สวัสดีครับ
โดยส่วนตัวผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการ และพิธีการแก้คุณไสย อะไรต่างๆเท่าไหร่นัก
และด้วยชีวิตส่วนตัวของผมซึ่งคิดว่าน่าจะห่างไกลเรื่องพวกนี้ เพราะเป็นคนเมืองกรุง เจอแต่ความเจริญ ชีวิตที่ทันสมัยสะดวกสบาย
นิสัยส่วนตัวไม่ชอบเรื่องราวพวกนี้ ไม่คิดเข้าไปข้องเกี่ยว เห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ไร้แก่นสารสำหรับชีวิตไปด้วยซ้ำ
แต่ด้วยชีวิตประสบพบเจอเรื่องแปลกๆที่ไม่คิดว่าจะได้มาเจอ จึงอยากนำมาเล่าให้อ่านได้รับรู้เผื่อจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้ที่ประสบปัญหาอยู่
นานมาแล้วประมาณ 6-7 ปีได้ ผมได้ถูกสลัดรักจากแฟนที่อยู่ร่วมกันมา ครั้งหนึ่งจำได้ว่าเธอเคยบอกผมว่าเคยไปทำพิธีกรรมอย่างหนึ่ง
ก่อนมามีเพศสัมพันธ์กับผม คือ ไปให้หมอร่างทรงคนหนึ่งทำพิธีกรรมลงทองที่อวัยวะเพศของตนเอง(ผมเข้าใจว่าปิดทองที่ตรงนั้นแต่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียด)แต่เธอบอกว่าเป็นวิธีการแก้ของหมอที่ทำให้คนอาภัพเรื่องคู่ มีคู่ได้อย่างยั่งยืน
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมระหว่างที่คบผู้หญิงคนนี้ คือ จะมีอาการทรมาน ร้อนรุ่มจิตใจเมื่อไม่ได้อยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้ สมองจะเบลอๆคิดอ่านอะไรไม่ค่อยได้เหมือนปกติ(ทั้งหมดนี้ระลึกได้หลังจากที่เลิกกับเธอแล้วกลับมาพิจารณาอาการที่เป็นซึ่งได้หายจากอาการดังกล่าวแล้ว)
หลังจากที่ได้เลิกกับผู้หญิงคนนี้แล้ว อาการรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นทรุด น้ำหนักตัวลด ผอมแห้งจนเห็นซี่โครงเกือบทุกซี่(ซึ่งผมเองก็พยายามสู้กับอาการ) พยายามไปหาหมอทานยาระงับประสาท สารพัดเพื่อหาวิธีตัดแต่ก็ร้อนรุ่มจิตใจจนทำงานทำการไม่ได้ ผมพยายามสู้อาการประมาณ 3 เดือน
จนตัวเองตัดสินใจหันเหเข้าไปรักษาศีล ปฏิบัติธรรมที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งถือว่าอยู่ในป่าลึกและห่างไกลความเจริญ
ไปอยู่ได้ประมาณ 1 อาทิตย์ก็เจอเรื่องแปลกๆ อาทิเช่น แมลงสัตว์ พยายามเข้ามากัดต่อยตนเอง ตั้งแต่ โดนแมงป่องต่อย ผึ้งต่อย(ตอนกลางคืน) หน้าศาลาที่พักมีแมงป่องช้างตัวใหญ่ที่บันไดล่างสุด มีงูห้องอาบน้ำ แต่ก็พยายามคิดว่าเรามาอยู่กลางป่า กลางเขา การเจอสัตว์แบบนี้เป็นเรื่องปกติ ธรรมดา กิจวัตรประจำวันคือ สวดมนต์ทำวัตร เช้า เย็น นั่งสมาธิ เดินจงกรม ถือศีลอุโบสถ นุ่งขาวห่มขาว รับใช้พระภิกษุ แต่ทำอย่างไรอาการเบลอ คิดอะไรไม่ออก ประสาทหลอนเหมือนเห็นโน่นเห็นนี่ ได้ยินเสียงนั่นเสียงนี่ ก็ไม่หาย
