กลร้าย อุบัติรัก บทที่ ๑๔

กลร้าย อุบัติรัก บทที่ 12
เขียน... ขอจันทร์

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

    วันถัดมาเก็จกะรัตน์ และน้ำหนึ่งพากันมาเยี่ยมมุกรวีที่โรงพยาบาล ทันทีที่มาถึงน้ำหนึ่งก็เข้าไปคุยจ้ออยู่ที่ข้างเตียงหญิงสาว ส่วนเก็จกะรัตน์นั้นเพียงแต่ถามไถ่อาการหญิงสาวเล็กน้อย จากนั้นจึงมานั่งคุยกับเขมินท์ที่อีกมุมหนึ่ง

    “อยู่เฝ้าไม่ห่างเชียวนะ”

    “ผมว่างจากงานที่ไร่พอดีนะครับ”

    “ที่แต่ก่อนไม่เห็นเคยว่าง แต่ตอนนี้ในไร่เรื่องราวใหญ่โตดันเกิดจะว่างขึ้นมาได้นะตาเขม” เก็จกะรัตน์ดักคออย่างรู้ทัน เขมินท์จึงยิ้มให้อย่างเขินๆ

    “เอาเถอะ มีผู้หญิงที่คิดจะรักจะชอบจริงจังบ้างก็ดีแล้ว จะได้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง”

    “แสดงว่าแต่ก่อนผมแย่มากสิครับ” เขมินท์ว่าพลางหัวเราะ

    “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก แต่เราเล่นทำแต่งาน ไม่เงยหน้ามองผู้หญิงที่ไหน จนแม่เราบ่นกลัวว่าจะได้เจ้าเก่งมันเป็นสะใภ้เสีย”

    “เจ้าเก่งนี่นะครับ”

    “ว่าได้หรือเห็นตัวติดกันอย่างกับอะไร แต่ตอนนี้เห็นเรากับแม่หนูนั่นแม่เราก็คงสบายใจ ชอบคนนี้ใช่มั้ยละ” เก็จกะรัตน์ว่าพลางบุ้ยหน้าไปทางคนที่กำลังเคี้ยวแอปเปิ้ลตุ้ยๆอยู่บนเตียง

    “เอ่อ..”

    “อย่าปฏิเสธเลย เห็นสายตาเราใครๆก็ดูออก”

    “ขนาดนั้นเลยหรือครับ”

    “ไม่รู้ตัวละสิ เขมไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อนเลยนะ”

    “หรอครับ” ชายหนุ่มกระแอมนิดหนึ่งด้วยความขัดเขิน ก่อนจะนึกขึ้นได้

    “จริงสิ วันก่อนโน้นผมเจอป้าสุนีย์”

    “สุนีย์นะหรือ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” เก็จกระรัตน์เอ่ยถามอย่างแปลกใจ

    “มาได้ไม่กี่วันหรอกครับ แล้วก็รีบกลับ เผอิญท่านมีธุระกับคุณป้า เลยฝากผมมาเรียน” เขมินทร์นิ่งไปนิด มองหน้าอีกฝ่ายก่อนพูดต่อ

    “เรื่องสามีของน้าเก็จ” พูดไปแล้วชายหนุ่มก็สังเกตเห็นได้ถึงสีหน้าที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย รวมถึงท่าทีระมัดระวังมากขึ้น

    “สามีน้าเก็จ คุณพิชิตเสียชีวิตไปเมื่อเดือนก่อน เขาคงเก็บศพไว้รอครบร้อยวัน ซึ่งก็ใกล้กำหนดแล้ว ทางนู้นเขาเลยติดต่อมาเผื่อว่าน้าเก็จกับน้ำหนึ่งจะไปกราบศพเป็นครั้งสุดท้าย” พูดจบแล้วเขมินทร์ก็ฉลาดพอที่จะไม่เอ่ยถามอะไรต่อ ทำเพียงสังเกตปฏิกิริยาของคนตรงหน้า

