O ye who believe! take not the Jews and the Christians for your friends and protectors: They are but friends and protectors to each other. And he amongst you that turns to them (for friendship) is of them. Verily Allah guideth not a people unjust. (5:51)
การที่นำเรื่องนี้มาก็เพื่ออธิบายให้คุณ MCE และมุสลิมในที่นี้ได้เข้าใจว่า อัลกุรอาน นั้นสอนให้มุสลิม เลือก เอาผู้คนชนิดใดเป็นมิตร เราจะเห็นว่า ทางฝ่ายมุสลิมผุ้รู้ ที่ มีความ โกรธแค้นและ ผูกใจเจ็บ ชาวยิวและ ชาวคริสเตียน มาตั้งแต่สงคราม ประวัติศาสตร์,ได้สอนเยาวชนมุสลิมกันต่อๆมาให้เกลียด ยิว,คริสเตียน และ บรรดาผู้ที่ต่างศรัทธา ไม่ให้เอาพวกเขามาคบเป็นเพื่อน, จนเด็กๆมุสลิมพวก นี้เมื่อ โตขึ้นจนแก่เฒ่า ก็ยังคงเกลียด ยิว เป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะ มุสลิมในลัทธิ วะฮาบีย์ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากประ เทศซาอุดิอารเบีย
การสอนเช่นนี้ เจริญรอย ตามกันมาจนถึงในปัจจุบันนี้, ผลที่ไดรับคือ มุสลิมส่วน ใหญ่ ที่ไม่มีการศึกษาอิสลามที่ถูกต้อง จะ เชื่อฟังคำสอน ดังกล่าว และมุสลิมส่วนมาก จะเกลียดยิวและคริสเตียน, แม้แต่ภายนอกจะแสดง ความ เป็นมิตร ก็ตาม เนื่องจาก ถูกสอนมาโดยใช้ อัลกุรอาน ในการอ้างอิงเพียงส่วนเดียว แต่ไม่มีการอธิบาย อย่างลึก ซึ้ง
ผู้รู้ดังกล่าวมักจะอ้างอัลกุรอาน บัญญัติที่ 5:51 มาอ้างอิง
โดยเฉพาะ “มุสลิมลัทธิวะฮาบีย์ ซาอุดิอารเบีย” จะเอาบัญญัตินี้เข้าไว้ในหลักสูตร การสอน ศาสนาอิสลาม ในระดับประถมศึกษา เพื่อล้างสมอง เยาวชน มุสลิม ตั้งแต่เยาวัย เพื่อให้เกลียดยิวและคริสเตียน ดำเนินการสงคราม กับยิวและ คริสเดียนไปตลอดชาติ จองล้างจองผลาญ กันอย่างไม่มีความสิ้นสุด, ใช้การอธิบาย โดยใช้ข้อความข้าง ล่าง เพียง ตอนเดียว และไม่เล่าที่มาที่ไปของ, ว่าคำอธิบายข้างล่างนี้ เขาหมายถึงอะไร?
“คือยิวนั้นต่างรักใคร่ซึ่งกันและกัน และคริสต์เช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันทั้งหมดนั้น เป็นศัตรูของมุสลิมีน, ด้วยเหตุนี้ถ้าคบพวกเขาเป็นมิตรแล้วพวกเขา ก็ย่อมจะล่วงรู้ ในความเร้นลับอขงฝ่ายมุสลิม แล้วรายงานให้พวกเขาทราบ และอีกประการหนึ่ง ยิวกับ คริสต์นั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ศรัทธาต่อนะบีของกันและกัน แต่พวกเขา ก็ให้ ความ ช่วยเหลือกันในการเป็นศัตรูกับมุสลิม ดังนั้นในสองพวกนี้จึงไม่เป็นที่ไว้วาง ใจแก่มุสลิมีนได้”
ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ไม่เข้าใจศาสนาอิสลาม ก็นะนำบัญญัติที่ 5:51 นี้ มาอ้างอิง ล้อเลียน ประณาม มว่าศาสนา อิสลามสอน ให้สร้างศัตรู ไม่ใช่สร้าง มิตร และเมื่อ เป็นเช่นนี้จะเรียกศาสนาอิสลาม ว่า “อิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพได้อย่างไร?”
อัลกุรอาน บัญญัติที่ 5:51
O ye who believe! take not the Jews and the Christians for your friends and protectors: They are but friends and protectors to each other. And he amongst you that turns to them (for friendship) is of them. Verily Allah guideth not a people unjust.
51. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน และผู้ใด ในหมู่พวก เจ้าเอา พวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริง อัลลอฮ์นั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม
อัล กุรอานเป็นหนังสือที่สมบูรณ์ด้วยคำแนะนำต่างๆ, ในขณะที่เราศึกษา อัลกุรอานนั้น ให้นึกไว้ ในใจเสมอว่า, เรื่องราวเรื่องหนึ่งเรื่องใด โดยฉพาะ ใน อัลกุรอาน นั้นบางครั้งต้องการคำอธิบายจากหลายๆ บัญญัติ ซึ่งอยู่ใน บทต่างๆกัน หรือไม่ก็จาก บัญญัติที่ต่อเนื่องกันในบทเดียวกัน ตลอด คัมภีร์
การทำความเข้าใจเรื่องราวต่างๆในอัลกุรอานอย่างสมบูรณ์ นั้น มีทาง เดียวที่จะ ทำได้ก็คือ, อ่านอัลกุรอานให้เข้า ใจทุกๆบัญญัติ และ ทุกๆบท, ไม่ใช่อ่านแต่ เพียง บัญญัติ เดียว หรือ สองบัญญัติ แล้วก็ยกมา อ้างอิง เพื่อหาประโยชน์ เข้าตัว, ซึ่งพระเจ้า(อัลลอฮ์ตะอาลา) เตือนและห้ามุสลิม ไม่ให้ ศึกษา และใช้อัลกุรอาน ในวิธีนั้น คือ ห้ามไม่ให้ มุสลิมศึกษา อัลกุรอาน ด้วย ยึดแต่เพียงส่วนเดียว และอ้าง ว่า ส่วนอืนๆ ได้ถูกยกเลิกไป แล้ว จึงตัดทิ้งไปไม่ต้องนำมาอธิบายอีก
บัญญัติอัลกุรอานบัญญัติ ที่ 5:51 นี้ ผมเห็นคุณ MCE ยกมาอ้างอิงอยู่ เสมอ กับ บรรดามุสลิมผุ้เคร่งครัดศาสนาในห้องนี้ แต่ไม่มีมุสลิมผู้ใด ช่วยอธิบาย ให้ คุณ MCE เ้ข้าใจได้ นอกจาก การโต้เถียงกัน ผมคิดว่า ขณะนี้สมควรที่ จะทำความเข้าใจ กับผู้ต่างศรัทธา ที่เข้าใจศาสนาอิสลาม อย่างผิดพลาด แม้แต่มุสลิมในที่นี้ ก็ไม่ใส่ใจที่จะศึกษา หาความรู้ความ เข้าใจ เพื่อที่จะ ช่วย แก้ปัญหาการล้อเลียน ด้วยความเข้าใจผิด ว่า ศาสนาอิสลามสอน ให้มุสลิมมีความ ทิฐิ
ถ้ามุสลิมผู้รู้สอนลูกศิษย์มุสลิม ในที่นี้ ให้เข้า ใจวิธี การศึกษาอัลกุรอาน ให้ถูกต้อง เรื่องราวในการล่วงเกิน ความศรัทธา ของกันและกันก็จะไม่เกิด ขึ้น ทั้งนี้เพราะว่า เด็กๆ มุสลิมมี ความรู้ เพียง พอ และมารยาทดีพอ และ ความ อดทน เพียงพอ ที่จะหยุด ถอนหายใจ อึดใหญ่, แล้วใช้ความรู้ ใน อัลกุรอานอธิบายให้เขาเข้าใจ
อัลกุรอาน บัญญัติที่ 2:85 บัญญัติไว้ว่า
After this it is ye, the same people, who slay among yourselves, and banish a party of you from their homes; assist (Their enemies) against them, in guilt and rancour; and if they come to you as captives, ye ransom them, though it was not lawful for you to banish them. Then is it only a part of the Book that ye believe in, and do ye reject the rest? but what is the reward for those among you who behave like this but disgrace in this life?- and on the Day of Judgment they shall be consigned to the most grievous penalty. For Allah is not unmindful of what o.
