
**บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์**
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวเลยว่า หัวข้อนี้ยากมากสำหรับเรา
พอดูหนังแล้ว เลยพยายามมาหาข้อมูลอ่าน
เพราะไม่ได้มีพื้นฐานความรู้ด้านนี้มาก่อนเลย และ หาหนังสือมาอ้างอิงตามได้ยาก
อาศัยข้อมูลจากอินเตอร์เนตเป็นหลัก
เพราะฉะนั้น หากมี ข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยแรงๆจริงๆ
เป็นความอยากเขียน อยากถ่ายทอดของเราล้วนๆ
หากมันมีข้อผิดพลาด รบกวนช่วยชี้แจงได้เลยนะคะ
ว่ากันว่าหนังที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปี 2013 นั้นเต็มไปด้วยหนังเพื่อ "อเมริกันชน" อย่างแท้จริง
ทั้ง
"การตามล่าบินลาเดน ศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐอเมริกา" (Zero Dark Thirty)
"การถูกกดขี่ของ ของทาสผิวดำในอเมริกาตอนใต้" (Django Unchained)
"การพยายามยกเลิกระบบทาสผิวดำ" (Lincoln)
"พายุใหญ่ที่ซัดเอาบ้านเมืองหายไปเป็นแทบ จนผู้คนต้องอยู่แบบไร้สิ่งอำนวยความสะดวก" (Beasts of the Southern Wild)
และ "ภารกิจช่วยเหลือตัวประกันในอิหร่าน" (Argo) ที่ภายหลังกลายเป็นหนังที่ถูกใจออสการ์มากที่สุด จนสามาถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครอง พร้อมกับเสียงก่นด่าจากประเทศคู่กรณี
สำหรับบทความนี้ ก็ขอพูดถึงประวัติศาสตร์อเมริกันอีกเรื่อง ที่สามารถคว้ารางวัลบทภาพยนต์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมมาครองได้อย่าง Django Unchained
หัวข้อที่ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนในตอนแรกคือ
"... กว่าจะได้เลิกทาส ใน Django Unchained ถึง Lincoln ..."
เนื่องจาก หากว่ากันตามไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์จริงๆ หนังทั้ง 2 เรื่องแทบจะต่อกันได้แบบพอดิบพอดี เพราะ Django Unchained เกิดขึ้นในช่วงปี 1858 ก่อนเกิดสงครามกลางเมือง ระหว่าง สหรัฐเหนือ-ใต้เพียง 2 ปี และ สงครามที่ว่านั้นก็เกิดจาก ร่างกฏหมายการเลิกทาสของประธานาธิบดีลินคอล์นนั่นเอง
แต่การจะเขียนด้วยข้อมูลจำกัด เพื่อเชื่อมเรื่องราวทั้งสองเรื่องเข้าด้วยกัน คงเป็นงานที่ยากเกินไปสำหรับผู้เขียน เลยตัดสินใจพุ่งประเด็นไปที่ Django Unchained เพียงอย่างเดียว คงสามารถถ่ายทอดได้ง่ายกว่า
ในหนัง Lincoln ของ สปีลเบิร์กมี เนื้อหาเรื่องราวอยู่ในช่วงที่ ประธานาธิบดีลินคอล์นกำลังกรำศึกกับการพยายามผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 อันว่าด้วยการเลิกทาส หรือไม่ให้มีการเปิดรัฐทาสขึ้นอีก จากที่แต่เดิมมีมากอยู่แล้ว ส่งผลให้ประชาชนในเมืองค้าทาสที่อยู่ในอเมริกาตอนใต้ เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง หากลินคอล์นยังยืนกรานในการสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญนี้ พวกเขาจะทำตัวเป็นปฏิปัก
นั่นเองทำให้เกิด "สมาพันธรัฐ" อันเกิดจากการรวมตัวของรัฐค้าทาสทั้ง 7 รัฐทางตอนใต้ ขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล
เพราะว่าหากมีการ "เลิกทาส" จริง มันจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับธุรกิจทั้งหมดในรัฐทางใต้
ที่ปลูกไร่ฝ้ายขนาดใหญ่ มีการใช้แรงงานเป็นทาสผิวดำเกือบทั้งหมด
แต่กระนั้นแล้ว แม้ใน Lincoln ของ สปีลเบิร์ก จะมีฉากสงครามอยู่เนืองๆ แต่หนังก็ไม่ได้โฟกัสที่ไปเรื่องสงครามเท่าไรนัก แต่เป็นเรื่องราวของความรู้สึกนึกคิด และลักษณาตัวตนของลินคอล์นเสียมากกว่า และนอกเหนือจากเรื่องราวของลินคอล์นแล้ว จะเห็นได้ว่า การต่อต้านการเลิกทาสในอเมริกานั้น มีความรุนแรงของปัญหาที่ยิ่งใหญ่พอจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง สงครามที่คร่าชีวิตทหารชาติเดียวกัน
การค้าทาสผิวดำสำคัญกับ คนอเมริกันในยุคนั้น ขนาดไหน?
