ความสุภาพเรียบร้อยในศาสนาอิสลาม หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ฮายา"
Haya (Arabic: حياء) เป็นคุณธรรมที่ครอบคลุมทั้งชายและหญิง ครอบคลุมไม่เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอก เช่น การแต่งกายและเสื้อผ้าที่สุภาพเรียบร้อยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพฤติกรรม คำพูด และเจตนาอีกด้วย เกี่ยวข้องกับการรักษาความรู้สึกละอายหรืออายต่อการกระทำที่ไม่เหมาะสม และส่งเสริมคุณค่าทางสังคมเชิงบวก เช่น ความเห็นอกเห็นใจและความเคารพ ความสุภาพเรียบร้อยถือเป็นส่วนสำคัญของศรัทธา ชี้นำให้บุคคลดำเนินชีวิตที่พอพระทัยพระเจ้าและก่อให้เกิดสังคมที่มั่นคง
มีผู้ถามอยู่เสมอว่าการคลุมผมหรือการสวมฮิญาบของสตรีมุสลิมเป็นหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามหรือ? และเป็นข้อบังคับทางศาสนาอย่างเช่นการปฏิญาณตนในเรื่องความศรัทธา, การทำละหมาดหรือ, การถือศีลอด, การจ่ายกุศลทาน(ซะกาต) และการไปประกอบพีธีฮัจจฺ?
คำตอบก็คือการคลุมศรีษะหรือการสวมฮิญาบไม่ใช่ข้อบังคับหรือเป็นหลักศรัทธาในศาสนาอิสลาม ไม่มีการบังคับตามหลักการของศาสนาอิสลามให้สตรีมุสลิมต้องคลุมศรีษะ ไม่ว่าจะอายุมากน้อยเท่าใดก็ตาม การที่สตรีไทยมุสลิมเริ่มการคลุมศรีษะเมื่อประมาณ 30-40 ปีที่แล้วก็เนื่องจาก ภราดรมุสลิม หรือที่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Muslim Brotherhood, เป็นองค์กรทางศาสนาและการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2471 ในอียิปต์โดยนักวิชาการและครูสอนศาสนาอิสลามชื่อฮัสซัน อัลบันนา เป็นกลุ่มมุสลิมสุดโต่งทางการเมือง สมาคมภราดรภาพมุสลิม (ภาษาอาหรับ: جماعة الإخوان المسلمين จามาอัต อัล-อิควาน อัล-มุสลิมีน) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ภราดรภาพมุสลิม (الإخوان) อัล-อิควาน อัล-มุสลิมูน) เป็นองค์กรอิสลามนิกายซุนนี คำสอนของอัล-บันนาแผ่ขยายออกไปไกลเกินกว่าอียิปต์ มีอิทธิพลต่อขบวนการอิสลามนิกายต่างๆ ตั้งแต่องค์กรการกุศลไปจนถึงพรรคการเมือง
ภราดรมุสลิม หรือที่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Muslim Brotherhood ใช้วิธีการหลอกล่อแกมบังคับให้สตรีมุสลิมทั่วโลกสวมฮิญาบ โดยล่อหลอกว่า ฮิญาบเป็นผ้าจากสวรรค์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้สตรีมุสลิมสวมใส่เป็นสัญญาลักษณ์ในความเป็นมุสลิมความบริสุทธิ์แยกออกจากสตรีในศาสนาอื่นๆ มุสลิมกลุ่มนี้กล้ากระทำแม้แต่การดัดแปลงความหมายของบัญญัติอัลกุรอาน (24:31) ให้เป็นข้อบังคับในการคลุมศรีษะสตรีด้วยผ้าหรือฮิญาบ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้وَقُلْ لِلْمُؤْمِنَاتِ يَغْضُضْنَ مِنْ أَبْصَارِهِنَّ وَيَحْفَظْنَ فُرُوجَهُنَّ وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا مَا ظَهَرَ مِنْهَا ۖ وَلْيَضْرِبْنَ بِخُمُرِهِنَّ عَلَىٰ جُيُوبِهِنَّ ۖ وَلَا يُبْدِينَ زِينَتَهُنَّ إِلَّا لِبُعُولَتِهِنَّ أَوْ آبَائِهِنَّ أَوْ آبَاءِ بُعُولَتِهِنَّ أَوْ أَبْنَائِهِنَّ أَوْ أَبْنَاءِ بُعُولَتِهِنَّ أَوْ إِخْوَانِهِنَّ أَوْ بَنِي إِخْوَانِهِنَّ أَوْ بَنِي أَخَوَاتِهِنَّ أَوْ نِسَائِهِنَّ أَوْ مَا مَلَكَتْ أَيْمَانُهُنَّ أَوِ التَّابِعِينَ غَيْرِ أُولِي الْإِرْبَةِ مِنَ الرِّجَالِ أَوِ الطِّفْلِ الَّذِينَ لَمْ يَظْهَرُوا عَلَىٰ عَوْرَاتِ النِّسَاءِ ۖ وَلَا يَضْرِبْنَ بِأَرْجُلِهِنَّ لِيُعْلَمَ مَا يُخْفِينَ مِنْ زِينَتِهِنَّ ۚ وَتُوبُوا إِلَى اللَّهِ جَمِيعًا أَيُّهَ الْمُؤْمِنُونَ لَعَلَّكُمْ تُفْلِحُونَ {31}
[Yusufali 24:31] And say to the believing women that they should lower their gaze and guard their modesty; that they should not display their beauty and ornaments except what (must ordinarily) appear thereof; that they should draw their veils over their bosoms and not display their beauty except to their husbands, their fathers, their husband's fathers, their sons, their husbands' sons, their brothers or their brothers' sons, or their sisters' sons, or their women, or the slaves whom their right hands possess, or male servants free of physical needs, or small children who have no sense of the shame of sex; and that they should not strike their feet in order to draw attention to their hidden ornaments. And O ye Believers! turn ye all together towards Allah, that ye may attain Bliss.

จากภาพจะเห็นได้ว่า ภาพทางซ้ายมือเป็นการเปิดทรวงอกของสตรีก่อนที่จะมีศาสนาอิสลาม หลังจากที่ได้รับบัญญัติที่ 24:31 ซึ่งในบัญญัตินี้มีคำสั่ง ให้ "บรรดาหญิงจงดึงผ้าคลุมหน้า(หัว)ลงมาปิดทรวงอกของนาง"
ในบัญญัตินี้ไม่มีคำสั่งให้สตรีมุสลิมคลุมหัว
คิมาร์เป็นผ้าคลุมใบหน้า (Viel), ผ้าคลุมศีรษะหรือผ้าคลุมไหล่ชนิดหนึ่งที่ผู้หญิงสวมใส่กันมาแต่โบราณก่อนศาสนาอิสลาม คิมาร์ถูกใช้เพื่อความสุภาพเรียบร้อยและป้องกันแสงแดดและฝุ่นละอองในคาบสมุทรอาหรับ วัฒนธรรมอาหรับก่อนอิสลามเน้นย้ำถึงความสุภาพเรียบร้อยในการแต่งกายของผู้หญิง คิมาร์มักเป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคมและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม โดยทั่วไปแล้วทำจากผ้าหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งและความพร้อม ประเพณีการสวมใส่คิมาร์ยังคงดำเนินต่อไปและพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลังจากการกำเนิดของศาสนาอิสลาม
