- เนื้อเรื่องของเราค่อนข้างยาวหน่อยนะแต่จบทีเดียวนี่แหละ
- ถ้าอยากอ่านเนื้อหาแบบตรงประเด็นสามารถข้ามไปที่ย่อหน้าสุดท้ายได้เลย (อาจจะงงนิดนึงแต่มีรูปประกอบด้านล่างอีกที)
ขอเล่าเหตุการณ์ที่มาที่ไปทั้งหมดให้ฟังก่อนนะ . . .
เราอาศัยอยู่ในห้อง Duplex (ชั้น 2) ณ คอนโดแห่งหนึ่งในซอยรัชดา ขออธิบายว่าฝั่งสระว่ายน้ำของโครงการติดคลองสาธารณะ อีกฝั่งติดโรงงาน คืนวันเกิดเหตุที่โจรเข้ามาขโมยของจากทางฝั่งสระว่ายน้ำ เรานอนหลับอยู่บนชั้นสอง ตื่นมาก็เห็นประตูระเบียงเปิดทิ้งไว้โดยที่ตัวล็อคยังขึ้นว่าล็อคอยู่ เงินเอย ของมีค่าเอยก็หายไปนั่นแหละ หลังจากนั้นเราก็แจ้งนิติฯ และคนในครอบครัวให้รู้เรื่อง แต่เพราะวันนั้นต้องไปสนามบินด้วยธุระเรื่องงานต่างจังหวัดในตอนเช้าทำให้เราไม่มีเวลาจัดการอะไรทั้งนั้นเลยฝากเรื่องกับนิติฯและคุณพ่อเอาไว้ (ตอนนั้นประตูล็อคไม่ได้แล้ว)
จนกระทั่งเรากลับมาในตอนมืดวันนั้นถึงได้รู้ว่าตำรวจไม่รับแจ้งความแทนกัน เราเลยต้องไปแจ้งความในวันถัดมาซึ่งตอนนั้นก็ให้ช่างเข้ามาแก้ไขประตูที่ล็อคไม่ได้ไปเรียบร้อยแล้ว (ถ้าล็อคไม่ได้เราก็กลัวอยู่น่ะนะ) และโครงการก็มาติดตั้งตัวล็อคเพิ่มให้อีก 1 ตัว เอาจริงเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับตำรวจมากเท่าไหร่หรอก ตอนที่คุณตำรวจบอกว่าจะเข้ามาดูที่เกิดเหตุแล้วสุดท้ายไม่ได้มาเราก็ทำใจอยู่ (โทรไปตามก็แล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้นี่นา)
ทีนี้เราเลยหาทางแก้ปัญหาที่เราพอจะทำได้กันเองก่อนดีกว่าและความรู้สึกเราในตอนนั้นคือไม่มั่นใจในความปลอดภัยของคอนโดแล้วแถมยังเป็นปัญหาเร่งด่วนด้วย เลยปรึกษากับทางนิติฯว่าเราจะขอติดประตูเหล็กดัดครอบตรงประตูระเบียงได้มั้ย แต่เพราะตอนที่เราตกแต่งภายในห้องตัวเองเราวางตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ Built-in ผิดพลาดเลยทำให้ตรงประตูในห้องมันมีข้อจำกัดในการติดตั้งอะไรๆเพิ่มเติมแล้วเลยขอติดข้างนอกนะ ซึ่งทางนิติฯก็แจ้งว่าจริงๆมันไม่สามารถทำได้เพราะด้วยข้อบังคับเรื่องห้ามตกแต่ง ดัดแปลง เพิ่มเติมอะไรที่ส่งผลกระทบต่อรูปลักษณ์อาคาร แต่เพราะนี่เป็นปัญหาด่วนจริงนิติฯเลยแนะนำว่าให้ลองเอาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาดูรวมถึงเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาทางอื่นด้วย ซึ่งนิติฯเองก็รีบดำเนินเรื่องทั้งหมดให้
เราก็รอจนกระทั่งมีมติจากคณะกรรมการอนุมัติให้เราทำประตูเหล็กดัดครอบประตูฝั่งด้านนอกได้ (ตรงนี้เราแจ้งไว้ชัดเจนว่าเราขอติดข้างนอกนะ) แต่ต้องเป็นการ “ชั่วคราว” เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องเข้าที่ประชุมใหญ่ซึ่งจะจัดอีกทีนู่นเดือนเม.ย.ปีหน้า ถ้าหากที่ประชุมใหญ่มีมติว่าห้ามไม่ให้ติดเราก็ต้องเอาออก ซึ่งเราก็รับทราบ
ตอนนั้นเราดีใจจริงๆนะที่ทุกคนเห็นใจเราและช่วยให้เราสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างอุ่นใจในระหว่างที่รอนิติฯดำเนินการแก้ปัญหาทางอื่นร่วมด้วย แต่ทว่า . . .