    เก็จกระรัตน์จากที่มีทีท่าระมัดระวังในตอนแรก เมื่อได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วความตกใจเสียใจ สับสนก็เข้ามาแทนที่ซึ่งทั้งหมดนั้นได้แสดงออกทางสีหน้าอย่างแจ่มชัด ขาทั้งสองข้างเหมือนจะอ่อนแรงไปเสียเฉยๆ จนเกือบจะทรุดลงกับพื้นหากแต่ชายหนุ่มเข้ามาประคองไว้ และพาไปนั่งเก้าอี้ใกล้ ความเงียบงันเข้าครอบคลุม น้ำตาใสๆค่อยๆไหลออกมาอย่างช้าๆ ก่อนที่ดวงตาจะเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นจนเขมินทร์งงกับความเปลี่ยนแปลงนั้น หญิงผู้มากวัยกว่าค่อยๆลุกขึ้นปาดน้ำตาทิ้ง ก่อนหันมาหาผู้เป็นหลานชาย

    “ขอบใจมากที่มาบอก” พูดแล้วทำท่าจะลุกออกไป ชายหนุ่มขวางไว้ก่อนเอ่ย  

    “แค่นั้นเองหรือครับ”

    “ใช่ น้าไม่มีอะไรต้องพูดอีก ตั้งแต่ที่เราสองคนแม่ลูกออกจากชีวิตเขาก็เหมือนได้ตัดขาดจากเขา เหมือนตายจากกันแล้ว ฉะนั้นฉันไม่จำเป็นต้องรับรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาอีก” เก็จตะวันพูดเสียงเข้มจัด

    “แล้วน้ำหนึ่งละครับ เธอควรรับรู้ด้วยมั้ย” เขมินทร์พูดด้วยเสียงเรียบๆ

    “ไม่ น้ำหนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องรู้” เก็จกระรัตน์เสียงกร้าวขึ้น ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใช่การตอบคำถาม ไม่ใช่การขอร้อง แต่เป็นการสั่งอย่างเฉียบขาด “น้ำหนึ่งต้องไม่รู้เรื่องนี้ พ่อของมันตายไปนานแล้ว”


    กลับจากโรงพยาบาลแล้ว หลังจากนั้นสามวันคุณอรุณก็กลับลงกรุงเทพฯไป เขมินท์เล่าเรื่องของเก็จกะรัตน์ให้มารดาฟัง ทั้งปรึกษากับมุกรวีแล้วเห็นตรงกันว่าน่านคือจุดหมายที่ทั้งคู่ควรไป เขาใช้เวลาสามวันในการจัดการงานทั้งหมดในไร่ก่อนเตรียมตัวออกเดินทาง

    รุ่งเช้าทั้งเขมินท์และมุกรวีต่างพากันขนกระเป๋าขึ้นรถ และเพื่อความสะดวกในการเดินทาง อีกทั้งทั้งคู่ยังไม่ทราบจุดหมายแน่ชัดนัก การขับรถไปเองจึงเป็นทางเลือกที่ทั้งคู่เห็นตรงกัน

    “ขับรถดีๆนะเขม ดูถนนหนทางให้ดี แม่โทรไปบอกสุนีย์ไว้แล้ว เขาบอกว่าไปถึงน่านเมื่อไหร่ก็ให้ไปหาเขาแล้วเขาจะให้ที่อยู่บ้านเก่าแม่เก็จมาให้ ส่วนเรื่องที่พัก บ้านสุนีย์คนเขาเยอะไม่สะดวกรับแขก แต่เขาบอกว่าเขาจองที่พักเอาไว้ให้แล้วเป็นโรงแรมในเมืองใกล้บ้านสุนีย์ แต่ไกลบ้านเก่าแม่เก็จหน่อยเพราะรายนั้นบ้านเขาอยู่ชานเมือง” คุณนายจันทร์ฉายจัดแจงร่ายยาวจนมุกรวียิ้มออกมา ส่วนลูกชายคนเล็กเป่าปากอย่างขันๆ มีลูกชายที่ได้แต่ตอบรับ ‘ครับๆ’

    “โชคดีนะพี่เขม เดินทางดีๆนะครับน้องมุก” ดุจภูผาหันไปยิ้มหวานให้มุกรวี พูดต่อทีเล่นทีจริง แต่จะหนักไปทางทีจริงเสียมากกว่า

