200 ปี หลังจากที่มีการค้นพบทวีปใหม่ ที่มีชื่อว่า
“อเมริกา”ทวีปแห่งนี้สร้างความเปลี่ยนแปลงมากมายให้กับชาวยุโรป
ทองคำ แร่เงิน น้ำตาล ยาสูบ มันฝรั่ง
สินค้าเหล่านี้ล้วนถูกนำเข้ามาเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศผู้นำในยุโรปนับตั้งแต่โปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส
แต่ละประเทศ ต่างก็พยายามขยายการค้าของตนเอง ด้วยการขยายอาณานิคมใช้นโยบายภาษี ไปจนถึงการก่อสงคราม เพื่อกีดกันไม่ให้ประเทศอื่นๆ ทำการค้าขายกับดินแดนอาณานิคมของตน
เมื่อเวลาผ่านไป ประชาชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในดินแดนอาณานิคมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่อพยพมาจากเจ้าอาณานิคมในยุโรปนั่นเอง
การค้าของชาวยุโรปกำลังเจริญงอกงามอยู่เหนือการใช้ทรัพยากรของดินแดนอาณานิคม..
และเมื่อความอดทนมาถึงขีดสุด ประชาชนในทวีปใหม่ จะทำในสิ่งที่เจ้าอาณานิคมไม่เคยคาดคิดถึง
นั่นคือ “การประกาศอิสรภาพ”
ตั้งแต่แรกเริ่มที่ชาวยุโรปเข้ามาตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกา ด้วยภูมิอากาศที่เหมาะสม ทวีปนี้จึงกลายเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญ
โดยเฉพาะ อ้อยและยาสูบ
พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ทำให้พ่อค้าชาวยุโรปต้องการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร แต่เมื่อคนพื้นเมืองเสียชีวิตจากสงครามและโรคระบาด ทำให้ขาดแรงงานในการผลิต วิธีที่แก้ปัญหาก็คือ การนำเข้า “ทาส” จากทวีปแอฟริกา
จุดเริ่มต้นของการค้าทาส มาจากการที่พ่อค้าโปรตุเกสทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากับผู้ปกครองอาณาจักรในแอฟริกา ระหว่างผ้าขนสัตว์และอาวุธปืน กับทาสชาวแอฟริกัน
ทาสแอฟริกันกลุ่มแรกๆ ถูกนำเข้ามายังทวีปอเมริกาด้วยการทำงานในไร่อ้อยของชาวสเปนและโปรตุเกสและเมื่อชาวอังกฤษเริ่มตั้งถิ่นฐานในอเมริกา การค้าทาสก็ถูกขยายให้เติบโตบริษัท รอยัล แอฟริกันของอังกฤษ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1660
นำเข้าทาสมาจากชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก
ทาสส่วนใหญ่เป็นเชลยสงครามระหว่างชนเผ่า หรือไม่ก็ถูกลักพาตัวมาถูกจับมัดอย่างแน่นหนา ก่อนนำขึ้นเรืออย่างแออัดยัดเยียด และเดินทางข้าม
มหาสมุทรแอตแลนติกด้วยระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน ทาสจำนวนกว่าครึ่งเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง
การนําเข้าทาสของอังกฤษมายังอาณานิคมในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 5,000 คนต่อปี ในปี ค.ศ. 1685 เป็น 45,000 คนต่อปี ในช่วงต้นของทศวรรษ 1700 ในปี ค.ศ. 1733 อังกฤษสถาปนาอาณานิคมของตนเองได้หมด 13 รัฐ
ตั้งอยู่ชายฝั่งทางตะวันออกของอเมริกาเหนือ
ลึกเข้าไปในแผ่นดินทวีปอเมริกาเหนือ ดินแดนกว้างใหญ่ตกเป็นของฝรั่งเศส
ตั้งแต่เขตควีเบกของแคนาดา ทะเลสาบขนาดใหญ่ทั้ง 5 แห่ง ถูกเรียกว่าเขต “นิวฟรานซ์”ยาวลงมาจนถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี ดินแดนนี้ถูกเรียกว่า “ลุยเซียนา”
เขตนิวฟรานซ์เป็นแหล่งส่งออกหนังบีเวอร์ ซึ่งเป็นเครื่องหนังราคาดีในยุโรป การขยายอาณานิคมในอเมริกาของทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้เกิดการ
กระทบกระทั่งกันจนนำมาสู่สงครามอีกครั้ง