วันหนึ่งก็ได้สนทนาธรรมกับพระรูปหนึ่งในวันพระ ก่อนเข้าปาฏิโมกข์ ท่านพูดถึงพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งดูแลวัดสาขาของวัดที่ผมได้มาปฏิบัติ มีความรู้ความสามารถในการแก้อาการดังกล่าว และแล้วในวันพระนั้นผมก็ได้จับพลัดจับผลูเดินทางไปที่วัดสาขากับพระสงฆ์รูปนั้น
ระหว่างทางผมยังจำได้แม่นว่าท่านพูดคุยกับผมหลังรถกระบะที่นั่งมากับท่านว่า "องค์เทพอะไรไม่เห็นมี เห็นแต่ผีตามมาเต็ม" ผมได้แต่นั่งอึ้ง
ท่านว่าเมื่อถึงวัดแล้วค่อยคุยกัน และเมื่อถึงวัดยอมรับเลยว่า วัดนี้อยู่ในที่ลึกและกันดารสุดๆ เป็นวัดร้างที่ท่านได้รับมอบหมายให้มาบูรณะ ซึ่งที่วัด จะมีศาลเจ้าแม่กวนอิมเก่าๆที่พังแล้ว เมรุเผาศพ ศาลาเผาศพที่เลิกใช้ กุฏิในป่าลึกประมาณ 4 กุฏิ ศาลาโรงครัว ผมยอมรับเลยมันเป็นวัดร้างที่วังเวงมาก เพราะว่าป่าไม้แถบนั้นถูกโค่นหมด มันโปร่งแต่มันมีบรรยากาศหวิวๆมากๆ
พอถึงวัดท่านก็ให้ผมเข้าไปสนทนาธรรมกับท่านที่กุฏิท่าน ระหว่างที่ผมสนทนาผมรู้สึกได้ว่าอาการเบลอๆผมผ่อนคลาย หัวที่เหมือนมีความรู้สึกว่าถูกมัดด้วยอะไรบางอย่างเหมือนถูกคลายออก(ความรู้สึกนี้จำได้แม่นเลย) ผมได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านทราบอย่างละเอียด ท่านฟังแล้วก็ตอบผมว่า ทั้งหมดที่ตามผมมาเข้าวัดไม่ได้ตอนนี้รออยู่นอกวัดกันเต็ม ที่วัดนี้มีผีคอยปกป้องอยู่เข้ามาไม่ได้ง่ายเพราะพวกที่อยู่ไม่ให้เข้ามา
แต่ก็ประมาทไม่ได้เพราะว่าผีพวกนี้มีคนเลี้ยง และส่งมา ผมเองก็อึ้งๆ(เพราะว่าเห็นว่าวัดท่านเป็นวัดสายธรรมยุต ไม่มีเครื่องรางของขลัง ไม่สร้างไม่เล่นคาถาอาคมใดๆ) ว่าทำไมท่านพูดอย่างนี้ ท่านบอกว่าคืนนี้คงหนักหน่อยให้นอนร่วมกุฏิกับท่านแต่คนละห้อง แต่ก่อนจะทำอะไรทุกอย่างท่านให้ผมทำตามดังนี้
อาราธนาตนเองอีกครั้งให้เป็นพุทธมามกะ เป็นอุบาสก ที่นับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของชีวิต
หลังจากนั้นให้บวช ศีล 8 นุ่งขาวห่มขาว เริ่มภาวนา ในอริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน ผมทำตามอย่างเคร่งครัด
และอธิษฐานจิตให้คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปกป้องคุ้มครองผมอยู่เสมออย่าให้ขาด
สายตาของท่านจ้องมองผมอย่างรู้สึกได้ถึงความเมตตา ผมยังจำได้แม้ผมจะไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน
ในคืนนั้นเองท่านกำชับผมว่าห้ามออกมาจากกุฏิโดยเด็ดขาด และมีเหตุแปลกประหลาดดังนี้ ตั้งแต่เข้านอนมีเสียงแปลกสิ่งของตกลงมากระทบกับหลังคากุฏิ เสียงดังตลอดทั้งคืน ดังปัง ดังตุ้บ เสียงเหมือนคนเอาใบไม้กวาดหลังคากุฏิ ผมได้ยินจนผมนอนหลับไปแล้วฝันในจังหวะที่เกือบตื่นพอดี ผมเห็นผู้หญิงผมยาวชุดขาวที่หน้าตาดูเคียดแค้นชิงชัง หน้าขาวเผือดผมยาว ตาโต ใบหน้าขรุขระ แง้มหน้าต่างบนหัวนอนของผมด้วยมือ จังหวะที่ผมสะดุ้งตื่นพอดีหน้าต่างปิดดังปัง และก็มีเสียงดังกระหน่ำหลังคากุฏิมาตลอดทั้งคืน ทั้งที่ไม่มีลม พายุใดๆ