(คำเตือน เนื้อหาต่อไปนี้เป็นประวัติศาสตร์ล้วนๆ แต่เป็นเหตุเป็นผลกับหนังโดยตรง อาจยาวและซับซ้อน ใครเบื่ออ่านข้ามไป คห.1 ได้เลยค่ะ)
เรากำลังจะไปถึงเรื่องราวใน Django Unchained แล้วค่ะ แต่ขอเกริ่นไปยาวไกลกว่านั้นสักหน่อย ด้วยความสงสัยส่วนตัวของผู้เขียนเอง ว่า ทาสผิวดำในอเมริกานั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากที่ใดกันแน่...
มันต้องย้อนไปถึงตอน โคลัมบัส พบ ทวีปอเมริกาเลยทีเดียว
โคลัมบัสอยากพิสูจน์ว่าตนเองเป็นนักเดินเรือที่เยี่ยมยอด ในเส้นทางการสำรวจแผ่นดินจีนและญี่ปุ่น โคลัมบัสเลือกใช้เส้นทางทางทิศตะวันตก ข้ามแอตแลนติก เพราะหวังว่าจะเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดที่จะไปยังเอเชียได้ แทนที่จะใช้เส้นทางทิศตะวันออก อ้อมทวีปแอฟฟริกาแบบที่นักเดินเรือคนอื่นๆนิยมกัน โคลัมบัสออกเดินทางด้วยความเชื่อว่าโลกกลม เขาจึงคิดว่าต้องการมากกว่า 1 เส้นทางแน่ๆในการเดินทางไปยังอินเดียเพื่อคืบต่อไปยังแผ่นดินจีน
โคลัมบัสไม่ได้คิดมาก่อนว่า การเดินทางมาถึงอินเดียทางทิศตะวันตกจะสั้นเพียงนี้ นั่นเพราะเขาไม่มีแผนที่โลกฉบับถูกมาตราส่วน จึงไม่ทราบมาก่อนว่า ดินแดนที่เข้าพบ และคิดว่าเป็น "อินเดีย" นั้น หาใช่อินเดียแบบที่คิด
สิ่งที่โคลัมบัส พบคือ "ทวีปอเมริกา"
(ผู้เขียนขอละเรื่อง ผู้ค้นพบทวีปอเมริกาที่แท้จริงที่ไม่ใช่โคลัมบัสไว้ เพราะกลัวออกนอกประเด็น)
ภายหลังจากโคลัมบัสค้นพบอเมริกาในปี 1492 ต่อมาก็ได้เข้าสู่ยุคล่าอาณานิคมของประเทศในแถบยุโรป กัปตัน ฆวน ปองเซ เด เลอ-อง (Juan Ponce de Léon) จากสเปน ได้เดินทางออกตามหา "น้ำพุแห่งความเยาว์วัย" (Fountain Of Youth) ตามตำนานที่ว่าดื่มแล้วจะได้เป็นอมตะ และเขาก็พบมันที่ ทวีปอเมริกา
(ซึ่งที่ตั้งของน้ำพุนี้อยู่ที่เมืองฟลอลิดาในปัจจุบันนั่นเอง โดยการตามหาน้ำพุแห่งความเยาว์วัยนี้ ยังเป็นพลอตหลักของ Pirates Of The Caribbean : The Strangers Tides ด้วย)
และตอนที่ประเทศผู้ล่าอาณานิคมเหล่านี้เข้ามาตั้งอาณานิคมในอเมริกา เขาได้พา "ทาสผิวดำ" ที่กวาดต้อนจากทวีปแอฟริกามาด้วย นี่เองเป็นจุดเริ่มต้น ของระบบค้าทาสในอเมริกา
Slave หรือ ทาส มาจากชื่อชนเผ่าสเลฟ (Slav) ที่ในยุคกลางถูกจับตัวส่งไปขายในยุโรปเป็นจำนวนมาก ต่อมาแรงงานทาสสเลฟมีเริ่มมีราคาสูง พอมีการเข้ามาของทาสผิวดำ ชาวยุโรปอเมริกาจึงหันมาใช้ทาสผิวดำเป็นแรงงานหลักแทนที่แรงงานผิวขาวชาวสเลฟ