    “น่าเสียดาย ถ้าไม่ติดว่าช่วงนี้มีทัวลงเยอะ พี่จะขอติดรถไปปะหน้าแม่สาวเมืองน่านสักหน่อย ดูสิจะหน้าหวานสู้สาวเชียงใหม่ได้หรือเปล่า”

    เขมินท์มองน้องชายพลางส่ายหน้าอย่างขันๆ บอกลามารดา แล้วก็ชวนหญิงสาวขึ้นรถ พารถแล่นออกไปอย่างช้าๆ ตลอดทางมุกรวีนั่งเงียบจนชายหนุ่มอดที่จะเหลือบมองไม่ได้

    “คุณโอเคมั้ย ผมรู้สึกว่าช่วงนี้คุณดูซึมๆไป”

    “ไม่รู้สิ อยู่ๆมีนก็รู้สึกเหนื่อยยังไงไม่รู้”

    “เหนื่อยกาย หรือเหนื่อยใจ จะว่าเหนื่อยกายก็ไม่น่า ผมว่าผมไม่ได้ใช้งานคุณหนักขนาดนั้น”

    “ฉันเชื่อสนิทเรื่องการหมั้นของเรา ตอนแรกฉันคิดว่าเรื่องจับคลุมถุงชนมันเหมือนละครน้ำเน่าในทีวี แต่มาเจอเรื่องฆ่ากันเพื่อแย่งสมบัตินี่มันยิ่งกว่าน้ำเน่าในคลองแสบแสบเสียอีก” หญิงสาวพูดหยันๆ

    “นอกจากท่าทางซังกะตายแล้ว คุณดูไม่ค่อยทุกข์ร้อนนะ” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆกับคำกระทบกระเทียบประชดประชันดินฟ้าอากาศของหญิงสาว

    “ใครว่า ฉันนะ อยากจะกรี๊ดดังๆให้คอแตกไปเลย แต่ทำไปก็ใช่ว่าอะไรมันจะดีขึ้น ถ้าฉันสติแตกคุณป๋าต้องกลุ้มใจมากกว่านี้แน่ๆ”

    “ถ้าอยากจะกรี๊ดผมก็ไม่ว่านะ ไม่บอกคุณอาด้วย”

    “ฉันก็แค่รู้สึกแย่ที่คนที่ฉันเคารพนับถือไม่ว่าจะเป็นญาติคนไหนของฉันก็ตามคิดร้ายกับฉัน คุณเข้าใจฉันใช่มั้ยที่ฉันดึงดันจะกลับไปพร้อมคุณป๋า ไม่ใช่เพราะอยากจะอวดว่าข้าเก่งข้าไม่กลัวใคร เพราะฉันไม่ต้องการเป็นลูกแมวที่เอาแต่หลบซ่อน หรือให้คนอื่นปกป้องอยู่ตลอดเวลาหรอกนะ”

    ฟังอีกฝ่ายแล้ว เขมินท์เผยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ตาวับวาวมองไปที่อีกฝ่าย สีหน้าบ่งบอกถึงความชื่นชม และพึงพอใจ

    “ยิ่งรู้จักกัน คุณยิ่งผิดไปจากที่ผมคิดตอนแรกเยอะเลยนะ”

    “ตอนแรกฉันเป็นยังไง”

    “ก้าวร้าว หัวดื้อ ขี้โวยวาย เป็นยายตัวแสบที่ไม่น่าอยู่ใกล้เอาซะเลย”

    “บางทีฉันว่าเราควรตั้งเวทีต่อยกันสักยกให้รู้แล้วรู้รอดไป” มุกรวีพูดขุ่นๆ เขมินท์หลุดหัวเราะพรืดออกมา เอื้อมมือไปกดเลื่อนกระจกไฟฟ้าขึ้น เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเริ่มรำคาญกับปอยผมที่สบัดไปมาเพราะแรงลม

    “แม่คงได้ดึงหูผมยานแน่” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ “อีกอย่างผมไม่คิดจะมีเรื่องกับสุภาพสตรีหรอกนะ ยิ่งกับคุณผมอาจจะแพ้ตั้งแต่เริ่ม”

    มุกรวีขมวดคิ้วไม่เข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย ไม่ทันได้เอ่ยถาม เขมินท์ก็เปลี่ยนบทสนทนากลับเข้าเรื่องเดิม