สงคราม 7 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1756 - ค.ศ. 1763 เป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ที่ลากประเทศอื่นๆ ในยุโรปเข้ามาร่วม
ด้วย ก่อนจะลามข้ามฝั่งมาถึงดินแดนอาณานิคมในทวีปอเมริกา
ผลของสงครามคือชัยชนะของอังกฤษ ทำให้อังกฤษได้ดินแดนแคนาดาของฝรั่งเศส
และฝรั่งเศสต้องเสีย ลุยเซียนาให้แก่สเปน
อังกฤษกลายเป็นเจ้าอาณานิคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ แต่ก็แลกมากับการสูญเสียงบประมาณไปมหาศาลเพื่อหารายได้มาทดแทนกับค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม สิ่งที่อังกฤษทำคือการ
เก็บภาษีจากชาวอาณานิคม..ทั้งภาษีจากน้ำตาล ไวน์ ไปจนถึงอากรแสตมป์ที่ปิดบนเอกสารและหนังสือพิมพ์ ชาวอาณานิคมเริ่มไม่พอใจ จนนำมาสู่การประท้วง “ไม่จ่ายภาษี ถ้าไม่มีผู้แทน”
เรื่องมาถึงจุดแตกหัก เพราะการออกพระราชบัญญัติลดภาษีใบชาของอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1773
เนื่องจากบริษัทบริติช อีสต์ อินเดีย กำลังประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักจึงลดภาษีของใบชาที่ค้างสต็อกกว่า 18 ล้านปอนด์ ทำให้ใบชาของอังกฤษ
ราคาถูกลง เมื่อเทียบกับใบชาของชาวอาณานิคม
สร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่พ่อค้าในเมืองบอสตัน..
ชาวบอสตันจึงรวมตัวกันปลอมตัวเป็นชาวอินเดียนแดง ลับลอบขึ้นเรือบรรทุก ใบชาของอังกฤษ แล้วทิ้งลงทะเลทั้งหมด เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “งานเลี้ยงน้ำชาที่บอสตัน” เหตุการณ์นี้นำมาสู่การสั่งปิดท่าเรือบอสตัน จนทำให้ตัวแทนทั้ง 13 อาณานิคมต้องมีการจัดประชุมสภาแห่งภาคพื้นทวีปเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1774 ที่ฟิลาเดลเฟีย
การประชุมนำมาสู่การคว่ำบาตรสินค้าอังกฤษทุกประเภทชาวอาณานิคมเริ่มสะสมอาวุธปืน และมีการปะทะกันกับกองกำลังอังกฤษจนมาถึงวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ในการประชุมสภาแห่งภาคพื้นทวีปครั้งที่ 2
โทมัส เจฟเฟอร์สัน ได้ร่างคำประกาศอิสรภาพ ซึ่งมีใจความว่า“13 อาณานิคม ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษอีกต่อไป”
ผู้แทนทั้ง 13 อาณานิคม ได้ร่วมลงนามในคำประกาศในวันนั้นซึ่งกลายเป็นรากฐานของหลักความเชื่อสำหรับชาวอเมริกัน คือสิทธิในชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข
ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
แต่กว่าจะได้มาซึ่งอิสรภาพ ชาวอเมริกันต้องต่อสู้กับกองทัพที่มีแสนยานุภาพมากที่สุดในโลก
ในสงครามต่อสู้เพื่อเอกราช ซึ่งใช้ระยะเวลาเกือบ 7 ปี ในช่วงท้ายสงครามที่ต่างฝ่ายต่างอ่อนแอทั้งคู่ กองทัพฝรั่งเศส คู่ปรับตลอดกาลของอังกฤษก็ได้เข้ามาช่วยฝ่ายอเมริกันจนท้ายที่สุด หลังจากสูญเสียทั้งคนและเงินไปกับสงคราม อังกฤษก็ยอมรับ
เอกราชของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1783
สภาคองเกรสได้ออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิ เพื่อรับรองเสรีภาพของชาวอเมริกัน
จอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา
นับเป็นก้าวแรกของประชาธิปไตยบนทวีปใหม่ อุดมการณ์นี้จะข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก กลับไปยังยุโรปและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อหลายประเทศ ดินแดนแห่งเสรีภาพแห่งนี้ จะดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ให้เข้ามาสร้างอนาคต ด้วยสมองและสองมือของตัวเอง..
