมอภาคในธรรม”
ก่อนจะเสด็จอันตรธานหายไป
หลวงปู่มั่น… พบพระพุทธเจ้า
เล่าโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เมื่อพระพุทธเจ้าหลายพระองค์ พร้อมเหล่าพระสาวก เสด็จมา
ในคืนที่หลวงปู่มั่น บรรลุพระอรหันต์
ต่อไปนี้คือ
“ความอัศจรรย์เหนืออัศจรรย์”
ซึ่งหลวงตามหาบัว ได้เล่าจากคำบอกเล่าของหลวงปู่มั่น
พระอรหันต์องค์สำคัญที่สุดองค์หนึ่ง ในยุคของเรา
หลังจากท่านหลวงปู่มั่น
เดินทางมาถึง ดินแดนวิมุตติ แล้ว
คืนต่อมา…
มีพระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์สาวกจำนวนมาก
เสด็จมาอนุโมทนาวิมุตติธรรมกับท่าน เสมอมิได้ขาด
คืนนั้น
พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
พร้อมสาวกบริวารจำนวน หมื่น เสด็จมาเยี่ยม
คืนนั้น
อีกพระองค์ เสด็จมา
พร้อมสาวกบริวารจำนวน แสน
จำนวนพระสาวก ที่ตามเสด็จมาแต่ละพระองค์
มีไม่เท่ากัน
ขึ้นอยู่กับวาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ที่ไม่เหมือนกัน
บรรดาพระสาวกของแต่ละพระองค์
ที่ตามเสด็จมานั้น
มีสามเณรตามมาด้วยจำนวนไม่น้อยเลย
ท่านหลวงปู่มั่นสงสัย…
จึงพิจารณา
และได้ทราบว่า…
คำว่า ‘พระอรหันต์’ ในนามธรรมนั้น
มิได้หมายถึงเฉพาะพระ
แต่สามเณร ที่มีจิตบริสุทธิ์หมดจด
ก็นับเป็นอรหันต์สาวกด้วย
เมื่อพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายเสด็จมาแล้ว
ก็ได้ประทานโอวาท
และอนุโมทนาแก่หลวงปู่มั่น
ที่สามารถบรรลุนิพพาน
หลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ในโอกาสนั้น
หลวงปู่มั่นได้กราบทูลถามว่า…
“ในเมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย และพระอรหันต์ทั้งหลาย นิพพานแล้ว
เหตุใดจึงเสด็จมาด้วยร่างกายในลักษณะเช่นนี้ได้?”
ท่านกราบทูลว่า…
“ข้าพระองค์ทราบว่า พระตถาคต และพระอรหันต์เป็นของแท้ ไม่สงสัย
ที่สงสัยก็คือ…
พระองค์ทั้งหลาย เสด็จไปในอนุปาทิเสสนิพพาน
ซึ่งไม่มีส่วนสมมุติหลงเหลือ
แล้วทำไมจึงสามารถมาในร่างนี้ได้?”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า…
**“ถ้าอีกฝ่ายหนึ่ง ยังครองร่างสมมุติอยู่
แม้จะมีความบริสุทธิ์ทางใจเต็มเปี่ยม
ฝ่ายอนุปาทิเสสนิพพาน
ก็ต้องแสดงสมมุติตอบรับกัน
จึงจำเป็นต้องมาในร่างสมมุติ ซึ่งเป็นเครื่องใช้ชั่วคราวได้
ถ้าทั้งสองฝ่าย ล้วนเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน
ไม่มีสมมุติเหลืออยู่เลย
ตถาคตก็ไม่มีสมมุติใดๆ มาแสดงอีก
เพราะฉะนั้น
การที่ตถาคตกับสาวกมาเยี่ยมในเวลานี้