    “เล่าเรื่องญาติของคุณให้ผมฟังบ้างสิ”

    “คุณยายมีลูกสาวสามคนนอกจากแม่ฉัน ก็มีคุณป้าพิมพ์ผกา ฉันไม่ค่อยสนิทกับท่านเท่าไหร่ ท่านเป็นคนดุ เจ้าระเบียบ ตั้งแต่เด็กๆฉันเลยไม่ค่อยกล้าเข้าใกล้ท่าน ท่านไม่ชอบคุณป๋า ท่านเชื่อว่าแม่ตรอมใจตายเพราะเสียใจที่คุณพ่อฉันยังคิดถึงคนรักเก่าอยู่”

    “แม่ผม?”

    “ใช่ แต่ในความรู้สึกของฉันคุณป๋ารักฉันกับแม่มาก คุณป๋าไม่เคยทำให้ฉันกับแม่เสียใจเลย”

    “ขอโทษนะ แม่คุณเสียเพราะอะไร”

    “ท่านสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว หลังจากคลอดฉันท่านก็อาการทรุดลงเจ็บออดๆแอดๆมาตลอด หลังจากนั้นประมาณสองปีท่านก็จากไป” หญิงสาวปรับเบาะนิดหนึ่งขยับตัวเพื่อให้นั่งได้สบายมากขึ้น

    “ป้าพิมพ์โทษคุณพ่อมาตลอด กับฉันป้าพิมพ์ก็อาจไม่ค่อยชอบฉันสักเท่าไหร่ ตั้งแต่เด็กๆ ท่านมักจะดุฉันเสมอ แม้แต่เรื่องเล็กๆ อย่างตอนที่ฉันหยิบจานกระเบื้องมาเล่นแล้วเผลอทำแตก คุณป้าดุฉัน ตีฉันไปซะหลายที” หญิงสาวพูดไปเรื่อยๆสายตามองไปตามทาง อดยิ้มไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต

    “แล้วก็น้าวันน้องคนสุดท้อง เธอเป็นคนใจดี พอแม่ฉันเสียเธอก็เป็นคนที่คอยดูแลฉันมาตั้งแต่ยังเล็กๆ น้าวันดูแลฉันดีเหมือนลูกแท้ๆยังไงยังนั้น น้าวันไม่เคยตีฉันสักครั้ง แถมเธอยังแทบจะร้องไห้ตามฉันด้วยซ้ำเวลาฉันถูกตี” มุกรวีหลับตาลงคล้ายกำลังระลึกถึงเรื่องในอดีต ปากก็พูดไปเรื่อยๆ

    “ท่านคงรักคุณมาก”

    “ค่ะ ฉันเคยได้ยินผู้ใหญ่คุยกันว่าน้าวันเคยแอบรักคุณป๋ามาก่อน แต่ผู้ใหญ่หมายตาให้คุณป๋าแต่งงานกับคุณแม่ไว้ตั้งแต่แรก น้าวันก็เลยต้องไปแต่งงานกับน้านนท์แทนซึ่งตอนนี้ก็เสียชีวิตไปแล้ว อาจจะเพราะฉันเป็นลูกของคนที่เธอเคยรักน้าวันถึงได้รักแล้วก็เอ็นดูฉันมาก”

    หรือไม่ ก็แค้นมาก... เขมินท์ต่อให้ในใจ

    “น้าวันมีลูกชายอยู่คนนึงชื่อไพฑูร อย่างที่เคยเล่าให้ฟังเราไม่ค่อยถูกกันนัก อ้อ แล้วก็มีอีกคน เอื้องผึ้ง เธออายุน้อยกว่าฉันประมาณปีหรือสองปีได้ เธอเป็นเด็กกำพร้าที่คุณตาฉันรับมาเลี้ยงตั้งแต่เด็กๆ เอื้องเป็นเด็กเรียบร้อยไม่ค่อยมีปากเสียงอะไร” มุกรวีหลับตาลงคล้ายกำลังระลึกถึงเรื่องในอดีต ปากก็พูดไปเรื่อยๆ

    “อืม”
    “...”