ในวันถัดมามีโทรศัพท์จากโครงการโทรมาหาเราโดยตรง (เค้าบอกว่าเค้าเป็นคนของโครงการ) บอกว่าเราไม่สามารถทำได้เพราะมันผิดข้อบังคับ (ที่ว่านั่นแหละ) มันจะทำให้ลูกบ้านคนอื่นทำตาม ขอให้เราติดตั้งประตูภายในห้องเราเองได้มั้ยซึ่งเราก็ชี้แจงไปว่าในห้องเรามันจำกัดด้วยเฟอร์นิเจอร์ Built-in จริงๆ แต่เค้าไม่เชื่อ เค้าบอกว่าจะขอเข้ามาดูในห้อง ตอนนั้นเราเริ่มโมโหแล้วนะ (ตั้งแต่เกิดเรื่องนี่ยังไม่โมโหเลยมาโมโหเพราะโครงการนี่แหละ) เพราะในที่ประชุมก็มีตัวแทนของโครงการซึ่งรับทราบว่าคณะกรรมการอนุมัติให้เราทำได้แล้วชั่วคราว
เราเลยถามกลับไปว่าเราไม่ติดข้างใน ถ้าคุณบอกว่าเราทำไม่ได้คุณมีแนวทางแก้ปัญหาให้เราได้มั้ย เพราะตั้งแต่เกิดเหตุมาคุณไม่เคยติดต่อมาเลยจนมันผ่านมา 7 วันแล้ว พอเราหาทางแก้ปัญหาคุณก็เพิ่งโผล่มาเอาแต่พูดว่าทำไม่ได้ๆๆเพราะผิดข้อบังคับ มันกระทบลูกบ้านคนอื่น ซึ่งพอเราถามกลับว่างั้นคุณจะช่วยเราแก้ปัญหายังไง เค้าก็บอกว่าจริงๆ
นี่เป็นปัญหาที่โครงการไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาช่วยเลยซะด้วยซ้ำนะ แต่นี่โครงการกำลังจะหาทางช่วยให้เราติดประตูข้างในห้องให้ได้อยู่ไง (ซึ่งบทสนทนาเลยกลายเป็นวนลูปใหม่บรรทัดแรกย่อหน้านี้แหละ)
จนจุดพีคสุดๆคือระหว่างคุยกันก็มีเสียงบุคคลที่สามในสายพูดขึ้นมาว่า
“เอาแต่สวยบ้านตัวเองเนอะ ไม่สนความสวยบ้านคนอื่นเลย” เอาจริงตอนนั้นเราโมโหปี้ดจนน้ำตาแทบจะไหล เราเพิ่งรู้ว่าทัศนคติของโครงการคือให้ความสำคัญกับความสวยมากกว่าความปลอดภัยของลูกบ้านอย่างเราหรอ แถมยังเพิ่งรู้ว่าการโทรมาคุยกันแบบนี้นี่คือเปิด Speaker Phone กันด้วย เราโมโหเลยสรุปไปว่าเราขอให้คุณคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้เราแล้วในวันถัดมามาคุยกัน วันนี้ไม่คุยแล้ว (หลังจากวนลูปบทสนทนาย่อหน้าที่แล้วไปไม่รู้กี่รอบ)