คำว่า "คิมาร์" เดิมหมายถึงผ้าคลุมศีรษะหรือผ้าผืนใหญ่ที่ใช้คลุมจะใช้คลุมอะไรก็ได้ รวมถึงในยุคอาหรับก่อนอิสลาม ในอดีต คิมาร์เป็นเครื่องแต่งกายอเนกประสงค์ที่ผู้ชายใช้สวมเป็นผ้าโพกหัวได้ด้วย ในบริบทของศาสนาอิสลามยุคแรก มีการกล่าวถึงคิมาร์ในอัลกุรอาน (โดยเฉพาะซูเราะฮ์ 24:31) "
โดยมีคำสั่งให้ดึงมันมาปกคลุมทรวงอกของนาง"
แต่ไม่มีคำสั่งให้สตรีมุสลิมศรีษะ ความเข้าใจสมัยใหม่เกี่ยวกับผ้าคลุมศีรษะประเภทหนึ่งเป็นการพัฒนาที่ล่าช้า โดยได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ โดยมีคำว่า ฮิญาบ(ความหมายคือ "สิ่งกีดขวาง") ต่อมากลายเป็นคำที่ใช้เรียกการคลุมหน้าแบบทั่วไปมากขึ้น
ต้นกำเนิดของ "คิมัร(ผ้าคลุม)" และการใช้ "คิมัร (ผ้าคลุม)" ก่อนการเกิดของ "ศาสนาอิสลาม"
คำทั่วไปสำหรับการปกคลุม: คิมาร์ หมายถึง "ผ้าคลุม" หรือ "ผ้าคลุมหน้า" คิมาร์ถูกใช้เรียกเสื้อผ้าที่ส่งเสริมความสุภาพเรียบร้อย และในยุคอาหรับก่อนอิสลาม ทั้งชายและหญิงต่างก็สวมใส่
ผ้าโพกหัวของผู้ชาย: ผู้ชายสวมคิมาร์เป็นผ้าโพกหัวชนิดหนึ่งเพื่อปกปิดศีรษะ
การคลุมใบหน้า(Viel) ของผู้หญิง: ผู้หญิงสวมคิมาร์ซึ่งโดยทั่วไปจะปกปิด ใบหน้าและลำคอ" แต่มักจะเผยให้เห็นหน้าอก (รูปซ้ายข้างบน)
บริบทของอิสลาม
• การกล่าวถึงในอัลกุรอาน:
อัลกุรอานกล่าวถึงคิมาร์ในซูเราะฮ์ 24:31 ซึ่งแนะนำให้ผู้หญิงที่ศรัทธาดึงคิมาร์มาคลุมหน้าอกเท่านั้นไม่มีคำสั่งใดๆให้ผู้หญิงมุสลิมคลุมหัว
• บริบททางประวัติศาสตร์: คำสอนนี้ถูกสอนในบริบททางวัฒนธรรมที่ผู้หญิงชาวอรับก่อนอิสลาม จะเปิดเผยหน้าอก และคิมาร์คือเครื่องแต่งกายที่ใช้เพื่อจุดประสงค์นี้นั้นคือการปกปิดทรวงอกของผู้หญิงให้ดูสุภาพขึ้น (حياء)
•
วิวัฒนาการของความเข้าใจ: ความเข้าใจว่าคิมาร์เป็นเพียงผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงที่ปกปิดผมไว้ได้อย่างสมบูรณ์นั้นพัฒนามาในภายหลัง การตีความสมัยใหม่บางกรณีมองว่าคิมาร์เป็นผ้าคลุมศีรษะคล้ายเสื้อคลุมที่เผยให้เห็นใบหน้า
ฮิญาบ เทียบกับ คิมาร์: แม้ว่าอัลกุรอานจะใช้คำว่า คิมาร์ สำหรับผ้าคลุมศีรษะประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ไม่เคยใช้คำว่า ฮิญาบ เพื่ออ้างถึงเสื้อผ้าของผู้หญิง แต่กลับใช้คำว่า "สิ่งกีดขวาง" หรือ "ฉากกั้น" เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า ฮิญาบ ก็เริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นเพื่ออ้างถึงการปฏิบัติทั่วไปในการคลุมศีรษะ บางครั้งใช้แทนคำว่า คิมาร์ ในการสนทนาทั่วไป แม้กระนั้นอัลกุรอานบัญญัติที่ 24:31 ก็ไม่มีส่วนใดที่มีคำสั่งให้สตรีมุสลิมคลุมศรีษะหรือปิดใบหน้า ตามที่ผู้รู้ทั้งหลายอธิบาย