จนกระทั่งเช้า ท่านพระสงฆ์ได้ออกมาคุยกับผมนอกห้องและกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ผมจำได้ว่าท่านได้ปีนไปดูหลังคา หลังคาก็สะอาดไม่มีเศษหินเศษกิ่งไม้หรืออะไรที่จะทำให้เป็นเสียงได้ ท่านจึงถามผมต่อไปว่าผมได้เคยรับขันธ์ หรือไปครอบองค์ ครอบครูอะไรกับเขาไหม ผมก็ตอบว่าเคย ท่านถามต่อว่าแล้วขันธ์พวกนั้นอยู่ที่ไหน ผมตอบว่าอยู่ที่ห้องพระบ้านผม ท่านไม่รีรอช้าพยายามติดต่อลูกศิษย์อุปัฏฐากวัดให้มารับผมไปนำขันธ์นั้นมาทำลาย และหลังจากได้ทำลายเสร็จด้วยการเผาภายในวัดของท่านด้วยตัวท่านเอง
ภายในคืนนั้นก็มีเสียงอะไรบางอย่างหล่นดังตุ้บ(ดังมากๆจนผมคิดว่าหลังคาต้องเสียหายแน่ๆ) เป็นเสียงเดียวในคืนนั้นจริงๆนอกนั้นสงบมีแต่เสียงจิ้งหรีดเรไร ในตอนเช้าท่านให้ผมไปจัดสำรับอาหารคอยอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร หลังจากฉันจังหันแล้วท่านจึงมานั่งสนทนากับผมว่าเมื่อคืนมีอะไรบ้าง และเมื่อเห็นว่ามีเหตุการณ์ตรงกัน ท่านก็บอกว่าท่านได้ปีนขึ้นไปดูบนฝ้าของกุฏิเมื่อเช้านี้ท่านได้พบของชิ้นหนึ่งอยู่บนฝ้าคือ เหมือนผ้า กิ่งไม้(ผมจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรอีก) ถูกพันด้วยสายสิญจน์อยู่บนฝ้ากุฏิที่ผมนอน(ซึ่งเป็นกุฏิเดียวกับท่าน)
ท่านไม่รอช้าจึงรีบนำไปเผาไฟ(ถ้าจำไม่ผิดท่านไม่ต้องการให้ผมไปเห็นเพราะว่าป้องกันของเข้าผม) หลังจากนั้นผมปฏิบัติธรรมด้วยความสงบสุข ผมอยู่วัดได้ประมาณ 1 เดือนอาการทุกอย่างหายไปเป็นปลิดทิ้งตามลำดับ ก่อนออกจากวัดของท่าน ท่านได้ฝากข้อคิดไว้ประโยคหนึ่งให้ใช้ในการดำเนินชีวิตว่า "อย่าคิดถึงอดีต ให้เดินปัจจุบัน อย่าฟุ้งซ่านอนาคต"
ชีวิตหลังจากนั้น ผมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ ร่างทรง องค์เทพ หรืออะไรที่นอกเหนือจาก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกเลย
มีความสุขกาย สุขใจ ตามอรรถภาพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน.
ป.ล. พระภิกษุรูปนี้ที่ช่วยเหลือผมไว้ ผมเห็นว่าเป็นเหมือนพระป่าสายธรรมยุตทั่วไปแต่ไม่ข้องแวะเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังเลย ท่านเองมีเรื่องเล่าประสบการณ์ลึกลับมากมาย รวมถึงวัดของท่านเองที่ผมไปอยู่ก็เฮี้ยนไม่ธรรมดาเลยทีเดียว จนชาวบ้านแถวนั้นมักจะไม่ผ่านมาวัดนี้ในยามค่ำคืนกัน วัดนี้เฮี้ยนจนวัดทั้งวัดมีพระภิกษุประจำอยู่กันแค่ 2 รูป ส่วนพระรูปอื่นมาอยู่ก็อยู่ไม่ได้ขอย้ายวัดกันตลอด.