(2:85)
85. ภายหลังพวกเจ้านี้แหละฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง และขับไล่กลุ่มหนึ่งในหมู่ พวก เจ้าออกจากหมู่บ้านของพวกเขา โดยที่พวกเจ้าต่างร่วมมือกันเอาชนะพวกเขา ด้วย การ กระทำบาป และการเป็นศัตรูกัน และถ้าพวกเขา มายังพวกเจ้าในฐานะเชลย พวกเจ้าก็ไถ่ตัวพวกเขา ทั้ง ๆ ที่การขังไล่พวกเขาออกไปนั้น เป็น ที่ต้องห้ามแก่พวกเจ้า
พวกเจ้าจะศรัทธาแต่เพียงบางส่วนของคัมภีร์และปฏิเสธและปฏิเสธอีกบางส่วนกระนั้นหรือ ? ดังนั้น สิ่งตอบแทนแก่ผุ้กระทำเช่นนั้น จากพวกเจ้าจึงมิใช่อะไรอื่น นอกจาก ความอัปยศอดสูในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้เท่านั้น และในวันกิยามะฮ์ พวกเขาจะ ถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันฉกรรจ์ยิ่ง และอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงเผลอในสิ่งที่ พวก เจ้า กระท ำกันอยู่
จากบัญญัติที่ 2:85 ข้างบนนี้ ที่บัญญัติไว้ว่า, “พวกเจ้าจะศรัทธาแต่เพียงบางส่วนของคัมภีร์และปฏิเสธและปฏิเสธอีกบางส่วนกระนั้นหรือ ? “
บัญญัติที่ 2:85 การที่เราจะเข้าใจเรื่องราวใดๆก็ตามจากอัลกุรอานเรา จะต้อง เอาบัญญัติต่างๆที่ เกี่ยวข้องกันมาประกอบการอธิบาย เช่นเดียวกัน, ในการที่ว่า มุสลิมจะเอายิวหรือ, คริสเตียน หรือผู้ต่างศรัทธา อื่นๆ มา เป็นเพื่อนได้หรือไมนั้น, เราจะต้องศึกษา ทุกๆบัญญัติที่ เกี่ยวกับ ปัญหา เดียวกันที่เราต้องการจะเข้าใจ, ในกรณีนี้ เราลองมาทำความ เข้า ใจ กับอัลกุรอาน สองบัญญัติต่อไปนี้
อัลกุรอาน บัญญัติที่ 60:8
As for such [of the unbelievers] as do not fight against you on account of [your] faith, and neither drive you forth from your homelands, God does not forbid you to show them kindness and to behave towards them with full equity: for, verily, God loves those who act equitably.
8.อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะ ทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขาแท้จริงอัลลอฮฺ ทรงรักผู้มี ความ ยุติธรรม
อัลกุรอาน บัญญัติที่ 60:9
God only forbids you to turn in friendship towards such as fight against you because of [your] faith, and drive you forth from your homelands, or aid [others] in driving you forth: and as for those [from among you] who turn towards them in friendship; it is they, they who are truly wrongdoers! (Quran 60:9)
9. แต่ว่าอัลลอฮทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า และช่วยเหลือให้ขับไล่ พวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะผูกมิตรกับพวกเขาและผู้ใดผูกมิตรกับพวกเขา ชนเหล่านั้น พวก เขา เป็นผู้อธรรม
จากอัลกุรอานทั้งสองบัญญัตินี้ทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า อัลกุรอานไม่ สนับ สนุน ให้มุสลิม เอาผู้ที่ ทำการร้าย มุสลิมด้วยเหตุผล ทางศาสนา ของ เขา ซึ่งหมายถึง การ ที่เขาต้องการให้มุสลิม เปลี่ยนศาสนาเป็น ศาสนาเดียวกันกับเขา, หรือ ต้องการ ทำลายล้างศาสนาอิสลาม กลุ่ม บุคคลดังกล่าวมุสลิมไม่ควรจะ เอา มาเป็น มิตรด้วย
ทีนี้ เรามา พิจารณา ข้อความ ในบัญญัติที่ถัดมาจากบัญญัติ ที่ 5:51 ที่ กล่าวมาเริ่ม แรก คือ บัญญัติที่ 5:52 ว่าบัญญัตินี้จะเพิ่ม ความกระจ่าง อะไรให้แก่เราได้บ้าง เกี่ยว กับปัญหาในเรื่องนี้