วันถัดมาไม่มีคนจากโครงการมาหาเราจ๊ะ เราเลยบอกนิติฯเรื่องที่โครงการโทรหาเราซึ่งนิติฯเค้าก็อธิบายให้เราเข้าใจแหละว่าเรื่องผิดน่ะมันผิดจริงๆ และมันจะส่งผลต่ออีกคือลูกบ้านท่านอื่นอยากจะติดด้วยจนกลายเป็นควบคุมไม่ได้ ส่วนกรณีของเราตอนนี้ เพราะมีมติจากคณะกรรมการว่าติดชั่วคราวได้ แต่ถ้าถึงเวลาถ้าที่ประชุมใหญ่ให้เอาออกต้องเอาออกนะ จนเวลานั้นก็มีลูกบ้านท่านนึงเข้ามาซึ่งเป็นลูกบ้านที่อยากจะติดเหล็กดัดหลังจากรู้เรื่องโจรพอดี เราเลยแนะนำตัวและขอถามความเห็นเค้าเกี่ยวกับเรื่องการติดประตูนี่หน่อย ซึ่งเค้าบอกว่าที่จริงเค้าก็อยากติดนะแต่เพราะกฏเค้าเลยจะหาทางอื่นแทนแล้วเค้าก็แนะนำเราแบบเป็นกลางแหละว่าลองหาหนทางอื่นดีมั้ย รวมถึงพอเราถามนิติฯตรงๆว่าคิดว่ายังไงเค้าก็บอกเราว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เราลองพิจารณาทางอื่นดูเหมือนกัน
ตรงนี้เพราะความเห็นของลูกบ้านท่านนั้นและนิติฯที่คอยช่วยเหลือเรามาตลอดนะ เราใจเย็นลง (รวมถึงปลอบคุณพ่อเราด้วย) และลองกลับไปคิดดูว่าเราจะทำยังไงดีถ้าอย่างนั้น จนเราได้ไอเดียนี้มา . . .
ถ้าเราเอาแผงตกแต่งที่มันอยู่ตรงด้านล่างริมระเบียงออกแล้วทำอย่างอื่นตกแต่งอย่างเช่น ต้นไม้ แทนได้มั้ย อย่างน้อยก็กันไม่ให้มันปีนง่ายเหมือนครั้งที่ผ่านมาแหละ พอคิดได้เราก็รีบเอาไปถามนิติฯซึ่งเค้าก็ถ้าเป็นต้นไม้นี่เดี๋ยวเค้ารีบไปหามาให้ก่อนเลยเอาที่มีหนามปีนแล้วเจ็บๆด้วย แต่การจะเอาแผงตกแต่งออกนี่น่าจะยากเพราะติดข้อบังคับข้อเดิม “ส่งผลกระทบรูปลักษณ์ภายนอก” เราก็ใจแป้ว เพราะแผงนี่มันซัพพอร์ทโจรมากเลยนะ ถ้ามันขึ้นมาได้ก็เข้าห้องเราได้แน่ๆ
ถึงทางนิติฯเค้าบอกว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยอื่นๆที่จะตามมาคือ
1. ติดลวดหนามหีบเพลงหรือเหล็กแหลมๆ (ยังไม่รู้อันไหนดีกว่ากัน) ตรงขอบรั้วโครงการบริเวณที่ติดกับคลองสาธารณะกับโรงงานข้างๆ
2. เพิ่มไฟแสงสว่างบริเวณมุมอับ
3. ติดตั้งจอแสดงกล้องวงจรปิดตรงที่พี่ยามนั่ง (ปัจจุบันจออยู่ในห้องนิติฯ ยามอยู่เฝ้าที่จอดรถ)
4. ให้พี่ยามเดินสำรวจทุก 30 นาที
เราก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี เราซื้อที่นี่โดยไม่ได้คิดจะขายเลยมองว่ามันเป็นบ้าน แล้วถ้าในอนาคตที่เรื่องนี้มันเริ่มซาไปจนเกิดความหย่อนยานในการระมัดระวัง บ้านเราก็มีความเสี่ยงที่จะโดนอีก ยังไงๆเราก็ไม่รู้สึกดีกับแผง (บันไดให้โจร) นี่แน่ๆ
ถึงตอนสุดท้ายประเด็นสำคัญมากละ เราจะขอคำแนะนำจากทุกคนตามนี้หน่อย . . .