แก้คุณไสย ทำของ อาถรรพ์ร่างทรง
โดยส่วนตัวผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการ และพิธีการแก้คุณไสย อะไรต่างๆเท่าไหร่นัก
และด้วยชีวิตส่วนตัวของผมซึ่งคิดว่าน่าจะห่างไกลเรื่องพวกนี้ เพราะเป็นคนเมืองกรุง เจอแต่ความเจริญ ชีวิตที่ทันสมัยสะดวกสบาย
นิสัยส่วนตัวไม่ชอบเรื่องราวพวกนี้ ไม่คิดเข้าไปข้องเกี่ยว เห็นเป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ ไร้แก่นสารสำหรับชีวิตไปด้วยซ้ำ
แต่ด้วยชีวิตประสบพบเจอเรื่องแปลกๆที่ไม่คิดว่าจะได้มาเจอ จึงอยากนำมาเล่าให้อ่านได้รับรู้เผื่อจะมีประโยชน์ต่อท่านผู้ที่ประสบปัญหาอยู่
นานมาแล้วประมาณ 6-7 ปีได้ ผมได้ถูกสลัดรักจากแฟนที่อยู่ร่วมกันมา ครั้งหนึ่งจำได้ว่าเธอเคยบอกผมว่าเคยไปทำพิธีกรรมอย่างหนึ่ง
ก่อนมามีเพศสัมพันธ์กับผม คือ ไปให้หมอร่างทรงคนหนึ่งทำพิธีกรรมลงทองที่อวัยวะเพศของตนเอง(ผมเข้าใจว่าปิดทองที่ตรงนั้นแต่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียด)แต่เธอบอกว่าเป็นวิธีการแก้ของหมอที่ทำให้คนอาภัพเรื่องคู่ มีคู่ได้อย่างยั่งยืน
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมระหว่างที่คบผู้หญิงคนนี้ คือ จะมีอาการทรมาน ร้อนรุ่มจิตใจเมื่อไม่ได้อยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้ สมองจะเบลอๆคิดอ่านอะไรไม่ค่อยได้เหมือนปกติ(ทั้งหมดนี้ระลึกได้หลังจากที่เลิกกับเธอแล้วกลับมาพิจารณาอาการที่เป็นซึ่งได้หายจากอาการดังกล่าวแล้ว)
หลังจากที่ได้เลิกกับผู้หญิงคนนี้แล้ว อาการรุนแรงขึ้นจนถึงขั้นทรุด น้ำหนักตัวลด ผอมแห้งจนเห็นซี่โครงเกือบทุกซี่(ซึ่งผมเองก็พยายามสู้กับอาการ) พยายามไปหาหมอทานยาระงับประสาท สารพัดเพื่อหาวิธีตัดแต่ก็ร้อนรุ่มจิตใจจนทำงานทำการไม่ได้ ผมพยายามสู้อาการประมาณ 3 เดือน
จนตัวเองตัดสินใจหันเหเข้าไปรักษาศีล ปฏิบัติธรรมที่วัดป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งถือว่าอยู่ในป่าลึกและห่างไกลความเจริญ
ไปอยู่ได้ประมาณ 1 อาทิตย์ก็เจอเรื่องแปลกๆ อาทิเช่น แมลงสัตว์ พยายามเข้ามากัดต่อยตนเอง ตั้งแต่ โดนแมงป่องต่อย ผึ้งต่อย(ตอนกลางคืน) หน้าศาลาที่พักมีแมงป่องช้างตัวใหญ่ที่บันไดล่างสุด มีงูห้องอาบน้ำ แต่ก็พยายามคิดว่าเรามาอยู่กลางป่า กลางเขา การเจอสัตว์แบบนี้เป็นเรื่องปกติ ธรรมดา กิจวัตรประจำวันคือ สวดมนต์ทำวัตร เช้า เย็น นั่งสมาธิ เดินจงกรม ถือศีลอุโบสถ นุ่งขาวห่มขาว รับใช้พระภิกษุ แต่ทำอย่างไรอาการเบลอ คิดอะไรไม่ออก ประสาทหลอนเหมือนเห็นโน่นเห็นนี่ ได้ยินเสียงนั่นเสียงนี่ ก็ไม่หาย