บริบทของอิสลาม
• การกล่าวถึงในอัลกุรอาน: อัลกุรอานกล่าวถึงคิมาร์ในซูเราะฮ์ 24:31 ซึ่งสั่งสอนให้ผู้หญิงที่ศรัทธาดึงคิมาร์มาคลุมหน้าอก ตามความสดวกในสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อเข้ารับศาสนาอิสลามใหม่ๆ คือดึงหรือรวบชายผ้าคลุมหัวหรือผ้าปิดหน้ามาคลุมทรวงอก
• บริบททางประวัติศาสตร์: คำสอนนี้ถูกสอนในบริบททางวัฒนธรรมที่ผู้หญิงชาวอรับก่อนอิสลามจะเปิดเผยหน้าอก และคิมาร์คือเครื่องแต่งกายที่ใช้เพื่อจุดประสงค์นี้ คือดึงมาปิดหน้าอก
• วิวัฒนาการของความเข้าใจ: ความเข้าใจว่าคิมาร์เป็นเพียงผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงที่ปกปิดผมไว้ได้อย่างสมบูรณ์นั้นพัฒนามาในภายหลัง การตีความสมัยใหม่บางกรณีมองว่าคิมาร์เป็นผ้าคลุมศีรษะคล้ายเสื้อคลุมที่เผยให้เห็นใบหน้า
• ฮิญาบ เทียบกับ คิมาร์: แม้ว่าอัลกุรอานจะใช้คำว่า คิมาร์ สำหรับผ้าคลุมศีรษะประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ไม่เคยใช้คำว่า ฮิญาบ เพื่ออ้างถึงเสื้อผ้าของผู้หญิง แต่กลับใช้คำว่า "สิ่งกีดขวาง" หรือ "ฉากกั้น" เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า ฮิญาบ ก็เริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นเพื่ออ้างถึงการปฏิบัติทั่วไปในการคลุมศีรษะ บางครั้งใช้แทนคำว่า คิมาร์ ในการสนทนาทั่วไป
การสวมฮิญาบเป็นวัฒนธรรมของชาวอรับ “ไม่ใช่ข้อบังคับอันเป็นหลักศรัทธาใน ศาสนาอิสลาม”
มีผู้ถามอยู่เสมอว่าการคลุมผมหรือการสวมฮิญาบของสตรีมุสลิมเป็นหลักศรัทธาของศาสนาอิสลามหรือ? และเป็นข้อบังคับทางศาสนาอย่างเช่นการปฏิญาณตนในเรื่องความศรัทธา, การทำละหมาดหรือ, การถือศีลอด, การจ่ายกุศลทาน(ซะกาต) และการไปประกอบพีธีฮัจจฺ?
คำตอบก็คือการคลุมศรีษะหรือการสวมฮิญาบไม่ใช่ข้อบังคับหรือเป็นหลักศรัทธาในศาสนาอิสลาม ไม่มีการบังคับตามหลักการของศาสนาอิสลามให้สตรีมุสลิมต้องคลุมศรีษะ ไม่ว่าจะอายุมากน้อยเท่าใดก็ตาม การที่สตรีไทยมุสลิมเริ่มการคลุมศรีษะเมื่อประมาณ 30-40 ปีที่แล้วก็เนื่องจาก ภราดรมุสลิม หรือที่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Muslim Brotherhood, เป็นองค์กรทางศาสนาและการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ. 2471 ในอียิปต์โดยนักวิชาการและครูสอนศาสนาอิสลามชื่อฮัสซัน อัลบันนา เป็นกลุ่มมุสลิมสุดโต่งทางการเมือง สมาคมภราดรภาพมุสลิม (ภาษาอาหรับ: جماعة الإخوان المسلمين จามาอัต อัล-อิควาน อัล-มุสลิมีน) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ภราดรภาพมุสลิม (الإخوان) อัล-อิควาน อัล-มุสลิมูน) เป็นองค์กรอิสลามนิกายซุนนี คำสอนของอัล-บันนาแผ่ขยายออกไปไกลเกินกว่าอียิปต์ มีอิทธิพลต่อขบวนการอิสลามนิกายต่างๆ ตั้งแต่องค์กรการกุศลไปจนถึงพรรคการเมือง