หลังพบทวีปอเมริกาแล้ว สเปนและโปรตุเกส ก็ได้ล่องสมุทรลงทางใต้ได้จนได้พบกับทวีปอเมริกาใต้ ที่นั่นเต็มไปด้วยทองคำมากมาย สเปนและโปรตุเกสจึงตั้งอาณานิคมใหม่ในทวีปอเมริกาใต้ อังกฤษและฝรั่งเศสที่ตามมาทีหลัง จึงต้องไปตั้งอาณานิคมในดินแดนรกร้างที่อเมริกาเหนือแทน
การค้าทาส เป็นเสมือนศูนย์กลางของกลไกเศรษฐกิจ สมัยนั้นยุโรปกำลังเข้าสู่ยุค ทุนนิยม นั่นทำให้ อังกฤษที่ส่งออกสินค้าหนักประเภท เหล็กกล้า อาวุธ และเครื่องนุ่มห่ม ได้นำสินค้าเหล่านี้ไปแลกกับ ทาสผิวดำ จากแอฟฟริกา เพื่อ นำทาสผิวดำส่งไปขายต่อยังทวีปอเมริกา และ เอาเงินที่ได้ไปซื้ออาหารจำพวก น้ำตาล ยาสูบ และ ฝ้าย เพื่อขายต่อในยุโรปอีกที กลไกเศรษฐกิจ วนเวียนกันเช่นนี้
ในทวีปอเมริกา รัฐที่ก่อตั้งทางใต้ มีภูมิทำเลที่เหมาะสมกับการปลูกฝ้าย ทำให้ตอนใต้ของสหรัฐอเมริกากลายเป็นแหล่งปลูกฝ้ายที่สำคัญที่สุดของประเทศ เนื่องจากต้องใช้แรงงานจำนวนมหาศาลในการทำไร่ฝ้าย ประชาชนในรัฐทางใต้ จึงใช้ทาสผิวดำในการทำงานในไร่มาตลอด
ราวๆต้นศตวรรษที่ 18 มีการปลูกฝังเรื่องค่านิยมว่า "การค้าทาสผิวดำไม่ผิดหลักมนุษย์ธรรม" กลุ่มนักมนุษย์ธรรมบางกลุ่มเคร่งครัดกับเรื่องความเท่าเทียมของมนุษย์ในอเมริกาหนักหนา ก็ยังมองว่า การค้าทาสไม่ใช่เรื่องผิดบาปเช่นเดียวกัน (ตราบใดที่การค้าทาสยังทำใ้ห้พวกเขาสะดวกสบายและได้รับผลประโยชน์) เพราะทาสไม่นับเป็น "มนุษย์" นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการ "เหยียดผิว" ในเวลาต่อมา เพราะการปลูกฝังว่าคนผิวสีอื่นที่นอกจากผิวขาวแล้ว ล้วนแล้วแต่โง่ และเกิดมาเพื่อเป็นทาสเท่านั้น
การรบพุ่งและการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของชาวผิวดำและกลุ่มที่สนับสนุนการเลิกทาสมีอยู่เนื่องๆแต่ก็ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และนำไปสู่จุดเปลี่ยนแปลงอะไรนัก หลัง Seminole Wars หรือ Florida Wars (สงครามระหว่างกลุ่มคนดำและทหารอเมริกาในรัฐฟลอริดา) ครั้งที่ 3 ยุติในปี 1858 .. ก็เข้าสู่เหตุการณ์ "การอภิปรายครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์อเมริกา" ระหว่าง Stephen A. Douglas จากพรรคเดโมแครต และ Abraham Lincoln จากพรรครีพับริกัน (ทั้งคู่มีนโยบายทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกคนอยากเลิกทาส อีกคนต่อต้าน)
นี่คือเหตุการณ์ในช่วงเดียวกันกับที่ จังโก้กำลังเดินข้ามเท็กซัสและมาเจอกับ คุณหมอชูลทซ์แล้วค่ะทุกคน ..
... ปลดล็อคโซ่ตรวน กับ Django Unchained ...
**บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์**
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวเลยว่า หัวข้อนี้ยากมากสำหรับเรา
พอดูหนังแล้ว เลยพยายามมาหาข้อมูลอ่าน
เพราะไม่ได้มีพื้นฐานความรู้ด้านนี้มาก่อนเลย และ หาหนังสือมาอ้างอิงตามได้ยาก
อาศัยข้อมูลจากอินเตอร์เนตเป็นหลัก
เพราะฉะนั้น หากมี ข้อผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยแรงๆจริงๆ
เป็นความอยากเขียน อยากถ่ายทอดของเราล้วนๆ
หากมันมีข้อผิดพลาด รบกวนช่วยชี้แจงได้เลยนะคะ
ว่ากันว่าหนังที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปี 2013 นั้นเต็มไปด้วยหนังเพื่อ "อเมริกันชน" อย่างแท้จริง
ทั้ง
"การตามล่าบินลาเดน ศัตรูหมายเลข 1 ของสหรัฐอเมริกา" (Zero Dark Thirty)
"การถูกกดขี่ของ ของทาสผิวดำในอเมริกาตอนใต้" (Django Unchained)
"การพยายามยกเลิกระบบทาสผิวดำ" (Lincoln)
"พายุใหญ่ที่ซัดเอาบ้านเมืองหายไปเป็นแทบ จนผู้คนต้องอยู่แบบไร้สิ่งอำนวยความสะดวก" (Beasts of the Southern Wild)
และ "ภารกิจช่วยเหลือตัวประกันในอิหร่าน" (Argo) ที่ภายหลังกลายเป็นหนังที่ถูกใจออสการ์มากที่สุด จนสามาถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมไปครอง พร้อมกับเสียงก่นด่าจากประเทศคู่กรณี
สำหรับบทความนี้ ก็ขอพูดถึงประวัติศาสตร์อเมริกันอีกเรื่อง ที่สามารถคว้ารางวัลบทภาพยนต์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมมาครองได้อย่าง Django Unchained
หัวข้อที่ตั้งใจไว้ว่าจะเขียนในตอนแรกคือ "... กว่าจะได้เลิกทาส ใน Django Unchained ถึง Lincoln ..."
เนื่องจาก หากว่ากันตามไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์จริงๆ หนังทั้ง 2 เรื่องแทบจะต่อกันได้แบบพอดิบพอดี เพราะ Django Unchained เกิดขึ้นในช่วงปี 1858 ก่อนเกิดสงครามกลางเมือง ระหว่าง สหรัฐเหนือ-ใต้เพียง 2 ปี และ สงครามที่ว่านั้นก็เกิดจาก ร่างกฏหมายการเลิกทาสของประธานาธิบดีลินคอล์นนั่นเอง
แต่การจะเขียนด้วยข้อมูลจำกัด เพื่อเชื่อมเรื่องราวทั้งสองเรื่องเข้าด้วยกัน คงเป็นงานที่ยากเกินไปสำหรับผู้เขียน เลยตัดสินใจพุ่งประเด็นไปที่ Django Unchained เพียงอย่างเดียว คงสามารถถ่ายทอดได้ง่ายกว่า
ในหนัง Lincoln ของ สปีลเบิร์กมี เนื้อหาเรื่องราวอยู่ในช่วงที่ ประธานาธิบดีลินคอล์นกำลังกรำศึกกับการพยายามผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับที่ 13 อันว่าด้วยการเลิกทาส หรือไม่ให้มีการเปิดรัฐทาสขึ้นอีก จากที่แต่เดิมมีมากอยู่แล้ว ส่งผลให้ประชาชนในเมืองค้าทาสที่อยู่ในอเมริกาตอนใต้ เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง หากลินคอล์นยังยืนกรานในการสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญนี้ พวกเขาจะทำตัวเป็นปฏิปัก
นั่นเองทำให้เกิด "สมาพันธรัฐ" อันเกิดจากการรวมตัวของรัฐค้าทาสทั้ง 7 รัฐทางตอนใต้ ขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล
เพราะว่าหากมีการ "เลิกทาส" จริง มันจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับธุรกิจทั้งหมดในรัฐทางใต้
ที่ปลูกไร่ฝ้ายขนาดใหญ่ มีการใช้แรงงานเป็นทาสผิวดำเกือบทั้งหมด
แต่กระนั้นแล้ว แม้ใน Lincoln ของ สปีลเบิร์ก จะมีฉากสงครามอยู่เนืองๆ แต่หนังก็ไม่ได้โฟกัสที่ไปเรื่องสงครามเท่าไรนัก แต่เป็นเรื่องราวของความรู้สึกนึกคิด และลักษณาตัวตนของลินคอล์นเสียมากกว่า และนอกเหนือจากเรื่องราวของลินคอล์นแล้ว จะเห็นได้ว่า การต่อต้านการเลิกทาสในอเมริกานั้น มีความรุนแรงของปัญหาที่ยิ่งใหญ่พอจะกลายเป็นสงครามกลางเมือง สงครามที่คร่าชีวิตทหารชาติเดียวกัน
การค้าทาสผิวดำสำคัญกับ คนอเมริกันในยุคนั้น ขนาดไหน?