อัลกุรอาน บัญญัติที่ 5:52
And yet you can not see how those in whose hearts there is disease vie with one another for their good will (the hostile Jews and Christians), saying [to themselves], "We do fear lest a change of fortune bring us disaster." But God may well bring about good fortune [for the believers] or any [other] event of His own devising, whereupon those [waverers] will be smitten with remorse for the thoughts which they had secretly harboured within themselves
แล้วเจ้าจะไม่เห็นเหตุที่บรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีโรค ต่างรีบเร่งกันไป อยู่ใน หมู่พวกเขา โดยกล่าวว่า พวกเรากลัวภัยพิบัติ จะเวียนมาประสบแก่พวกเรา อาจ เป็นไปได้ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทรงนำมาซึ่งชัยชนะ หรือไม่ก็นำพระบัญชาอย่างหนึ่ง อย่างใดมาจากที่พระองค์ แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้เสียใจต่อสิ่งที่พวกเขา ปกปิด ไว้ในใจของพวกเขา (5:52)
ในระหว่างช่วงเวลาที่ ยิวและคริสเตียน มีข้อโต้แย้งกับ มุสลิมอย่างเปิด เผยนั้น, ได้มีมุสลิมบางกลุ่มที่มีความกังวล เกี่ยวกับความต้อง การที่จะรัก ษามิตรภาพ กับชาวยิวและ ชาวคริสเตียน โดยไม่เกรงกลัวว่า ชุมชนของ มุสลิมจะถูกทำลาย,คือยอมแม้แต่ว่า เป็นไส้ศึกให้กับศัตรู ที่มุ่งหวังในการ ทำลาย ชุมชนของมุสลิม ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ อัลกุรอานบัญญัติ 5:52 อ้างถึง
ศาสนาอิสลามสอนให้มุสลิมคบค้าสมาคมกับผู้ที่ทรงไว้ด้วยคุณธรรมและยุติธรรม ไม่ว่าเขาจะมีศรัทธาใดก็ตาม...
การที่นำเรื่องนี้มาก็เพื่ออธิบายให้คุณ MCE และมุสลิมในที่นี้ได้เข้าใจว่า อัลกุรอาน นั้นสอนให้มุสลิม เลือก เอาผู้คนชนิดใดเป็นมิตร เราจะเห็นว่า ทางฝ่ายมุสลิมผุ้รู้ ที่ มีความ โกรธแค้นและ ผูกใจเจ็บ ชาวยิวและ ชาวคริสเตียน มาตั้งแต่สงคราม ประวัติศาสตร์,ได้สอนเยาวชนมุสลิมกันต่อๆมาให้เกลียด ยิว,คริสเตียน และ บรรดาผู้ที่ต่างศรัทธา ไม่ให้เอาพวกเขามาคบเป็นเพื่อน, จนเด็กๆมุสลิมพวก นี้เมื่อ โตขึ้นจนแก่เฒ่า ก็ยังคงเกลียด ยิว เป็นอันดับหนึ่ง โดยเฉพาะ มุสลิมในลัทธิ วะฮาบีย์ ซึ่งมีแหล่งกำเนิดมาจากประ เทศซาอุดิอารเบีย
การสอนเช่นนี้ เจริญรอย ตามกันมาจนถึงในปัจจุบันนี้, ผลที่ไดรับคือ มุสลิมส่วน ใหญ่ ที่ไม่มีการศึกษาอิสลามที่ถูกต้อง จะ เชื่อฟังคำสอน ดังกล่าว และมุสลิมส่วนมาก จะเกลียดยิวและคริสเตียน, แม้แต่ภายนอกจะแสดง ความ เป็นมิตร ก็ตาม เนื่องจาก ถูกสอนมาโดยใช้ อัลกุรอาน ในการอ้างอิงเพียงส่วนเดียว แต่ไม่มีการอธิบาย อย่างลึก ซึ้ง
ผู้รู้ดังกล่าวมักจะอ้างอัลกุรอาน บัญญัติที่ 5:51 มาอ้างอิง
โดยเฉพาะ “มุสลิมลัทธิวะฮาบีย์ ซาอุดิอารเบีย” จะเอาบัญญัตินี้เข้าไว้ในหลักสูตร การสอน ศาสนาอิสลาม ในระดับประถมศึกษา เพื่อล้างสมอง เยาวชน มุสลิม ตั้งแต่เยาวัย เพื่อให้เกลียดยิวและคริสเตียน ดำเนินการสงคราม กับยิวและ คริสเดียนไปตลอดชาติ จองล้างจองผลาญ กันอย่างไม่มีความสิ้นสุด, ใช้การอธิบาย โดยใช้ข้อความข้าง ล่าง เพียง ตอนเดียว และไม่เล่าที่มาที่ไปของ, ว่าคำอธิบายข้างล่างนี้ เขาหมายถึงอะไร?