วันหนึ่งก็ได้สนทนาธรรมกับพระรูปหนึ่งในวันพระ ก่อนเข้าปาฏิโมกข์ ท่านพูดถึงพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งดูแลวัดสาขาของวัดที่ผมได้มาปฏิบัติ มีความรู้ความสามารถในการแก้อาการดังกล่าว และแล้วในวันพระนั้นผมก็ได้จับพลัดจับผลูเดินทางไปที่วัดสาขากับพระสงฆ์รูปนั้น
ระหว่างทางผมยังจำได้แม่นว่าท่านพูดคุยกับผมหลังรถกระบะที่นั่งมากับท่านว่า "องค์เทพอะไรไม่เห็นมี เห็นแต่ผีตามมาเต็ม" ผมได้แต่นั่งอึ้ง
ท่านว่าเมื่อถึงวัดแล้วค่อยคุยกัน และเมื่อถึงวัดยอมรับเลยว่า วัดนี้อยู่ในที่ลึกและกันดารสุดๆ เป็นวัดร้างที่ท่านได้รับมอบหมายให้มาบูรณะ ซึ่งที่วัด จะมีศาลเจ้าแม่กวนอิมเก่าๆที่พังแล้ว เมรุเผาศพ ศาลาเผาศพที่เลิกใช้ กุฏิในป่าลึกประมาณ 4 กุฏิ ศาลาโรงครัว ผมยอมรับเลยมันเป็นวัดร้างที่วังเวงมาก เพราะว่าป่าไม้แถบนั้นถูกโค่นหมด มันโปร่งแต่มันมีบรรยากาศหวิวๆมากๆ
พอถึงวัดท่านก็ให้ผมเข้าไปสนทนาธรรมกับท่านที่กุฏิท่าน ระหว่างที่ผมสนทนาผมรู้สึกได้ว่าอาการเบลอๆผมผ่อนคลาย หัวที่เหมือนมีความรู้สึกว่าถูกมัดด้วยอะไรบางอย่างเหมือนถูกคลายออก(ความรู้สึกนี้จำได้แม่นเลย) ผมได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านทราบอย่างละเอียด ท่านฟังแล้วก็ตอบผมว่า ทั้งหมดที่ตามผมมาเข้าวัดไม่ได้ตอนนี้รออยู่นอกวัดกันเต็ม ที่วัดนี้มีผีคอยปกป้องอยู่เข้ามาไม่ได้ง่ายเพราะพวกที่อยู่ไม่ให้เข้ามา
แต่ก็ประมาทไม่ได้เพราะว่าผีพวกนี้มีคนเลี้ยง และส่งมา ผมเองก็อึ้งๆ(เพราะว่าเห็นว่าวัดท่านเป็นวัดสายธรรมยุต ไม่มีเครื่องรางของขลัง ไม่สร้างไม่เล่นคาถาอาคมใดๆ) ว่าทำไมท่านพูดอย่างนี้ ท่านบอกว่าคืนนี้คงหนักหน่อยให้นอนร่วมกุฏิกับท่านแต่คนละห้อง แต่ก่อนจะทำอะไรทุกอย่างท่านให้ผมทำตามดังนี้
อาราธนาตนเองอีกครั้งให้เป็นพุทธมามกะ เป็นอุบาสก ที่นับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งของชีวิต
หลังจากนั้นให้บวช ศีล 8 นุ่งขาวห่มขาว เริ่มภาวนา ในอริยาบถ เดิน ยืน นั่ง นอน ผมทำตามอย่างเคร่งครัด
และอธิษฐานจิตให้คุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปกป้องคุ้มครองผมอยู่เสมออย่าให้ขาด
สายตาของท่านจ้องมองผมอย่างรู้สึกได้ถึงความเมตตา ผมยังจำได้แม้ผมจะไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน
ในคืนนั้นเองท่านกำชับผมว่าห้ามออกมาจากกุฏิโดยเด็ดขาด และมีเหตุแปลกประหลาดดังนี้ ตั้งแต่เข้านอนมีเสียงแปลกสิ่งของตกลงมากระทบกับหลังคากุฏิ เสียงดังตลอดทั้งคืน ดังปัง ดังตุ้บ เสียงเหมือนคนเอาใบไม้กวาดหลังคากุฏิ ผมได้ยินจนผมนอนหลับไปแล้วฝันในจังหวะที่เกือบตื่นพอดี ผมเห็นผู้หญิงผมยาวชุดขาวที่หน้าตาดูเคียดแค้นชิงชัง หน้าขาวเผือดผมยาว ตาโต ใบหน้าขรุขระ แง้มหน้าต่างบนหัวนอนของผมด้วยมือ จังหวะที่ผมสะดุ้งตื่นพอดีหน้าต่างปิดดังปัง และก็มีเสียงดังกระหน่ำหลังคากุฏิมาตลอดทั้งคืน ทั้งที่ไม่มีลม พายุใดๆ