แต่อย่างไรก็ตาม การถือกำาเนิดของสหรัฐอเมริกา
ไม่ได้ทำให้จักรวรรดิอังกฤษถึงจุดจบแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม จักรวรรดิแห่งนี้กำลังเดินหน้าขยายดินแดนอย่างเต็มกำลัง
บริษัทบริติช อีสต์ อินเดีย ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1600 มีการตั้งสถานีค้าขายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในอินเดีย เมื่อผู้ปกครองแคว้นเบงกอลได้ยึดสถานีการค้าของอังกฤษในกัลกัตตา ด้วยข้อหาละเมิดกฎหมายการค้าท้องถิ่น
โรเบิร์ต ไคลฟ์ ผู้บัญชาการสูงสุดของบริติชอินเดีย จึงได้นำกองทหาร ที่มีอาวุธทันสมัย ยึดครองแคว้นเบงกอล ซึ่งเป็นแคว้นร่ำรวยที่สุดในอินเดีย ให้ตกเป็นของอังกฤษได้ในปี ค.ศ. 1757
นับเป็นจุดเริ่มต้นของการยึดครองดินแดนที่มีชื่อว่า อินเดีย ทีละเล็กทีละน้อยนอกจากแคนาดาในอเมริกาเหนือ เบงกอลในอินเดีย ชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกา อังกฤษยังได้ดินแดนเพิ่มในทวีปใหม่ที่มีชื่อว่า ออสเตรเลีย
อังกฤษเป็นประเทศที่มีประชากรเพียง 10 ล้านคนในปลายศตวรรษที่ 18 และกําลังค่อยๆ แผ่ขยายเงื้อมมือเพื่อครองโลก..
แต่สําหรับฝรั่งเศส ประเทศที่มีประชากร 28 ล้านคน ซึ่งเป็นจํานวนมากที่สุดในยุโรปตะวันตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์หนุ่ม พระนามว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 การก่อสงครามนับครั้งไม่ถ้วน และความหรูหราอลังการของพระราชวัง แวร์ซาย มีสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคือ ภาระหนี้สินอันมหาศาล
ความล้มเหลวทางการเงินจะผลักดันให้อาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังที่สุดซึ่งก็คือ “พลังประชาชนของตนเอง”..
ตอนที่ 9 กำเนิดสหรัฐอเมริกา ค.ศ.1700-1799
“อเมริกา”ทวีปแห่งนี้สร้างความเปลี่ยนแปลงมากมายให้กับชาวยุโรป
ทองคำ แร่เงิน น้ำตาล ยาสูบ มันฝรั่ง
สินค้าเหล่านี้ล้วนถูกนำเข้ามาเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้กับประเทศผู้นำในยุโรปนับตั้งแต่โปรตุเกส สเปน เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส
แต่ละประเทศ ต่างก็พยายามขยายการค้าของตนเอง ด้วยการขยายอาณานิคมใช้นโยบายภาษี ไปจนถึงการก่อสงคราม เพื่อกีดกันไม่ให้ประเทศอื่นๆ ทำการค้าขายกับดินแดนอาณานิคมของตน
เมื่อเวลาผ่านไป ประชาชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในดินแดนอาณานิคมก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคนที่อพยพมาจากเจ้าอาณานิคมในยุโรปนั่นเอง
การค้าของชาวยุโรปกำลังเจริญงอกงามอยู่เหนือการใช้ทรัพยากรของดินแดนอาณานิคม..
