ติดตามเรื่องหุ้นได้ที่
http://www.facebook.com/longtoondotcom
KR Daily Update : ประเด็นเด่นวันนี้
ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในไตรมาส 4/2555 ขยายตัวร้อยละ 18.9 (YoY) เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ขณะที่ ทั้งปี 2555 ขยายตัวร้อยละ 6.4 ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2556 คาดว่า สศช. คาดว่า จะขยายตัวร้อยละ 4.5-5.5 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวทั้งในจีน ยุโรป และสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ก็น่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ส่วนปัจจัยเสี่ยงในปี 2556 ได้แก่ ปัญหาเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนและกดดันเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2555 นั้น นอกจากจะเป็นผลมาจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำจากผลของอุทกภัยแล้ว ยังเป็นผลมาจากโมเมนตัมที่เร่งตัวขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การเติบโตของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและกิจกรรมในภาคก่อสร้าง รวมถึงการสะสมสต็อกสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นมากอีกประการหนึ่ง ซึ่งช่วยหนุนให้ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งปี 2555 เติบโตขึ้นอย่างเกินคาด สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในปี 2556 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทที่เป็นไปอย่างรวดเร็วนั้น เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญ (ร่วมกับสภาพการแข่งขันในตลาดโลก) ที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อสถานการณ์การส่งออกของไทยในปี 2556 ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของการส่งออกสำหรับปี 2556 ลงมาอยู่ในกรอบร้อยละ 8.0-13.0 (ภายใต้สมมติฐานที่คาดว่า เงินบาทน่าจะชะลออัตราการแข็งค่าลงในช่วงเวลาที่เหลือของปี) ซึ่งทำให้กรอบประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2556 ชะลอลงมาที่ร้อยละ 4.3-5.3 จากกรอบคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 4.5-5.5
ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังประเทศกลุ่ม G-20 เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2556 มีความเห็นว่าประเทศต่างๆ ควรใช้นโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศของตนเท่านั้น และควรเว้นจากการใช้นโยบายโดยมีเป้าหมายต่ออัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากอาจนำไปสู่การแข่งขันกันลดค่าเงิน (Currency War) และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมได้ โดยที่ประชุมฯ ยังคงสงวนท่าทีต่อกรณีการดำเนินนโยบายการเงินของญี่ปุ่น ขณะที่นายทาโร อาโซะ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ได้เปิดเผยในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นว่า มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของญี่ปุ่นมีเป้าหมายในการต่อสู้กับเศรษฐกิจถดถอยและภาวะเงินฝืด โดยการอ่อนค่าของเงินเยนที่ผ่านมาเป็นเพียงผลข้างเคียงจากการใช้นโยบายดังกล่าวเท่านั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ความเห็นดังกล่าวของที่ประชุมกลุ่ม G-20 เป็นผลสืบเนื่องจากความกังวลของประเทศสมาชิกที่ก่อตัวขึ้น หลังจากรัฐบาลใหม่ของญี่ปุ่นได้ประกาศเดินหน้านโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายอย่างเข้มข้น กระทั่งทำให้ค่าเงินเยนต่อดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงนับตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. 2555 จนถึงปัจจุบันกว่าร้อยละ 14 (จากราว 82 เยนต่อดอลลาร์ฯ เป็น 94 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งหากยังมีแนวโน้มดำเนินต่อไปก็จะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของประเทศผู้ส่งออกอื่นๆ และอาจกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆ เป็นวงกว้างได้
นอกจากนั้น ในกรณีของญี่ปุ่น การอ่อนค่าลงของเงินเยน อาจช่วยกระตุ้นการส่งออกได้เพียงในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากไม่ได้มีผลช่วยแก้ไขปัญหาพื้นฐานอีกส่วนหนึ่ง นั่นคือต้นทุนแรงงานและพลังงานที่อยู่ในระดับสูง อีกทั้ง ยังทำให้ญี่ปุ่นต้องนำเข้าปัจจัยการผลิตภาคอุตสาหกรรมในราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นยังต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากสายการผลิตที่เชื่อมโยงกันอยู่อย่างแนบแน่นในภูมิภาค ในขณะที่ เงินเยนที่อ่อนค่าลง ยังอาจช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีการกระจายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศแล้วเป็นจำนวนมาก