จนกระทั่งเช้า ท่านพระสงฆ์ได้ออกมาคุยกับผมนอกห้องและกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ผมจำได้ว่าท่านได้ปีนไปดูหลังคา หลังคาก็สะอาดไม่มีเศษหินเศษกิ่งไม้หรืออะไรที่จะทำให้เป็นเสียงได้ ท่านจึงถามผมต่อไปว่าผมได้เคยรับขันธ์ หรือไปครอบองค์ ครอบครูอะไรกับเขาไหม ผมก็ตอบว่าเคย ท่านถามต่อว่าแล้วขันธ์พวกนั้นอยู่ที่ไหน ผมตอบว่าอยู่ที่ห้องพระบ้านผม ท่านไม่รีรอช้าพยายามติดต่อลูกศิษย์อุปัฏฐากวัดให้มารับผมไปนำขันธ์นั้นมาทำลาย และหลังจากได้ทำลายเสร็จด้วยการเผาภายในวัดของท่านด้วยตัวท่านเอง
ภายในคืนนั้นก็มีเสียงอะไรบางอย่างหล่นดังตุ้บ(ดังมากๆจนผมคิดว่าหลังคาต้องเสียหายแน่ๆ) เป็นเสียงเดียวในคืนนั้นจริงๆนอกนั้นสงบมีแต่เสียงจิ้งหรีดเรไร ในตอนเช้าท่านให้ผมไปจัดสำรับอาหารคอยอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร หลังจากฉันจังหันแล้วท่านจึงมานั่งสนทนากับผมว่าเมื่อคืนมีอะไรบ้าง และเมื่อเห็นว่ามีเหตุการณ์ตรงกัน ท่านก็บอกว่าท่านได้ปีนขึ้นไปดูบนฝ้าของกุฏิเมื่อเช้านี้ท่านได้พบของชิ้นหนึ่งอยู่บนฝ้าคือ เหมือนผ้า กิ่งไม้(ผมจำไม่ได้แล้วว่ามีอะไรอีก) ถูกพันด้วยสายสิญจน์อยู่บนฝ้ากุฏิที่ผมนอน(ซึ่งเป็นกุฏิเดียวกับท่าน)
ท่านไม่รอช้าจึงรีบนำไปเผาไฟ(ถ้าจำไม่ผิดท่านไม่ต้องการให้ผมไปเห็นเพราะว่าป้องกันของเข้าผม) หลังจากนั้นผมปฏิบัติธรรมด้วยความสงบสุข ผมอยู่วัดได้ประมาณ 1 เดือนอาการทุกอย่างหายไปเป็นปลิดทิ้งตามลำดับ ก่อนออกจากวัดของท่าน ท่านได้ฝากข้อคิดไว้ประโยคหนึ่งให้ใช้ในการดำเนินชีวิตว่า "อย่าคิดถึงอดีต ให้เดินปัจจุบัน อย่าฟุ้งซ่านอนาคต"
ชีวิตหลังจากนั้น ผมไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับ ร่างทรง องค์เทพ หรืออะไรที่นอกเหนือจาก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกเลย
มีความสุขกาย สุขใจ ตามอรรถภาพตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน.
ป.ล. พระภิกษุรูปนี้ที่ช่วยเหลือผมไว้ ผมเห็นว่าเป็นเหมือนพระป่าสายธรรมยุตทั่วไปแต่ไม่ข้องแวะเกี่ยวกับเครื่องรางของขลังเลย ท่านเองมีเรื่องเล่าประสบการณ์ลึกลับมากมาย รวมถึงวัดของท่านเองที่ผมไปอยู่ก็เฮี้ยนไม่ธรรมดาเลยทีเดียว จนชาวบ้านแถวนั้นมักจะไม่ผ่านมาวัดนี้ในยามค่ำคืนกัน วัดนี้เฮี้ยนจนวัดทั้งวัดมีพระภิกษุประจำอยู่กันแค่ 2 รูป ส่วนพระรูปอื่นมาอยู่ก็อยู่ไม่ได้ขอย้ายวัดกันตลอด.