และเมื่อความอดทนมาถึงขีดสุด ประชาชนในทวีปใหม่ จะทำในสิ่งที่เจ้าอาณานิคมไม่เคยคาดคิดถึง
นั่นคือ “การประกาศอิสรภาพ”
ตั้งแต่แรกเริ่มที่ชาวยุโรปเข้ามาตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกา ด้วยภูมิอากาศที่เหมาะสม ทวีปนี้จึงกลายเป็นแหล่งเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรที่สำคัญ
โดยเฉพาะ อ้อยและยาสูบ
พื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ทำให้พ่อค้าชาวยุโรปต้องการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร แต่เมื่อคนพื้นเมืองเสียชีวิตจากสงครามและโรคระบาด ทำให้ขาดแรงงานในการผลิต วิธีที่แก้ปัญหาก็คือ การนำเข้า “ทาส” จากทวีปแอฟริกา
จุดเริ่มต้นของการค้าทาส มาจากการที่พ่อค้าโปรตุเกสทำการแลกเปลี่ยนสินค้ากับผู้ปกครองอาณาจักรในแอฟริกา ระหว่างผ้าขนสัตว์และอาวุธปืน กับทาสชาวแอฟริกัน
ทาสแอฟริกันกลุ่มแรกๆ ถูกนำเข้ามายังทวีปอเมริกาด้วยการทำงานในไร่อ้อยของชาวสเปนและโปรตุเกสและเมื่อชาวอังกฤษเริ่มตั้งถิ่นฐานในอเมริกา การค้าทาสก็ถูกขยายให้เติบโตบริษัท รอยัล แอฟริกันของอังกฤษ ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1660
นำเข้าทาสมาจากชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก
ทาสส่วนใหญ่เป็นเชลยสงครามระหว่างชนเผ่า หรือไม่ก็ถูกลักพาตัวมาถูกจับมัดอย่างแน่นหนา ก่อนนำขึ้นเรืออย่างแออัดยัดเยียด และเดินทางข้าม
มหาสมุทรแอตแลนติกด้วยระยะเวลาประมาณ 1-2 เดือน ทาสจำนวนกว่าครึ่งเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง
การนําเข้าทาสของอังกฤษมายังอาณานิคมในอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 5,000 คนต่อปี ในปี ค.ศ. 1685 เป็น 45,000 คนต่อปี ในช่วงต้นของทศวรรษ 1700 ในปี ค.ศ. 1733 อังกฤษสถาปนาอาณานิคมของตนเองได้หมด 13 รัฐ
ตั้งอยู่ชายฝั่งทางตะวันออกของอเมริกาเหนือ
ลึกเข้าไปในแผ่นดินทวีปอเมริกาเหนือ ดินแดนกว้างใหญ่ตกเป็นของฝรั่งเศส
ตั้งแต่เขตควีเบกของแคนาดา ทะเลสาบขนาดใหญ่ทั้ง 5 แห่ง ถูกเรียกว่าเขต “นิวฟรานซ์”ยาวลงมาจนถึงที่ราบลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี ดินแดนนี้ถูกเรียกว่า “ลุยเซียนา”
เขตนิวฟรานซ์เป็นแหล่งส่งออกหนังบีเวอร์ ซึ่งเป็นเครื่องหนังราคาดีในยุโรป การขยายอาณานิคมในอเมริกาของทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้เกิดการ
กระทบกระทั่งกันจนนำมาสู่สงครามอีกครั้ง
สงคราม 7 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1756 - ค.ศ. 1763 เป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ที่ลากประเทศอื่นๆ ในยุโรปเข้ามาร่วม
ด้วย ก่อนจะลามข้ามฝั่งมาถึงดินแดนอาณานิคมในทวีปอเมริกา
ผลของสงครามคือชัยชนะของอังกฤษ ทำให้อังกฤษได้ดินแดนแคนาดาของฝรั่งเศส
และฝรั่งเศสต้องเสีย ลุยเซียนาให้แก่สเปน
อังกฤษกลายเป็นเจ้าอาณานิคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ แต่ก็แลกมากับการสูญเสียงบประมาณไปมหาศาลเพื่อหารายได้มาทดแทนกับค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม สิ่งที่อังกฤษทำคือการ
เก็บภาษีจากชาวอาณานิคม..ทั้งภาษีจากน้ำตาล ไวน์ ไปจนถึงอากรแสตมป์ที่ปิดบนเอกสารและหนังสือพิมพ์ ชาวอาณานิคมเริ่มไม่พอใจ จนนำมาสู่การประท้วง “ไม่จ่ายภาษี ถ้าไม่มีผู้แทน”
เรื่องมาถึงจุดแตกหัก เพราะการออกพระราชบัญญัติลดภาษีใบชาของอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1773
เนื่องจากบริษัทบริติช อีสต์ อินเดีย กำลังประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักจึงลดภาษีของใบชาที่ค้างสต็อกกว่า 18 ล้านปอนด์ ทำให้ใบชาของอังกฤษ
ราคาถูกลง เมื่อเทียบกับใบชาของชาวอาณานิคม
สร้างความไม่พอใจอย่างมากแก่พ่อค้าในเมืองบอสตัน..