    “หนูมุก..” เห็นคนข้างๆเงียบไปชายหนุ่มหันไปมอง แล้วก็ต้องยิ้มอย่างอ่อนใจ “..หลับอีกแล้ว” ว่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเอามือไปบีบจมูกรั้นเบาๆ

    “หลับอย่างนี้ คนขับก็แย่นะสิ”
    
                **************************
    ใช้เวลาเกือบๆ 5 ชั่วโมงทั้งคู่ก็มาถึงตัวเมืองน่าน เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาจึงมุ่งตรงไปที่บ้านสุนีย์ทันที ทักทายพูดคุยกันพอเป็นพิธี แล้วชายหนุ่มก็รีบขอตัวลากลับจนหญิงสาวนึกสงสัย

    “กันไว้ก่อนนะคุณ วันนั้นน้าเก็จยิ่งหมายหัวไว้ด้วย เกิดมีอะไรให้สงสัย แกแล่นตามมาเอาเลือดหัวผมออกแน่”

    ออกจากบ้านสุนีย์แล้วทั้งคู่ก็ตามโรงแรมที่อีกฝ่ายจองเอาไว้ให้ ซึ่งอยู่ไม่ใกล้นักอย่างที่เจ้าตัวบอกจริงๆเป็นโรงแรมใหญ่ใจกลางเมืองที่สามารถหาเจอได้ง่าย ลักษณะไม่ได้หรูหราตามสมัยนิยมนัก แต่เน้นหนักไปทางการผสมผสานวัฒนธรรมพื้นเมืองกับความทันสมัยได้อย่างลงตัว

    ทั้งคู่เดินเข้ามาเจอกับพนักงานเปิดประตูที่โค้งให้อย่างนอบน้อม เขมินท์เดินนำไปยังเคาน์เตอร์ ซึ่งมีพนักงานสาวสวยยิ้มรับอยู่ก่อนแล้ว

    “จองไว้ชื่อคุณสุนีย์ครับ”

    “คุณสุนีย์ จองไว้หนึ่งห้อง พักสองคืนนะคะ” พนักงานสาวตอบรับพลางส่งรอยยิ้มหวานหยด พลันสายตาเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่เดินตามมา รอยยิ้มก็เหมือนจะจืดเจื่อนลงไปนิด

    “จองเอาไว้สองห้องนะครับ” ชายหนุ่มทวงขึ้น

    “แต่ในนี้บันทึกไว้แค่ห้องเดียวจริงๆนะ สักครู่นะคะ” พนักงานสาวเดินไปหาเพื่อนพนักงานอีกคนที่อยู่ด้วย หญิงสาวคนนั้นเดินมาเช็คบริเวณคอมพิวเตอร์อยู่สักครู่ก่อนเงยหน้าขึ้นพลางส่งยิ้ม

    “วันที่คุณสุนีย์มาจองไว้เรามีห้องเหลือแค่ห้องเดียวค่ะ คุณสุนีย์เธอเช็กแล้วว่าโรงแรมอีกก็เต็มหมด เธอจึงจองที่นี่เอาไว้ 1 ห้องค่ะ ถ้ายังไงโทรสอบถามทางคุณสุนีย์อีกทีก็ได้นะคะ”

    เขมินท์ฟังแล้วทำตามที่พนักงานสาวบอก เดินไปโทรศัพท์ที่อีกด้านหนึ่งคุยกันไม่นานชายหนุ่มก็เดินกลับมา มองหน้ามุกรวีอย่างลำบากใจ

        “เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ เราลองไปดูที่โรงแรมอื่นกันก่อนมั้ย” ชายหนุ่มเสนอ

    “เขาก็บอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าที่อื่นก็เต็มหมด” หญิงสาวท้วง แต่สีหน้าแสดงออกถึงความลังเลใจ

    “พักห้องเดียวกันก็ได้” มุกรวีตัดสินใจ ก่อนเอ่ยต่อเสียงเบาลงให้พอได้ยินกันแค่สองคน “ลองถ้าคุณหน้ามืดปล้ำฉันขึ้นมา ฉันจับทำหมันแน่”

    เขมินท์ไม่ตอบอะไร เพียงแต่ยักคิ้วให้ ก่อนหันไปบอกกับพนักงานสาว รอจัดการลงรายละเอียดเรียบร้อย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่