ภราดรมุสลิม หรือที่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Muslim Brotherhood ใช้วิธีการหลอกล่อแกมบังคับให้สตรีมุสลิมทั่วโลกสวมฮิญาบ โดยล่อหลอกว่า ฮิญาบเป็นผ้าจากสวรรค์ที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้สตรีมุสลิมสวมใส่เป็นสัญญาลักษณ์ในความเป็นมุสลิมความบริสุทธิ์แยกออกจากสตรีในศาสนาอื่นๆ มุสลิมกลุ่มนี้กล้ากระทำแม้แต่การดัดแปลงความหมายของบัญญัติอัลกุรอาน (24:31) ให้เป็นข้อบังคับในการคลุมศรีษะสตรีด้วยผ้าหรือฮิญาบ
คิมาร์เป็นผ้าคลุมใบหน้า (Viel), ผ้าคลุมศีรษะหรือผ้าคลุมไหล่ชนิดหนึ่งที่ผู้หญิงสวมใส่กันมาแต่โบราณก่อนศาสนาอิสลาม คิมาร์ถูกใช้เพื่อความสุภาพเรียบร้อยและป้องกันแสงแดดและฝุ่นละอองในคาบสมุทรอาหรับ วัฒนธรรมอาหรับก่อนอิสลามเน้นย้ำถึงความสุภาพเรียบร้อยในการแต่งกายของผู้หญิง คิมาร์มักเป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคมและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม โดยทั่วไปแล้วทำจากผ้าหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งและความพร้อม ประเพณีการสวมใส่คิมาร์ยังคงดำเนินต่อไปและพัฒนาอย่างต่อเนื่องหลังจากการกำเนิดของศาสนาอิสลาม
คำว่า "คิมาร์" เดิมหมายถึงผ้าคลุมศีรษะหรือผ้าผืนใหญ่ที่ใช้คลุมจะใช้คลุมอะไรก็ได้ รวมถึงในยุคอาหรับก่อนอิสลาม ในอดีต คิมาร์เป็นเครื่องแต่งกายอเนกประสงค์ที่ผู้ชายใช้สวมเป็นผ้าโพกหัวได้ด้วย ในบริบทของศาสนาอิสลามยุคแรก มีการกล่าวถึงคิมาร์ในอัลกุรอาน (โดยเฉพาะซูเราะฮ์ 24:31) "โดยมีคำสั่งให้ดึงมันมาปกคลุมทรวงอกของนาง" แต่ไม่มีคำสั่งให้สตรีมุสลิมศรีษะ ความเข้าใจสมัยใหม่เกี่ยวกับผ้าคลุมศีรษะประเภทหนึ่งเป็นการพัฒนาที่ล่าช้า โดยได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ โดยมีคำว่า ฮิญาบ(ความหมายคือ "สิ่งกีดขวาง") ต่อมากลายเป็นคำที่ใช้เรียกการคลุมหน้าแบบทั่วไปมากขึ้น
ต้นกำเนิดของ "คิมัร(ผ้าคลุม)" และการใช้ "คิมัร (ผ้าคลุม)" ก่อนการเกิดของ "ศาสนาอิสลาม"
คำทั่วไปสำหรับการปกคลุม: คิมาร์ หมายถึง "ผ้าคลุม" หรือ "ผ้าคลุมหน้า" คิมาร์ถูกใช้เรียกเสื้อผ้าที่ส่งเสริมความสุภาพเรียบร้อย และในยุคอาหรับก่อนอิสลาม ทั้งชายและหญิงต่างก็สวมใส่
ผ้าโพกหัวของผู้ชาย: ผู้ชายสวมคิมาร์เป็นผ้าโพกหัวชนิดหนึ่งเพื่อปกปิดศีรษะ
การคลุมใบหน้า(Viel) ของผู้หญิง: ผู้หญิงสวมคิมาร์ซึ่งโดยทั่วไปจะปกปิด ใบหน้าและลำคอ" แต่มักจะเผยให้เห็นหน้าอก (รูปซ้ายข้างบน)