ชาวบอสตันจึงรวมตัวกันปลอมตัวเป็นชาวอินเดียนแดง ลับลอบขึ้นเรือบรรทุก ใบชาของอังกฤษ แล้วทิ้งลงทะเลทั้งหมด เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “งานเลี้ยงน้ำชาที่บอสตัน” เหตุการณ์นี้นำมาสู่การสั่งปิดท่าเรือบอสตัน จนทำให้ตัวแทนทั้ง 13 อาณานิคมต้องมีการจัดประชุมสภาแห่งภาคพื้นทวีปเป็นครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1774 ที่ฟิลาเดลเฟีย
การประชุมนำมาสู่การคว่ำบาตรสินค้าอังกฤษทุกประเภทชาวอาณานิคมเริ่มสะสมอาวุธปืน และมีการปะทะกันกับกองกำลังอังกฤษจนมาถึงวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ในการประชุมสภาแห่งภาคพื้นทวีปครั้งที่ 2
โทมัส เจฟเฟอร์สัน ได้ร่างคำประกาศอิสรภาพ ซึ่งมีใจความว่า“13 อาณานิคม ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษอีกต่อไป”
ผู้แทนทั้ง 13 อาณานิคม ได้ร่วมลงนามในคำประกาศในวันนั้นซึ่งกลายเป็นรากฐานของหลักความเชื่อสำหรับชาวอเมริกัน คือสิทธิในชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข
ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว
แต่กว่าจะได้มาซึ่งอิสรภาพ ชาวอเมริกันต้องต่อสู้กับกองทัพที่มีแสนยานุภาพมากที่สุดในโลก
ในสงครามต่อสู้เพื่อเอกราช ซึ่งใช้ระยะเวลาเกือบ 7 ปี ในช่วงท้ายสงครามที่ต่างฝ่ายต่างอ่อนแอทั้งคู่ กองทัพฝรั่งเศส คู่ปรับตลอดกาลของอังกฤษก็ได้เข้ามาช่วยฝ่ายอเมริกันจนท้ายที่สุด หลังจากสูญเสียทั้งคนและเงินไปกับสงคราม อังกฤษก็ยอมรับ
เอกราชของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1783
สภาคองเกรสได้ออกกฎหมายว่าด้วยสิทธิ เพื่อรับรองเสรีภาพของชาวอเมริกัน
จอร์จ วอชิงตัน ได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา
นับเป็นก้าวแรกของประชาธิปไตยบนทวีปใหม่ อุดมการณ์นี้จะข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก กลับไปยังยุโรปและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อหลายประเทศ ดินแดนแห่งเสรีภาพแห่งนี้ จะดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก ให้เข้ามาสร้างอนาคต ด้วยสมองและสองมือของตัวเอง..
แต่อย่างไรก็ตาม การถือกำาเนิดของสหรัฐอเมริกา
ไม่ได้ทำให้จักรวรรดิอังกฤษถึงจุดจบแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม จักรวรรดิแห่งนี้กำลังเดินหน้าขยายดินแดนอย่างเต็มกำลัง
บริษัทบริติช อีสต์ อินเดีย ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1600 มีการตั้งสถานีค้าขายไปทั่วโลก โดยเฉพาะในอินเดีย เมื่อผู้ปกครองแคว้นเบงกอลได้ยึดสถานีการค้าของอังกฤษในกัลกัตตา ด้วยข้อหาละเมิดกฎหมายการค้าท้องถิ่น
โรเบิร์ต ไคลฟ์ ผู้บัญชาการสูงสุดของบริติชอินเดีย จึงได้นำกองทหาร ที่มีอาวุธทันสมัย ยึดครองแคว้นเบงกอล ซึ่งเป็นแคว้นร่ำรวยที่สุดในอินเดีย ให้ตกเป็นของอังกฤษได้ในปี ค.ศ. 1757
นับเป็นจุดเริ่มต้นของการยึดครองดินแดนที่มีชื่อว่า อินเดีย ทีละเล็กทีละน้อยนอกจากแคนาดาในอเมริกาเหนือ เบงกอลในอินเดีย ชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกา อังกฤษยังได้ดินแดนเพิ่มในทวีปใหม่ที่มีชื่อว่า ออสเตรเลีย
อังกฤษเป็นประเทศที่มีประชากรเพียง 10 ล้านคนในปลายศตวรรษที่ 18 และกําลังค่อยๆ แผ่ขยายเงื้อมมือเพื่อครองโลก..
แต่สําหรับฝรั่งเศส ประเทศที่มีประชากร 28 ล้านคน ซึ่งเป็นจํานวนมากที่สุดในยุโรปตะวันตกอยู่ภายใต้การปกครองของกษัตริย์หนุ่ม พระนามว่า พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 การก่อสงครามนับครั้งไม่ถ้วน และความหรูหราอลังการของพระราชวัง แวร์ซาย มีสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังคือ ภาระหนี้สินอันมหาศาล
ความล้มเหลวทางการเงินจะผลักดันให้อาณาจักรอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทรงพลังที่สุดซึ่งก็คือ “พลังประชาชนของตนเอง”..