การสวมฮิญาบเป็นวัฒนธรรมของชาวอรับ “ไม่ใช่ข้อบังคับอันเป็นหลักศรัทธาใน ศาสนาอิสลาม”

ความสุภาพเรียบร้อยในศาสนาอิสลาม หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ฮายา"Haya (Arabic: حياء) เป็นคุณธรรมที่ครอบคลุมทั้งชายและหญิง ครอบคลุมไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอก เช่น การแต่งกายและเสื้อผ้าที่สุภาพเรียบร้อยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรม คำพูด และเจตนาอีกด้วย เกี่ยวข้องกับการรักษาความรู้สึกละอายหรืออายต่อการกระทำที่ไม่เหมาะสม และส่งเสริมคุณค่าทางสังคมเชิงบวก เช่น ความเห็นอกเห็นใจและความเคารพ ความสุภาพเรียบร้อยถือเป็นส่วนสำคัญของศรัทธา ชี้นำให้บุคคลดำเนินชีวิตที่พอพระทัยพระเจ้าและก่อให้เกิดสังคมที่มั่นคง

มีผู้ถามอยู่เสมอว่าการคลุมผมหรือการสวมฮิญาบของสตรีมุสลิมเป็นหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามหรือ? และเป็นข้อบังคับทางศาสนาอย่างเช่นการปฏิญาณตนในเรื่องความศรัทธา, การทำละหมาดหรือ, การถือศีลอด, การจ่ายกุศลทาน(ซะกาต) และการไปประกอบพีธีฮัจจฺ?

คำตอบก็คือการคลุมศรีษะหรือการสวมฮิญาบไม่ใช่ข้อบังคับหรือเป็นหลักศรัทธาในศาสนาอิสลาม ไม่มีการบังคับตามหลักการของศาสนาอิสลามให้สตรีมุสลิมต้องคลุมศรีษะ ไม่ว่าจะอายุมากน้อยเท่าใดก็ตาม การที่สตรีไทยมุสลิมเริ่มการคลุมศรีษะเมื่อประมาณ 30-40 ปีที่แล้วก็เนื่องจาก ภราดรมุสลิม หรือที่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Muslim Brotherhood, เป็นองค์กรทางศาสนาและการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2471 ในอียิปต์โดยนักวิชาการและครูสอนศาสนาอิสลามชื่อฮัสซัน อัลบันนา  เป็นกลุ่มมุสลิมสุดโต่งทางการเมือง สมาคมภราดรภาพมุสลิม (ภาษาอาหรับ: جماعة الإخوان المسلمين จามาอัต อัล-อิควาน อัล-มุสลิมีน) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ภราดรภาพมุสลิม (الإخوان) อัล-อิควาน อัล-มุสลิมูน) เป็นองค์กรอิสลามนิกายซุนนี คำสอนของอัล-บันนาแผ่ขยายออกไปไกลเกินกว่าอียิปต์ มีอิทธิพลต่อขบวนการอิสลามนิกายต่างๆ ตั้งแต่องค์กรการกุศลไปจนถึงพรรคการเมือง

ภราดรมุสลิม หรือที่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า  Muslim Brotherhood ใช้วิธีการหลอกล่อแกมบังคับให้สตรีมุสลิมทั่วโลกสวมฮิญาบ โดยล่อหลอกว่า ฮิญาบเป็นผ้าจากสวรรค์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้สตรีมุสลิมสวมใส่เป็นสัญญาลักษณ์ในความเป็นมุสลิมความบริสุทธิ์แยกออกจากสตรีในศาสนาอื่นๆ มุสลิมกลุ่มนี้กล้ากระทำแม้แต่การดัดแปลงความหมายของบัญญัติอัลกุรอาน (24:31) ให้เป็นข้อบังคับในการคลุมศรีษะสตรีด้วยผ้าหรือฮิญาบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากภาพจะเห็นได้ว่า ภาพทางซ้ายมือเป็นการเปิดทรวงอกของสตรีก่อนที่จะมีศาสนาอิสลาม หลังจากที่ได้รับบัญญัติที่ 24:31 ซึ่งในบัญญัตินี้มีคำสั่ง ให้ "บรรดาหญิงจงดึงผ้าคลุมหน้า(หัว)ลงมาปิดทรวงอกของนาง" ในบัญญัตินี้ไม่มีคำสั่งให้สตรีมุสลิมคลุมหัว