บริบทของอิสลาม
• การกล่าวถึงในอัลกุรอาน: อัลกุรอานกล่าวถึงคิมาร์ในซูเราะฮ์ 24:31 ซึ่งแนะนำให้ผู้หญิงที่ศรัทธาดึงคิมาร์มาคลุมหน้าอกเท่านั้นไม่มีคำสั่งใดๆให้ผู้หญิงมุสลิมคลุมหัว
• บริบททางประวัติศาสตร์: คำสอนนี้ถูกสอนในบริบททางวัฒนธรรมที่ผู้หญิงชาวอรับก่อนอิสลาม จะเปิดเผยหน้าอก และคิมาร์คือเครื่องแต่งกายที่ใช้เพื่อจุดประสงค์นี้นั้นคือการปกปิดทรวงอกของผู้หญิงให้ดูสุภาพขึ้น (حياء)
• วิวัฒนาการของความเข้าใจ: ความเข้าใจว่าคิมาร์เป็นเพียงผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงที่ปกปิดผมไว้ได้อย่างสมบูรณ์นั้นพัฒนามาในภายหลัง การตีความสมัยใหม่บางกรณีมองว่าคิมาร์เป็นผ้าคลุมศีรษะคล้ายเสื้อคลุมที่เผยให้เห็นใบหน้า
ฮิญาบ เทียบกับ คิมาร์: แม้ว่าอัลกุรอานจะใช้คำว่า คิมาร์ สำหรับผ้าคลุมศีรษะประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ไม่เคยใช้คำว่า ฮิญาบ เพื่ออ้างถึงเสื้อผ้าของผู้หญิง แต่กลับใช้คำว่า "สิ่งกีดขวาง" หรือ "ฉากกั้น" เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า ฮิญาบ ก็เริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นเพื่ออ้างถึงการปฏิบัติทั่วไปในการคลุมศีรษะ บางครั้งใช้แทนคำว่า คิมาร์ ในการสนทนาทั่วไป แม้กระนั้นอัลกุรอานบัญญัติที่ 24:31 ก็ไม่มีส่วนใดที่มีคำสั่งให้สตรีมุสลิมคลุมศรีษะหรือปิดใบหน้า ตามที่ผู้รู้ทั้งหลายอธิบาย
บริบทของอิสลาม
• การกล่าวถึงในอัลกุรอาน: อัลกุรอานกล่าวถึงคิมาร์ในซูเราะฮ์ 24:31 ซึ่งสั่งสอนให้ผู้หญิงที่ศรัทธาดึงคิมาร์มาคลุมหน้าอก ตามความสดวกในสมัยหัวเลี้ยวหัวต่อเข้ารับศาสนาอิสลามใหม่ๆ คือดึงหรือรวบชายผ้าคลุมหัวหรือผ้าปิดหน้ามาคลุมทรวงอก
• บริบททางประวัติศาสตร์: คำสอนนี้ถูกสอนในบริบททางวัฒนธรรมที่ผู้หญิงชาวอรับก่อนอิสลามจะเปิดเผยหน้าอก และคิมาร์คือเครื่องแต่งกายที่ใช้เพื่อจุดประสงค์นี้ คือดึงมาปิดหน้าอก
• วิวัฒนาการของความเข้าใจ: ความเข้าใจว่าคิมาร์เป็นเพียงผ้าคลุมศีรษะของผู้หญิงที่ปกปิดผมไว้ได้อย่างสมบูรณ์นั้นพัฒนามาในภายหลัง การตีความสมัยใหม่บางกรณีมองว่าคิมาร์เป็นผ้าคลุมศีรษะคล้ายเสื้อคลุมที่เผยให้เห็นใบหน้า
• ฮิญาบ เทียบกับ คิมาร์: แม้ว่าอัลกุรอานจะใช้คำว่า คิมาร์ สำหรับผ้าคลุมศีรษะประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ แต่ไม่เคยใช้คำว่า ฮิญาบ เพื่ออ้างถึงเสื้อผ้าของผู้หญิง แต่กลับใช้คำว่า "สิ่งกีดขวาง" หรือ "ฉากกั้น" เมื่อเวลาผ่านไป คำว่า ฮิญาบ ก็เริ่มถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้นเพื่ออ้างถึงการปฏิบัติทั่วไปในการคลุมศีรษะ บางครั้งใช้แทนคำว่า คิมาร์ ในการสนทนาทั่วไป