KR Daily Update : ประเด็นเด่นวันนี้
KR Daily Update : ประเด็นเด่นวันนี้
ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของไทยในไตรมาส 4/2555 ขยายตัวร้อยละ 18.9 (YoY) เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน
ขณะที่ ทั้งปี 2555 ขยายตัวร้อยละ 6.4 ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2556 คาดว่า สศช. คาดว่า จะขยายตัวร้อยละ 4.5-5.5 โดยได้รับปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวทั้งในจีน ยุโรป และสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ก็น่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาล ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ส่วนปัจจัยเสี่ยงในปี 2556 ได้แก่ ปัญหาเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งอาจส่งผลให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนและกดดันเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4/2555 นั้น นอกจากจะเป็นผลมาจากฐานเปรียบเทียบที่ต่ำจากผลของอุทกภัยแล้ว ยังเป็นผลมาจากโมเมนตัมที่เร่งตัวขึ้นในช่วงโค้งสุดท้ายของการใช้จ่ายภาคครัวเรือน การเติบโตของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและกิจกรรมในภาคก่อสร้าง รวมถึงการสะสมสต็อกสินค้าคงคลังที่เพิ่มขึ้นมากอีกประการหนึ่ง ซึ่งช่วยหนุนให้ภาพรวมเศรษฐกิจทั้งปี 2555 เติบโตขึ้นอย่างเกินคาด สำหรับทิศทางเศรษฐกิจในปี 2556 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การแข็งค่าของเงินบาทที่เป็นไปอย่างรวดเร็วนั้น เป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญ (ร่วมกับสภาพการแข่งขันในตลาดโลก) ที่จะเพิ่มแรงกดดันต่อสถานการณ์การส่งออกของไทยในปี 2556 ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตของการส่งออกสำหรับปี 2556 ลงมาอยู่ในกรอบร้อยละ 8.0-13.0 (ภายใต้สมมติฐานที่คาดว่า เงินบาทน่าจะชะลออัตราการแข็งค่าลงในช่วงเวลาที่เหลือของปี) ซึ่งทำให้กรอบประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2556 ชะลอลงมาที่ร้อยละ 4.3-5.3 จากกรอบคาดการณ์เดิมที่ร้อยละ 4.5-5.5
ที่ประชุมรัฐมนตรีคลังประเทศกลุ่ม G-20 เมื่อวันที่ 16 ก.พ. 2556 มีความเห็นว่าประเทศต่างๆ ควรใช้นโยบายการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศของตนเท่านั้น และควรเว้นจากการใช้นโยบายโดยมีเป้าหมายต่ออัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากอาจนำไปสู่การแข่งขันกันลดค่าเงิน (Currency War) และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวมได้ โดยที่ประชุมฯ ยังคงสงวนท่าทีต่อกรณีการดำเนินนโยบายการเงินของญี่ปุ่น ขณะที่นายทาโร อาโซะ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ได้เปิดเผยในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นว่า มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องของญี่ปุ่นมีเป้าหมายในการต่อสู้กับเศรษฐกิจถดถอยและภาวะเงินฝืด โดยการอ่อนค่าของเงินเยนที่ผ่านมาเป็นเพียงผลข้างเคียงจากการใช้นโยบายดังกล่าวเท่านั้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ความเห็นดังกล่าวของที่ประชุมกลุ่ม G-20 เป็นผลสืบเนื่องจากความกังวลของประเทศสมาชิกที่ก่อตัวขึ้น หลังจากรัฐบาลใหม่ของญี่ปุ่นได้ประกาศเดินหน้านโยบายการเงินเชิงผ่อนคลายอย่างเข้มข้น กระทั่งทำให้ค่าเงินเยนต่อดอลลาร์ฯ อ่อนค่าลงนับตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. 2555 จนถึงปัจจุบันกว่าร้อยละ 14 (จากราว 82 เยนต่อดอลลาร์ฯ เป็น 94 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) ซึ่งหากยังมีแนวโน้มดำเนินต่อไปก็จะกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าส่งออกของประเทศผู้ส่งออกอื่นๆ และอาจกระทบต่อเศรษฐกิจประเทศต่างๆ เป็นวงกว้างได้
นอกจากนั้น ในกรณีของญี่ปุ่น การอ่อนค่าลงของเงินเยน อาจช่วยกระตุ้นการส่งออกได้เพียงในระยะสั้นเท่านั้น เนื่องจากไม่ได้มีผลช่วยแก้ไขปัญหาพื้นฐานอีกส่วนหนึ่ง นั่นคือต้นทุนแรงงานและพลังงานที่อยู่ในระดับสูง อีกทั้ง ยังทำให้ญี่ปุ่นต้องนำเข้าปัจจัยการผลิตภาคอุตสาหกรรมในราคาที่สูงขึ้น เนื่องจากญี่ปุ่นยังต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากสายการผลิตที่เชื่อมโยงกันอยู่อย่างแนบแน่นในภูมิภาค ในขณะที่ เงินเยนที่อ่อนค่าลง ยังอาจช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นได้เพียงบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากบริษัทเหล่านี้มีการกระจายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศแล้วเป็นจำนวนมาก