คิมาร์เป็นผ้าคลุมใบหน้า (Viel), ผ้าคลุมศีรษะหรือผ้าคลุมไหล่ชนิดหนึ่งที่ผู้หญิงสวมใส่กันมาแต่โบราณก่อนศาสนาอิสลาม คิมาร์ถูกใช้เพื่อความสุภาพเรียบร้อยและป้องกันแสงแดดและฝุ่นละอองในคาบสมุทรอาหรับ วัฒนธรรมอาหรับก่อนอิสลามเน้นย้ำถึงความสุภาพเรียบร้อยในการแต่งกายของผู้หญิง      คิมาร์มักเป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคมและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม โดยทั่วไปแล้วทำจากผ้าหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งและความพร้อม ประเพณีการสวมใส่คิมาร์ยังคงดำเนินต่อไปและพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลังจากการกำเนิดของศาสนาอิสลาม

คำว่า "คิมาร์" เดิมหมายถึงผ้าคลุมศีรษะหรือผ้าผืนใหญ่ที่ใช้คลุมจะใช้คลุมอะไรก็ได้ รวมถึงในยุคอาหรับก่อนอิสลาม ในอดีต คิมาร์เป็นเครื่องแต่งกายอเนกประสงค์ที่ผู้ชายใช้สวมเป็นผ้าโพกหัวได้ด้วย ในบริบทของศาสนาอิสลามยุคแรก มีการกล่าวถึงคิมาร์ในอัลกุรอาน   (โดยเฉพาะซูเราะฮ์ 24:31) "โดยมีคำสั่งให้ดึงมันมาปกคลุมทรวงอกของนาง" แต่ไม่มีคำสั่งให้สตรีมุสลิมศรีษะ ความเข้าใจสมัยใหม่เกี่ยวกับผ้าคลุมศีรษะประเภทหนึ่งเป็นการพัฒนาที่ล่าช้า โดยได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ โดยมีคำว่า ฮิญาบ(ความหมายคือ "สิ่งกีดขวาง") ต่อมากลายเป็นคำที่ใช้เรียกการคลุมหน้าแบบทั่วไปมากขึ้น

ต้นกำเนิดของ "คิมัร(ผ้าคลุม)" และการใช้ "คิมัร (ผ้าคลุม)" ก่อนการเกิดของ "ศาสนาอิสลาม"

คำทั่วไปสำหรับการปกคลุม: คิมาร์ หมายถึง "ผ้าคลุม" หรือ "ผ้าคลุมหน้า" คิมาร์ถูกใช้เรียกเสื้อผ้าที่ส่งเสริมความสุภาพเรียบร้อย และในยุคอาหรับก่อนอิสลาม ทั้งชายและหญิงต่างก็สวมใส่
ผ้าโพกหัวของผู้ชาย: ผู้ชายสวมคิมาร์เป็นผ้าโพกหัวชนิดหนึ่งเพื่อปกปิดศีรษะ
การคลุมใบหน้า(Viel) ของผู้หญิง: ผู้หญิงสวมคิมาร์ซึ่งโดยทั่วไปจะปกปิด ใบหน้าและลำคอ" แต่มักจะเผยให้เห็นหน้าอก (รูปซ้ายข้างบน)

บริบทของอิสลาม
•    การกล่าวถึงในอัลกุรอาน: อัลกุรอานกล่าวถึงคิมาร์ในซูเราะฮ์ 24:31 ซึ่งแนะนำให้ผู้หญิงที่ศรัทธาดึงคิมาร์มาคลุมหน้าอกเท่านั้นไม่มีคำสั่งใดๆให้ผู้หญิงมุสลิมคลุมหัว