1. เราสามารถเจรจาขอโครงการเอาแผงเจ้าปัญหานี้ออกได้มั้ย
2. ถ้าได้ ต้องมีข้อมูลหรือเหตุผลซัพพอร์ทอะไรมากน้อยแค่ไหนเค้าถึงจะยอมรับฟังโดยเลิกหยิบยกเรื่องข้อบังคับห้ามนู่นนี่นั่นที่กระทบต่อรูปลักษณ์อาคารอีก (จริงข้อนี้อาจจะดูโง่นะ กลายเป็นว่าการที่โจรขึ้นบ้านเราไม่ร้ายแรงพอให้พิจารณา แต่เราไม่อยากเสียความรู้สึกแบบตอนที่โครงการโทรมาพูดกับเราแบบนั้นอีกแล้ว)
3. ถ้าไม่ได้ รบกวนแนะนำแนวทางอื่นๆที่จะแก้ปัญหานี้ที
4. (ข้อนี้แอบไม่อยากได้) คือ หรือว่าเราต้องทำใจและเชื่อใจในมาตรการที่จะเพิ่มให้เท่านั้นจริงๆ
ปล.1 จน ณ ปัจจุบันนี้หลังเกิดเหตุตั้งแต่ตีสอง วันที่ 18 สิงหาคม 2559 เรายังอยู่ของเราแบบเดิม มีเพิ่มคือตัวล็อค 1 ตัว และพี่ยามที่เดินมาเยี่ยมพื้นที่เราทุก 30 นาที (และโครงการที่ไม่เคยติดต่อมาอีกเลย)
ปล.2 ถ้าหากมีคนที่คิดว่าการตัดสินใจของเราผิดพลาดไม่ว่าในเรื่องใดๆก็ตาม สามารถตักเตือนได้นะแต่เราขอนิดนึงคือให้อยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมก็พอ (เราไม่ค่อยชอบ, ไม่ถนัดเรื่องการทะเลาะด้วย และแอบกลัวความคิดเห็นที่ดุดันมากๆเหมือนกัน ฮ่า)
ปล.3 ขอบคุณทุกคนล่วงหน้ามากเลยที่เข้ามาช่วยกันแนะนำแนวทาง
เกือบลืม . . . เรายืมล็อคอินเพื่อนมา อย่าดุเราแรงนะเราไม่อยากให้ประวัติการตั้งกระทู้มันดูรุนแรงน่ะ
ด้านล่างนี้เป็นรูปประกอบจ๊ะ
เมื่อโจรขึ้นคอนโด ขอแนวทางแก้ปัญหางานสถาปัตยกรรมที่เอื้อต่อการโจรกรรมหน่อยจ๊ะ
- ถ้าอยากอ่านเนื้อหาแบบตรงประเด็นสามารถข้ามไปที่ย่อหน้าสุดท้ายได้เลย (อาจจะงงนิดนึงแต่มีรูปประกอบด้านล่างอีกที)
ขอเล่าเหตุการณ์ที่มาที่ไปทั้งหมดให้ฟังก่อนนะ . . .
เราอาศัยอยู่ในห้อง Duplex (ชั้น 2) ณ คอนโดแห่งหนึ่งในซอยรัชดา ขออธิบายว่าฝั่งสระว่ายน้ำของโครงการติดคลองสาธารณะ อีกฝั่งติดโรงงาน คืนวันเกิดเหตุที่โจรเข้ามาขโมยของจากทางฝั่งสระว่ายน้ำ เรานอนหลับอยู่บนชั้นสอง ตื่นมาก็เห็นประตูระเบียงเปิดทิ้งไว้โดยที่ตัวล็อคยังขึ้นว่าล็อคอยู่ เงินเอย ของมีค่าเอยก็หายไปนั่นแหละ หลังจากนั้นเราก็แจ้งนิติฯ และคนในครอบครัวให้รู้เรื่อง แต่เพราะวันนั้นต้องไปสนามบินด้วยธุระเรื่องงานต่างจังหวัดในตอนเช้าทำให้เราไม่มีเวลาจัดการอะไรทั้งนั้นเลยฝากเรื่องกับนิติฯและคุณพ่อเอาไว้ (ตอนนั้นประตูล็อคไม่ได้แล้ว)