“คือยิวนั้นต่างรักใคร่ซึ่งกันและกัน และคริสต์เช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกันทั้งหมดนั้น เป็นศัตรูของมุสลิมีน, ด้วยเหตุนี้ถ้าคบพวกเขาเป็นมิตรแล้วพวกเขา ก็ย่อมจะล่วงรู้ ในความเร้นลับอขงฝ่ายมุสลิม แล้วรายงานให้พวกเขาทราบ และอีกประการหนึ่ง ยิวกับ คริสต์นั้นแม้ว่าพวกเขาจะไม่ศรัทธาต่อนะบีของกันและกัน แต่พวกเขา ก็ให้ ความ ช่วยเหลือกันในการเป็นศัตรูกับมุสลิม ดังนั้นในสองพวกนี้จึงไม่เป็นที่ไว้วาง ใจแก่มุสลิมีนได้”
ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่ไม่เข้าใจศาสนาอิสลาม ก็นะนำบัญญัติที่ 5:51 นี้ มาอ้างอิง ล้อเลียน ประณาม มว่าศาสนา อิสลามสอน ให้สร้างศัตรู ไม่ใช่สร้าง มิตร และเมื่อ เป็นเช่นนี้จะเรียกศาสนาอิสลาม ว่า “อิสลามเป็นศาสนาแห่งสันติภาพได้อย่างไร?”
อัลกุรอาน บัญญัติที่ 5:51
O ye who believe! take not the Jews and the Christians for your friends and protectors: They are but friends and protectors to each other. And he amongst you that turns to them (for friendship) is of them. Verily Allah guideth not a people unjust.
51. ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ! จงอย่าได้ยึดเอาชาวยิวและชาวคริสต์เป็นมิตร บางส่วนของพวกเขาคือมิตรของอีกบางส่วน และผู้ใด ในหมู่พวก เจ้าเอา พวกเขามาเป็นมิตรแล้วไซร้ แน่นอนผู้นั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา แท้จริง อัลลอฮ์นั้นไม่ทรงแนะนำกลุ่มชนที่อธรรม
อัล กุรอานเป็นหนังสือที่สมบูรณ์ด้วยคำแนะนำต่างๆ, ในขณะที่เราศึกษา อัลกุรอานนั้น ให้นึกไว้ ในใจเสมอว่า, เรื่องราวเรื่องหนึ่งเรื่องใด โดยฉพาะ ใน อัลกุรอาน นั้นบางครั้งต้องการคำอธิบายจากหลายๆ บัญญัติ ซึ่งอยู่ใน บทต่างๆกัน หรือไม่ก็จาก บัญญัติที่ต่อเนื่องกันในบทเดียวกัน ตลอด คัมภีร์
การทำความเข้าใจเรื่องราวต่างๆในอัลกุรอานอย่างสมบูรณ์ นั้น มีทาง เดียวที่จะ ทำได้ก็คือ, อ่านอัลกุรอานให้เข้า ใจทุกๆบัญญัติ และ ทุกๆบท, ไม่ใช่อ่านแต่ เพียง บัญญัติ เดียว หรือ สองบัญญัติ แล้วก็ยกมา อ้างอิง เพื่อหาประโยชน์ เข้าตัว, ซึ่งพระเจ้า(อัลลอฮ์ตะอาลา) เตือนและห้ามุสลิม ไม่ให้ ศึกษา และใช้อัลกุรอาน ในวิธีนั้น คือ ห้ามไม่ให้ มุสลิมศึกษา อัลกุรอาน ด้วย ยึดแต่เพียงส่วนเดียว และอ้าง ว่า ส่วนอืนๆ ได้ถูกยกเลิกไป แล้ว จึงตัดทิ้งไปไม่ต้องนำมาอธิบายอีก
บัญญัติอัลกุรอานบัญญัติ ที่ 5:51 นี้ ผมเห็นคุณ MCE ยกมาอ้างอิงอยู่ เสมอ กับ บรรดามุสลิมผุ้เคร่งครัดศาสนาในห้องนี้ แต่ไม่มีมุสลิมผู้ใด ช่วยอธิบาย ให้ คุณ MCE เ้ข้าใจได้ นอกจาก การโต้เถียงกัน ผมคิดว่า ขณะนี้สมควรที่ จะทำความเข้าใจ กับผู้ต่างศรัทธา ที่เข้าใจศาสนาอิสลาม อย่างผิดพลาด แม้แต่มุสลิมในที่นี้ ก็ไม่ใส่ใจที่จะศึกษา หาความรู้ความ เข้าใจ เพื่อที่จะ ช่วย แก้ปัญหาการล้อเลียน ด้วยความเข้าใจผิด ว่า ศาสนาอิสลามสอน ให้มุสลิมมีความ ทิฐิ