• บริบททางประวัติศาสตร์: คำสอนนี้ถูกสอนในบริบททางวัฒนธรรมที่ผู้หญิงชาวอรับก่อนอิสลาม จะเปิดเผยหน้าอก และคิมาร์คือเครื่องแต่งกายที่ใช้เพื่อจุดประสงค์นี้นั้นคือการปกปิดทรวงอกของผู้หญิงให้ดูสุภาพขึ้น (حياء)

•    วิวัฒนาการของความเข้าใจ: ความเข้าใจว่าคิมาร์เป็นเพียงผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงที่ปกปิดผมไว้ได้อย่างสมบูรณ์นั้นพัฒนามาในภายหลัง การตีความสมัยใหม่บางกรณีมองว่าคิมาร์เป็นผ้าคลุมศีรษะคล้ายเสื้อคลุมที่เผยให้เห็นใบหน้า

    ฮิญาบ เทียบกับ คิมาร์: แม้ว่าอัลกุรอานจะใช้คำว่า คิมาร์ สำหรับผ้าคลุมศีรษะประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ไม่เคยใช้คำว่า ฮิญาบ เพื่ออ้างถึงเสื้อผ้าของผู้หญิง แต่กลับใช้คำว่า "สิ่งกีดขวาง" หรือ "ฉากกั้น" เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า ฮิญาบ ก็เริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นเพื่ออ้างถึงการปฏิบัติทั่วไปในการคลุมศีรษะ บางครั้งใช้แทนคำว่า คิมาร์ ในการสนทนาทั่วไป  แม้กระนั้นอัลกุรอานบัญญัติที่ 24:31 ก็ไม่มีส่วนใดที่มีคำสั่งให้สตรีมุสลิมคลุมศรีษะหรือปิดใบหน้า  ตามที่ผู้รู้ทั้งหลายอธิบาย

บริบทของอิสลาม
•    การกล่าวถึงในอัลกุรอาน: อัลกุรอานกล่าวถึงคิมาร์ในซูเราะฮ์ 24:31 ซึ่งสั่งสอนให้ผู้หญิงที่ศรัทธาดึงคิมาร์มาคลุมหน้าอก ตามความสดวกในสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อเข้ารับศาสนาอิสลามใหม่ๆ คือดึงหรือรวบชายผ้าคลุมหัวหรือผ้าปิดหน้ามาคลุมทรวงอก

• บริบททางประวัติศาสตร์: คำสอนนี้ถูกสอนในบริบททางวัฒนธรรมที่ผู้หญิงชาวอรับก่อนอิสลามจะเปิดเผยหน้าอก และคิมาร์คือเครื่องแต่งกายที่ใช้เพื่อจุดประสงค์นี้ คือดึงมาปิดหน้าอก

•    วิวัฒนาการของความเข้าใจ: ความเข้าใจว่าคิมาร์เป็นเพียงผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงที่ปกปิดผมไว้ได้อย่างสมบูรณ์นั้นพัฒนามาในภายหลัง การตีความสมัยใหม่บางกรณีมองว่าคิมาร์เป็นผ้าคลุมศีรษะคล้ายเสื้อคลุมที่เผยให้เห็นใบหน้า

•    ฮิญาบ เทียบกับ คิมาร์: แม้ว่าอัลกุรอานจะใช้คำว่า คิมาร์ สำหรับผ้าคลุมศีรษะประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ไม่เคยใช้คำว่า ฮิญาบ เพื่ออ้างถึงเสื้อผ้าของผู้หญิง แต่กลับใช้คำว่า "สิ่งกีดขวาง" หรือ "ฉากกั้น" เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า ฮิญาบ ก็เริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นเพื่ออ้างถึงการปฏิบัติทั่วไปในการคลุมศีรษะ บางครั้งใช้แทนคำว่า คิมาร์ ในการสนทนาทั่วไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่