จนกระทั่งเรากลับมาในตอนมืดวันนั้นถึงได้รู้ว่าตำรวจไม่รับแจ้งความแทนกัน เราเลยต้องไปแจ้งความในวันถัดมาซึ่งตอนนั้นก็ให้ช่างเข้ามาแก้ไขประตูที่ล็อคไม่ได้ไปเรียบร้อยแล้ว (ถ้าล็อคไม่ได้เราก็กลัวอยู่น่ะนะ) และโครงการก็มาติดตั้งตัวล็อคเพิ่มให้อีก 1 ตัว เอาจริงเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับตำรวจมากเท่าไหร่หรอก ตอนที่คุณตำรวจบอกว่าจะเข้ามาดูที่เกิดเหตุแล้วสุดท้ายไม่ได้มาเราก็ทำใจอยู่ (โทรไปตามก็แล้ว แต่ทำอะไรไม่ได้นี่นา)
ทีนี้เราเลยหาทางแก้ปัญหาที่เราพอจะทำได้กันเองก่อนดีกว่าและความรู้สึกเราในตอนนั้นคือไม่มั่นใจในความปลอดภัยของคอนโดแล้วแถมยังเป็นปัญหาเร่งด่วนด้วย เลยปรึกษากับทางนิติฯว่าเราจะขอติดประตูเหล็กดัดครอบตรงประตูระเบียงได้มั้ย แต่เพราะตอนที่เราตกแต่งภายในห้องตัวเองเราวางตำแหน่งเฟอร์นิเจอร์ Built-in ผิดพลาดเลยทำให้ตรงประตูในห้องมันมีข้อจำกัดในการติดตั้งอะไรๆเพิ่มเติมแล้วเลยขอติดข้างนอกนะ ซึ่งทางนิติฯก็แจ้งว่าจริงๆมันไม่สามารถทำได้เพราะด้วยข้อบังคับเรื่องห้ามตกแต่ง ดัดแปลง เพิ่มเติมอะไรที่ส่งผลกระทบต่อรูปลักษณ์อาคาร แต่เพราะนี่เป็นปัญหาด่วนจริงนิติฯเลยแนะนำว่าให้ลองเอาเข้าที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาดูรวมถึงเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาทางอื่นด้วย ซึ่งนิติฯเองก็รีบดำเนินเรื่องทั้งหมดให้
เราก็รอจนกระทั่งมีมติจากคณะกรรมการอนุมัติให้เราทำประตูเหล็กดัดครอบประตูฝั่งด้านนอกได้ (ตรงนี้เราแจ้งไว้ชัดเจนว่าเราขอติดข้างนอกนะ) แต่ต้องเป็นการ “ชั่วคราว” เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องเข้าที่ประชุมใหญ่ซึ่งจะจัดอีกทีนู่นเดือนเม.ย.ปีหน้า ถ้าหากที่ประชุมใหญ่มีมติว่าห้ามไม่ให้ติดเราก็ต้องเอาออก ซึ่งเราก็รับทราบ
ตอนนั้นเราดีใจจริงๆนะที่ทุกคนเห็นใจเราและช่วยให้เราสามารถอยู่ที่นี่ได้อย่างอุ่นใจในระหว่างที่รอนิติฯดำเนินการแก้ปัญหาทางอื่นร่วมด้วย แต่ทว่า . . .
ในวันถัดมามีโทรศัพท์จากโครงการโทรมาหาเราโดยตรง (เค้าบอกว่าเค้าเป็นคนของโครงการ) บอกว่าเราไม่สามารถทำได้เพราะมันผิดข้อบังคับ (ที่ว่านั่นแหละ) มันจะทำให้ลูกบ้านคนอื่นทำตาม ขอให้เราติดตั้งประตูภายในห้องเราเองได้มั้ยซึ่งเราก็ชี้แจงไปว่าในห้องเรามันจำกัดด้วยเฟอร์นิเจอร์ Built-in จริงๆ แต่เค้าไม่เชื่อ เค้าบอกว่าจะขอเข้ามาดูในห้อง ตอนนั้นเราเริ่มโมโหแล้วนะ (ตั้งแต่เกิดเรื่องนี่ยังไม่โมโหเลยมาโมโหเพราะโครงการนี่แหละ) เพราะในที่ประชุมก็มีตัวแทนของโครงการซึ่งรับทราบว่าคณะกรรมการอนุมัติให้เราทำได้แล้วชั่วคราว