จึงต้องแสดงออกในรูปลักษณะสมมุติดั้งเดิม
เพื่อให้ผู้อื่นพอจะทราบได้ว่า
‘พระพุทธเจ้าองค์นั้น’ และ ‘พระอรหันต์องค์นั้น’
มีรูปลักษณะอย่างไร”**
ต่อมา
เมื่อหลวงปู่มั่นสงสัยถึงแบบแผนปฏิบัติของพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล
ว่าควรเป็นอย่างไร
พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่ง
ก็จะ แสดงให้ดู
เช่น
การเดินจงกรม ควรวางมืออย่างไร
ควรก้าวเดิน หรือสำรวมตนแบบใด
การนั่งสมาธิ ควรนั่งท่าไหน
ควรหันหน้าไปทางทิศใด…
โดยเฉพาะเรื่อง อาวุโสในหมู่สงฆ์
หลวงปู่มั่นได้เล่าไว้อย่างลึกซึ้งว่า…
วันหนึ่ง
ท่านนึกอยากรู้ว่า
ในสมัยพุทธกาล
เหล่าพระอรหันต์ทั้งหลาย ปฏิบัติต่อกันอย่างไร
ในแง่ของความอาวุโสก่อนหลัง
ไม่นาน…
พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ทั้งหนุ่มและชรา
ตลอดจนสามเณร
ก็เสด็จมากันมากมาย
แต่มาถึงไม่พร้อมกัน
ผู้ที่มาถึงก่อน แม้จะเป็นสามเณรองค์น้อย
ก็ได้นั่งลงก่อน
อยู่ข้างหน้าพระ
ส่วนผู้ที่มาทีหลัง แม้จะชรา
ก็ต้องนั่งด้านหลัง
ยิ่งไปกว่านั้น…
พระพุทธเจ้า เมื่อเสด็จมาถึง
ก็ประทับในที่นั้นเลย
มิได้ประทับในอาสนะอันควรประมุข
เมื่อหลวงปู่มั่นเห็นเช่นนั้น
ก็เกิดความสงสัยขึ้นในใจ
แต่ในขณะเดียวกัน
“ธรรม” ก็ผุดขึ้นมาในจิตทันที
โดยที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวก
ยังมิได้แสดงโอวาทใดๆ เลย
“นี่คือวิสุทธิธรรม ล้วนๆ”
ไม่มีสมมุติเจือปน
จึงไม่มีระเบียบ
ไม่มีอาวุโส
ไม่มีการแบ่งสูงต่ำ
ทุกองค์ เสมอภาคกันด้วยความบริสุทธิ์ล้วนๆ
ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมา จนถึงสามเณรองค์สุดท้าย
ไม่มีใครยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
นี่คือเครื่องแสดงถึง “ความบริสุทธิ์”
หลังจากธรรมนี้สิ้นสุดลง
หลวงปู่มั่นก็พิจารณาต่อไปว่า…
“แล้วเช่นใดหนอ คืออาการของความเคารพในทางสมมุติ?”
พลันที่ความสงสัยดับลง
ภาพที่เห็นก็เปลี่ยนไป…
พระพุทธเจ้า
เสด็จมาประทับในฐานะองค์ประมุข
อยู่ด้านหน้าเหล่าสาวก
สามเณรองค์น้อย
กลับไปอยู่ด้านหลังสุด
เป็นภาพที่ งดงาม มีระเบียบ
น่าเคารพ
น่าเลื่อมใส
ขณะนั้นเอง
ธรรม ก็ผุดขึ้นมาอีกครั้งในใจของท่าน…
“นี่คือธรรมเนียมของสงฆ์ในทางสมมุติ
แม้เป็นพระอรหันต์
แต่หากอ่อนพรรษา
ก็ยังต้องแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ในพรรษา”
และเมื่อธรรมสิ้นสุดลงอีกครั้ง
พระพุทธเจ้าก็แสดงโอวาทเรื่อง
“ความเคารพ และความเสมอภาคในธรรม”
ก่อนจะเสด็จอันตรธานหายไป