ถ้ามุสลิมผู้รู้สอนลูกศิษย์มุสลิม ในที่นี้ ให้เข้า ใจวิธี การศึกษาอัลกุรอาน ให้ถูกต้อง เรื่องราวในการล่วงเกิน ความศรัทธา ของกันและกันก็จะไม่เกิด ขึ้น ทั้งนี้เพราะว่า เด็กๆ มุสลิมมี ความรู้ เพียง พอ และมารยาทดีพอ และ ความ อดทน เพียงพอ ที่จะหยุด ถอนหายใจ อึดใหญ่, แล้วใช้ความรู้ ใน อัลกุรอานอธิบายให้เขาเข้าใจ
อัลกุรอาน บัญญัติที่ 2:85 บัญญัติไว้ว่า
After this it is ye, the same people, who slay among yourselves, and banish a party of you from their homes; assist (Their enemies) against them, in guilt and rancour; and if they come to you as captives, ye ransom them, though it was not lawful for you to banish them. Then is it only a part of the Book that ye believe in, and do ye reject the rest? but what is the reward for those among you who behave like this but disgrace in this life?- and on the Day of Judgment they shall be consigned to the most grievous penalty. For Allah is not unmindful of what o.
(2:85)
85. ภายหลังพวกเจ้านี้แหละฆ่าตัวของพวกเจ้าเอง และขับไล่กลุ่มหนึ่งในหมู่ พวก เจ้าออกจากหมู่บ้านของพวกเขา โดยที่พวกเจ้าต่างร่วมมือกันเอาชนะพวกเขา ด้วย การ กระทำบาป และการเป็นศัตรูกัน และถ้าพวกเขา มายังพวกเจ้าในฐานะเชลย พวกเจ้าก็ไถ่ตัวพวกเขา ทั้ง ๆ ที่การขังไล่พวกเขาออกไปนั้น เป็น ที่ต้องห้ามแก่พวกเจ้า
พวกเจ้าจะศรัทธาแต่เพียงบางส่วนของคัมภีร์และปฏิเสธและปฏิเสธอีกบางส่วนกระนั้นหรือ ? ดังนั้น สิ่งตอบแทนแก่ผุ้กระทำเช่นนั้น จากพวกเจ้าจึงมิใช่อะไรอื่น นอกจาก ความอัปยศอดสูในชีวิตความเป็นอยู่แห่งโลกนี้เท่านั้น และในวันกิยามะฮ์ พวกเขาจะ ถูกนำกลับไปสู่การลงโทษอันฉกรรจ์ยิ่ง และอัลลอฮ์นั้นจะไม่ทรงเผลอในสิ่งที่ พวก เจ้า กระท ำกันอยู่
จากบัญญัติที่ 2:85 ข้างบนนี้ ที่บัญญัติไว้ว่า, “พวกเจ้าจะศรัทธาแต่เพียงบางส่วนของคัมภีร์และปฏิเสธและปฏิเสธอีกบางส่วนกระนั้นหรือ ? “
บัญญัติที่ 2:85 การที่เราจะเข้าใจเรื่องราวใดๆก็ตามจากอัลกุรอานเรา จะต้อง เอาบัญญัติต่างๆที่ เกี่ยวข้องกันมาประกอบการอธิบาย เช่นเดียวกัน, ในการที่ว่า มุสลิมจะเอายิวหรือ, คริสเตียน หรือผู้ต่างศรัทธา อื่นๆ มา เป็นเพื่อนได้หรือไมนั้น, เราจะต้องศึกษา ทุกๆบัญญัติที่ เกี่ยวกับ ปัญหา เดียวกันที่เราต้องการจะเข้าใจ, ในกรณีนี้ เราลองมาทำความ เข้า ใจ กับอัลกุรอาน สองบัญญัติต่อไปนี้
อัลกุรอาน บัญญัติที่ 60:8
As for such [of the unbelievers] as do not fight against you on account of [your] faith, and neither drive you forth from your homelands, God does not forbid you to show them kindness and to behave towards them with full equity: for, verily, God loves those who act equitably.