เราเลยถามกลับไปว่าเราไม่ติดข้างใน ถ้าคุณบอกว่าเราทำไม่ได้คุณมีแนวทางแก้ปัญหาให้เราได้มั้ย เพราะตั้งแต่เกิดเหตุมาคุณไม่เคยติดต่อมาเลยจนมันผ่านมา 7 วันแล้ว พอเราหาทางแก้ปัญหาคุณก็เพิ่งโผล่มาเอาแต่พูดว่าทำไม่ได้ๆๆเพราะผิดข้อบังคับ มันกระทบลูกบ้านคนอื่น ซึ่งพอเราถามกลับว่างั้นคุณจะช่วยเราแก้ปัญหายังไง เค้าก็บอกว่าจริงๆ นี่เป็นปัญหาที่โครงการไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาช่วยเลยซะด้วยซ้ำนะ แต่นี่โครงการกำลังจะหาทางช่วยให้เราติดประตูข้างในห้องให้ได้อยู่ไง (ซึ่งบทสนทนาเลยกลายเป็นวนลูปใหม่บรรทัดแรกย่อหน้านี้แหละ)
จนจุดพีคสุดๆคือระหว่างคุยกันก็มีเสียงบุคคลที่สามในสายพูดขึ้นมาว่า “เอาแต่สวยบ้านตัวเองเนอะ ไม่สนความสวยบ้านคนอื่นเลย” เอาจริงตอนนั้นเราโมโหปี้ดจนน้ำตาแทบจะไหล เราเพิ่งรู้ว่าทัศนคติของโครงการคือให้ความสำคัญกับความสวยมากกว่าความปลอดภัยของลูกบ้านอย่างเราหรอ แถมยังเพิ่งรู้ว่าการโทรมาคุยกันแบบนี้นี่คือเปิด Speaker Phone กันด้วย เราโมโหเลยสรุปไปว่าเราขอให้คุณคิดหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้เราแล้วในวันถัดมามาคุยกัน วันนี้ไม่คุยแล้ว (หลังจากวนลูปบทสนทนาย่อหน้าที่แล้วไปไม่รู้กี่รอบ)
วันถัดมาไม่มีคนจากโครงการมาหาเราจ๊ะ เราเลยบอกนิติฯเรื่องที่โครงการโทรหาเราซึ่งนิติฯเค้าก็อธิบายให้เราเข้าใจแหละว่าเรื่องผิดน่ะมันผิดจริงๆ และมันจะส่งผลต่ออีกคือลูกบ้านท่านอื่นอยากจะติดด้วยจนกลายเป็นควบคุมไม่ได้ ส่วนกรณีของเราตอนนี้ เพราะมีมติจากคณะกรรมการว่าติดชั่วคราวได้ แต่ถ้าถึงเวลาถ้าที่ประชุมใหญ่ให้เอาออกต้องเอาออกนะ จนเวลานั้นก็มีลูกบ้านท่านนึงเข้ามาซึ่งเป็นลูกบ้านที่อยากจะติดเหล็กดัดหลังจากรู้เรื่องโจรพอดี เราเลยแนะนำตัวและขอถามความเห็นเค้าเกี่ยวกับเรื่องการติดประตูนี่หน่อย ซึ่งเค้าบอกว่าที่จริงเค้าก็อยากติดนะแต่เพราะกฏเค้าเลยจะหาทางอื่นแทนแล้วเค้าก็แนะนำเราแบบเป็นกลางแหละว่าลองหาหนทางอื่นดีมั้ย รวมถึงพอเราถามนิติฯตรงๆว่าคิดว่ายังไงเค้าก็บอกเราว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้เราลองพิจารณาทางอื่นดูเหมือนกัน
ตรงนี้เพราะความเห็นของลูกบ้านท่านนั้นและนิติฯที่คอยช่วยเหลือเรามาตลอดนะ เราใจเย็นลง (รวมถึงปลอบคุณพ่อเราด้วย) และลองกลับไปคิดดูว่าเราจะทำยังไงดีถ้าอย่างนั้น จนเราได้ไอเดียนี้มา . . .