(คำเตือน เนื้อหาต่อไปนี้เป็นประวัติศาสตร์ล้วนๆ แต่เป็นเหตุเป็นผลกับหนังโดยตรง อาจยาวและซับซ้อน ใครเบื่ออ่านข้ามไป คห.1 ได้เลยค่ะ)
เรากำลังจะไปถึงเรื่องราวใน Django Unchained แล้วค่ะ แต่ขอเกริ่นไปยาวไกลกว่านั้นสักหน่อย ด้วยความสงสัยส่วนตัวของผู้เขียนเอง ว่า ทาสผิวดำในอเมริกานั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากที่ใดกันแน่...
มันต้องย้อนไปถึงตอน โคลัมบัส พบ ทวีปอเมริกาเลยทีเดียว
โคลัมบัสอยากพิสูจน์ว่าตนเองเป็นนักเดินเรือที่เยี่ยมยอด ในเส้นทางการสำรวจแผ่นดินจีนและญี่ปุ่น โคลัมบัสเลือกใช้เส้นทางทางทิศตะวันตก ข้ามแอตแลนติก เพราะหวังว่าจะเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดที่จะไปยังเอเชียได้ แทนที่จะใช้เส้นทางทิศตะวันออก อ้อมทวีปแอฟฟริกาแบบที่นักเดินเรือคนอื่นๆนิยมกัน โคลัมบัสออกเดินทางด้วยความเชื่อว่าโลกกลม เขาจึงคิดว่าต้องการมากกว่า 1 เส้นทางแน่ๆในการเดินทางไปยังอินเดียเพื่อคืบต่อไปยังแผ่นดินจีน
โคลัมบัสไม่ได้คิดมาก่อนว่า การเดินทางมาถึงอินเดียทางทิศตะวันตกจะสั้นเพียงนี้ นั่นเพราะเขาไม่มีแผนที่โลกฉบับถูกมาตราส่วน จึงไม่ทราบมาก่อนว่า ดินแดนที่เข้าพบ และคิดว่าเป็น "อินเดีย" นั้น หาใช่อินเดียแบบที่คิด
สิ่งที่โคลัมบัส พบคือ "ทวีปอเมริกา"
(ผู้เขียนขอละเรื่อง ผู้ค้นพบทวีปอเมริกาที่แท้จริงที่ไม่ใช่โคลัมบัสไว้ เพราะกลัวออกนอกประเด็น)
ภายหลังจากโคลัมบัสค้นพบอเมริกาในปี 1492 ต่อมาก็ได้เข้าสู่ยุคล่าอาณานิคมของประเทศในแถบยุโรป กัปตัน ฆวน ปองเซ เด เลอ-อง (Juan Ponce de Léon) จากสเปน ได้เดินทางออกตามหา "น้ำพุแห่งความเยาว์วัย" (Fountain Of Youth) ตามตำนานที่ว่าดื่มแล้วจะได้เป็นอมตะ และเขาก็พบมันที่ ทวีปอเมริกา
(ซึ่งที่ตั้งของน้ำพุนี้อยู่ที่เมืองฟลอลิดาในปัจจุบันนั่นเอง โดยการตามหาน้ำพุแห่งความเยาว์วัยนี้ ยังเป็นพลอตหลักของ Pirates Of The Caribbean : The Strangers Tides ด้วย)
และตอนที่ประเทศผู้ล่าอาณานิคมเหล่านี้เข้ามาตั้งอาณานิคมในอเมริกา เขาได้พา "ทาสผิวดำ" ที่กวาดต้อนจากทวีปแอฟริกามาด้วย นี่เองเป็นจุดเริ่มต้น ของระบบค้าทาสในอเมริกา
Slave หรือ ทาส มาจากชื่อชนเผ่าสเลฟ (Slav) ที่ในยุคกลางถูกจับตัวส่งไปขายในยุโรปเป็นจำนวนมาก ต่อมาแรงงานทาสสเลฟมีเริ่มมีราคาสูง พอมีการเข้ามาของทาสผิวดำ ชาวยุโรปอเมริกาจึงหันมาใช้ทาสผิวดำเป็นแรงงานหลักแทนที่แรงงานผิวขาวชาวสเลฟ