8.อัลลอฮฺมิได้ทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่มิได้ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และพวกเขามิได้ขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้าในการที่พวกเจ้าจะ ทำความดีแก่พวกเขา และให้ความยุติธรรมแก่พวกเขาแท้จริงอัลลอฮฺ ทรงรักผู้มี ความ ยุติธรรม
อัลกุรอาน บัญญัติที่ 60:9
God only forbids you to turn in friendship towards such as fight against you because of [your] faith, and drive you forth from your homelands, or aid [others] in driving you forth: and as for those [from among you] who turn towards them in friendship; it is they, they who are truly wrongdoers! (Quran 60:9)
9. แต่ว่าอัลลอฮทรงห้ามพวกเจ้าเกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ต่อต้านพวกเจ้าในเรื่องศาสนา และขับไล่พวกเจ้าออกจากบ้านเรือนของพวกเจ้า และช่วยเหลือให้ขับไล่ พวกเจ้า ในการที่พวกเจ้าจะผูกมิตรกับพวกเขาและผู้ใดผูกมิตรกับพวกเขา ชนเหล่านั้น พวก เขา เป็นผู้อธรรม
จากอัลกุรอานทั้งสองบัญญัตินี้ทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า อัลกุรอานไม่ สนับ สนุน ให้มุสลิม เอาผู้ที่ ทำการร้าย มุสลิมด้วยเหตุผล ทางศาสนา ของ เขา ซึ่งหมายถึง การ ที่เขาต้องการให้มุสลิม เปลี่ยนศาสนาเป็น ศาสนาเดียวกันกับเขา, หรือ ต้องการ ทำลายล้างศาสนาอิสลาม กลุ่ม บุคคลดังกล่าวมุสลิมไม่ควรจะ เอา มาเป็น มิตรด้วย
ทีนี้ เรามา พิจารณา ข้อความ ในบัญญัติที่ถัดมาจากบัญญัติ ที่ 5:51 ที่ กล่าวมาเริ่ม แรก คือ บัญญัติที่ 5:52 ว่าบัญญัตินี้จะเพิ่ม ความกระจ่าง อะไรให้แก่เราได้บ้าง เกี่ยว กับปัญหาในเรื่องนี้
อัลกุรอาน บัญญัติที่ 5:52
And yet you can not see how those in whose hearts there is disease vie with one another for their good will (the hostile Jews and Christians), saying [to themselves], "We do fear lest a change of fortune bring us disaster." But God may well bring about good fortune [for the believers] or any [other] event of His own devising, whereupon those [waverers] will be smitten with remorse for the thoughts which they had secretly harboured within themselves
แล้วเจ้าจะไม่เห็นเหตุที่บรรดาผู้ที่ในหัวใจของพวกเขามีโรค ต่างรีบเร่งกันไป อยู่ใน หมู่พวกเขา โดยกล่าวว่า พวกเรากลัวภัยพิบัติ จะเวียนมาประสบแก่พวกเรา อาจ เป็นไปได้ว่าอัลลอฮ์นั้นจะทรงนำมาซึ่งชัยชนะ หรือไม่ก็นำพระบัญชาอย่างหนึ่ง อย่างใดมาจากที่พระองค์ แล้วพวกเขาก็กลายเป็นผู้เสียใจต่อสิ่งที่พวกเขา ปกปิด ไว้ในใจของพวกเขา (5:52)
ในระหว่างช่วงเวลาที่ ยิวและคริสเตียน มีข้อโต้แย้งกับ มุสลิมอย่างเปิด เผยนั้น, ได้มีมุสลิมบางกลุ่มที่มีความกังวล เกี่ยวกับความต้อง การที่จะรัก ษามิตรภาพ กับชาวยิวและ ชาวคริสเตียน โดยไม่เกรงกลัวว่า ชุมชนของ มุสลิมจะถูกทำลาย,คือยอมแม้แต่ว่า เป็นไส้ศึกให้กับศัตรู ที่มุ่งหวังในการ ทำลาย ชุมชนของมุสลิม ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ อัลกุรอานบัญญัติ 5:52 อ้างถึง