ถ้าเราเอาแผงตกแต่งที่มันอยู่ตรงด้านล่างริมระเบียงออกแล้วทำอย่างอื่นตกแต่งอย่างเช่น ต้นไม้ แทนได้มั้ย อย่างน้อยก็กันไม่ให้มันปีนง่ายเหมือนครั้งที่ผ่านมาแหละ พอคิดได้เราก็รีบเอาไปถามนิติฯซึ่งเค้าก็ถ้าเป็นต้นไม้นี่เดี๋ยวเค้ารีบไปหามาให้ก่อนเลยเอาที่มีหนามปีนแล้วเจ็บๆด้วย แต่การจะเอาแผงตกแต่งออกนี่น่าจะยากเพราะติดข้อบังคับข้อเดิม “ส่งผลกระทบรูปลักษณ์ภายนอก” เราก็ใจแป้ว เพราะแผงนี่มันซัพพอร์ทโจรมากเลยนะ ถ้ามันขึ้นมาได้ก็เข้าห้องเราได้แน่ๆ
ถึงทางนิติฯเค้าบอกว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยอื่นๆที่จะตามมาคือ
1. ติดลวดหนามหีบเพลงหรือเหล็กแหลมๆ (ยังไม่รู้อันไหนดีกว่ากัน) ตรงขอบรั้วโครงการบริเวณที่ติดกับคลองสาธารณะกับโรงงานข้างๆ
2. เพิ่มไฟแสงสว่างบริเวณมุมอับ
3. ติดตั้งจอแสดงกล้องวงจรปิดตรงที่พี่ยามนั่ง (ปัจจุบันจออยู่ในห้องนิติฯ ยามอยู่เฝ้าที่จอดรถ)
4. ให้พี่ยามเดินสำรวจทุก 30 นาที
เราก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี เราซื้อที่นี่โดยไม่ได้คิดจะขายเลยมองว่ามันเป็นบ้าน แล้วถ้าในอนาคตที่เรื่องนี้มันเริ่มซาไปจนเกิดความหย่อนยานในการระมัดระวัง บ้านเราก็มีความเสี่ยงที่จะโดนอีก ยังไงๆเราก็ไม่รู้สึกดีกับแผง (บันไดให้โจร) นี่แน่ๆ
ถึงตอนสุดท้ายประเด็นสำคัญมากละ เราจะขอคำแนะนำจากทุกคนตามนี้หน่อย . . .
1. เราสามารถเจรจาขอโครงการเอาแผงเจ้าปัญหานี้ออกได้มั้ย
2. ถ้าได้ ต้องมีข้อมูลหรือเหตุผลซัพพอร์ทอะไรมากน้อยแค่ไหนเค้าถึงจะยอมรับฟังโดยเลิกหยิบยกเรื่องข้อบังคับห้ามนู่นนี่นั่นที่กระทบต่อรูปลักษณ์อาคารอีก (จริงข้อนี้อาจจะดูโง่นะ กลายเป็นว่าการที่โจรขึ้นบ้านเราไม่ร้ายแรงพอให้พิจารณา แต่เราไม่อยากเสียความรู้สึกแบบตอนที่โครงการโทรมาพูดกับเราแบบนั้นอีกแล้ว)
3. ถ้าไม่ได้ รบกวนแนะนำแนวทางอื่นๆที่จะแก้ปัญหานี้ที
4. (ข้อนี้แอบไม่อยากได้) คือ หรือว่าเราต้องทำใจและเชื่อใจในมาตรการที่จะเพิ่มให้เท่านั้นจริงๆ
ปล.1 จน ณ ปัจจุบันนี้หลังเกิดเหตุตั้งแต่ตีสอง วันที่ 18 สิงหาคม 2559 เรายังอยู่ของเราแบบเดิม มีเพิ่มคือตัวล็อค 1 ตัว และพี่ยามที่เดินมาเยี่ยมพื้นที่เราทุก 30 นาที (และโครงการที่ไม่เคยติดต่อมาอีกเลย)
ปล.2 ถ้าหากมีคนที่คิดว่าการตัดสินใจของเราผิดพลาดไม่ว่าในเรื่องใดๆก็ตาม สามารถตักเตือนได้นะแต่เราขอนิดนึงคือให้อยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมก็พอ (เราไม่ค่อยชอบ, ไม่ถนัดเรื่องการทะเลาะด้วย และแอบกลัวความคิดเห็นที่ดุดันมากๆเหมือนกัน ฮ่า)
ปล.3 ขอบคุณทุกคนล่วงหน้ามากเลยที่เข้ามาช่วยกันแนะนำแนวทาง
เกือบลืม . . . เรายืมล็อคอินเพื่อนมา อย่าดุเราแรงนะเราไม่อยากให้ประวัติการตั้งกระทู้มันดูรุนแรงน่ะ
ด้านล่างนี้เป็นรูปประกอบจ๊ะ