หลังพบทวีปอเมริกาแล้ว สเปนและโปรตุเกส ก็ได้ล่องสมุทรลงทางใต้ได้จนได้พบกับทวีปอเมริกาใต้ ที่นั่นเต็มไปด้วยทองคำมากมาย สเปนและโปรตุเกสจึงตั้งอาณานิคมใหม่ในทวีปอเมริกาใต้ อังกฤษและฝรั่งเศสที่ตามมาทีหลัง จึงต้องไปตั้งอาณานิคมในดินแดนรกร้างที่อเมริกาเหนือแทน
การค้าทาส เป็นเสมือนศูนย์กลางของกลไกเศรษฐกิจ สมัยนั้นยุโรปกำลังเข้าสู่ยุค ทุนนิยม นั่นทำให้ อังกฤษที่ส่งออกสินค้าหนักประเภท เหล็กกล้า อาวุธ และเครื่องนุ่มห่ม ได้นำสินค้าเหล่านี้ไปแลกกับ ทาสผิวดำ จากแอฟฟริกา เพื่อ นำทาสผิวดำส่งไปขายต่อยังทวีปอเมริกา และ เอาเงินที่ได้ไปซื้ออาหารจำพวก น้ำตาล ยาสูบ และ ฝ้าย เพื่อขายต่อในยุโรปอีกที กลไกเศรษฐกิจ วนเวียนกันเช่นนี้
ในทวีปอเมริกา รัฐที่ก่อตั้งทางใต้ มีภูมิทำเลที่เหมาะสมกับการปลูกฝ้าย ทำให้ตอนใต้ของสหรัฐอเมริกากลายเป็นแหล่งปลูกฝ้ายที่สำคัญที่สุดของประเทศ เนื่องจากต้องใช้แรงงานจำนวนมหาศาลในการทำไร่ฝ้าย ประชาชนในรัฐทางใต้ จึงใช้ทาสผิวดำในการทำงานในไร่มาตลอด
ราวๆต้นศตวรรษที่ 18 มีการปลูกฝังเรื่องค่านิยมว่า "การค้าทาสผิวดำไม่ผิดหลักมนุษย์ธรรม" กลุ่มนักมนุษย์ธรรมบางกลุ่มเคร่งครัดกับเรื่องความเท่าเทียมของมนุษย์ในอเมริกาหนักหนา ก็ยังมองว่า การค้าทาสไม่ใช่เรื่องผิดบาปเช่นเดียวกัน (ตราบใดที่การค้าทาสยังทำใ้ห้พวกเขาสะดวกสบายและได้รับผลประโยชน์) เพราะทาสไม่นับเป็น "มนุษย์" นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการ "เหยียดผิว" ในเวลาต่อมา เพราะการปลูกฝังว่าคนผิวสีอื่นที่นอกจากผิวขาวแล้ว ล้วนแล้วแต่โง่ และเกิดมาเพื่อเป็นทาสเท่านั้น
การรบพุ่งและการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของชาวผิวดำและกลุ่มที่สนับสนุนการเลิกทาสมีอยู่เนื่องๆแต่ก็ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และนำไปสู่จุดเปลี่ยนแปลงอะไรนัก หลัง Seminole Wars หรือ Florida Wars (สงครามระหว่างกลุ่มคนดำและทหารอเมริกาในรัฐฟลอริดา) ครั้งที่ 3 ยุติในปี 1858 .. ก็เข้าสู่เหตุการณ์ "การอภิปรายครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์อเมริกา" ระหว่าง Stephen A. Douglas จากพรรคเดโมแครต และ Abraham Lincoln จากพรรครีพับริกัน (ทั้งคู่มีนโยบายทางการเมืองที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกคนอยากเลิกทาส อีกคนต่อต้าน)
นี่คือเหตุการณ์ในช่วงเดียวกันกับที่ จังโก้กำลังเดินข้ามเท็กซัสและมาเจอกับ คุณหมอชูลทซ์แล้วค่ะทุกคน ..