เฮือกสุดท้าย : บทที่สาม อำมหิต

กระทู้สนทนา
คำโปรย.........

มนุษย์ทุกคนชอบความสุข และความสบาย เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง
ถ้าต้องเลือกที่จะทำให้ชีวิตตัวเองสบาย มนุษย์จึงยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ความสบายและความสุข
อยู่กับตัวเองมากให้มากที่สุด  อาจเรียกได้ว่าเป็นความเห็นแก่ตัวที่ขาดสำนึกความรับผิดชอบ


และในบางครั้ง ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ ก็ทำให้ความอำมหิต เกิดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
โดยลืมนึกถึงเวรกรรมที่ตามมา.....



[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

                          

เมื่อเวลาเปลี่ยนผ่านไปเรื่อยๆ ต่างคนต่างโต ต่างแยกย้ายกันไปตามทางชีวิต  ทุกคนก็มีหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง
และการเกิดแก่เจ็บตายตามธรรมชาติ ก็เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


ในวันที่ความสูญเสียครั้งที่สองของคนที่เรารักตามมา พวกเราก็อยู่ในวัยบรรลุนิติภาวะพอควร ความเสียใจจึง
ยังพอควบคุมได้  และ งานศพของย่าก็เป็นเรื่องที่พวกเราให้ความสำคัญมาก


วันแรกที่รู้ว่าย่าจากพวกเราไป นิชากับนริศ ตัดสินใจเดินทางไปบ้านย่าอย่างเร่งรีบ แม้นจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม
ความผูกพันของย่ากับหลานก็เหมือน แม่คนที่สองกับลูก  นั่นแหล่ะ แม้ครั้งนี้จะพอมีโอกาสดูใจกันมาบ้างแล้ว
แต่ความเสียใจ และความอาลัยรักก็ไม่เสื่อมคลายและหายไป

รถเก๋ง ฮอนด้า วิ่งออกจากกรุงเทพไป นครปฐม ในเวลาเกือบทุ่ม นริศเป็นคนขับ โดยที่นิชา นั่งไปด้วย
พ่อและครอบครัวใหม่ของพ่อ จะตามไปทีหลัง พี่สาวของนิชากับนริศ ไปก่อนหน้าแล้ว

ทั้งสองตกลงกันว่า เส้นทางที่ไปจะบ้านปู่กับย่า ถ้าไปทางวัดไผ่โรงวัว น่าจะใกล้กว่า เพราะทางนั้นลัดไป อำเภอบางหลวงได้
และมันใกล้กับบ้านย่า แต่มันจะมืดและเปลี่ยวมากกว่าทางหลักเส้นองค์พระปฐมเจดีย์ แต่ด้วยที่ทั้งคู่ชินกับเส้นทางนี้
จึงไม่มีความกลัวใดๆ และทั้งสองได้มีเวลาคุยกันได้มากกว่าครั้งก่อนๆ

" ทำไมแนน ไม่มาล่ะ แนนรู้ป่าว "  

นิชาถามนริศตามความสงสัย ที่ปรกติ นิชาจะเห็นแนน แฟนของนริศ จะไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอมา

" แนนไม่สบายอ่ะ เลยไม่อยากมา "

คนตอบ ตอบด้วยเสียงเบา เหมือนจะทำให้หัวข้อสนทนาไม่น่าสนใจต่อไป

แต่คนถาม กลับยิ่งสงสัยและเป็นห่วงคนที่ถามถึงขึ้นมาทันที


"  แล้วเป็นไรมากป่าว ไปหาหมอมายัง ใครดูแลอยู่ล่ะ "  ความเงียบเกิดขึ้นมาอย่างกระทันหัน ผู้ตอบเฉยขึ้นมาซะงั้น


  " อ้าว ตกลงเป็นอะไร ทำไมไม่บอกล่ะ มิน่าพักนี้ไม่เห็นโทรมาหา เค้าเลย โทรไปก็บอกไม่ว่าง หรือก็ฝากข้อความ
แนนเป็นอะไรมากมั๊ย บอกกันได้นะ มีอะไรจะได้รักษาทัน "


คนถามยังรุกถามต่อด้วยความอยากรู้ทวีคูณ โดยหันมองหน้าคนขับอย่างไม่วางตา

ปรกติ นิชาจะเป็นคนไม่ถามเรื่องอะไรๆ ที่น้องชายไม่อยากบอก แต่ครั้งนี้เหมือนมีลางสังหรณ์บางอย่างที่นิชาอยากรู้ขึ้นมา

ความเงียบที่อึดอัดกดดันฝ่ายถูกถาม จนต้องถอนหายใจออกมาเหมือนอยากระบายความรู้สึก " ...เฮ้อ.."

"  ตกลงแนนเป็นอะไร..เงียบทำไม มีอะไรก็บอกกันสิ เราเป็นพี่น้องกันนะ ตัวเองไม่เคยปิดเรื่องไรนี่นา "


" แนนท้องน่ะสิ และคิดว่ากำลังจะไปเอาเด็กออก "

  เมื่อหลุดสิ่งที่อยากพูด ดูเหมือนนริศ จะยกภูเขาออกจากอก ที่ได้พูดมันออกมา

  เหมือนสมองถูกทุบด้วนฆ้อนเบาๆ มันชาและอื้ออึงไปด้วยความตกใจ พร้อมกับความคิดที่ออกมาพร้อมเสียงพูดของนิชา

  "  ทำแท้ง!!! นี่ตกลง เธอสองคนจะเอาเด็กออกจริงๆเหรอ เค้าเป็นลูกของพวกเธอนะ
  เธอฆ่าเค้าได้ลงคอเหรอ ทำไมใจร้ายกันอย่างนี้"


เสียงที่แผดออกมาทำให้ นริศต้องหันกลับมามองหน้าพี่สาว พร้อมกับความคิดว่าผิดหรือถูก ที่เล่าเรื่องนี้ให้พีสาวฟัง
แต่ไม่ทันแล้ว อารมณ์ที่เรียบๆกรุ่นขึ้นมาทันที

" แล้วจะให้ทำยังไง เรียนก็ยังเรียนไม่จบ เหลืออีกแค่ปีเดียวเอง ถ้าไม่เอาออก ก็คงลำบากกันนะ เค้าก็ไม่พร้อม
งานก็ยังไม่ลงตัว ภาระที่เพิ่มขึ้นก็คงไม่ไหวตัวเองเข้าใจบ้างสิ ทำแท้งน่ะเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว "  


นริศตอบด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน นิชารู้สึกถึง ความเร็วของรถเพิ่มขึ้น แต่อารมณ์มันวีนซะแล้ว
การโต้แย้งและคัดค้านในสิ่งที่เธอคิดว่าผิดจึงตามมา


" แล้วทำไมไม่ป้องกัน เกิดเรื่องขึ้นมาใครเดือดร้อน ตัวเองคนเดียวหรือป่าว พ่อแม่พี่น้องล่ะ ใครรู้เข้าจะอายเค้ามั๊ย
เวลามีความสุขกันทำไมไม่คิดถึงผลที่ตามมา ชีวิตคนทั้งคนนะ "



นริศ ยังคงเร่งความเร็วขึ้นอีก เสียงเครื่องยนต์ที่กระหึ่มด้านนอกดูเหมือจะเติมความร้อนให้อารมณ์เพิ่มขึ้น

" ตัวเองอย่า เซ้นสทีฟมากเลย ก็แค่ก้อนเลือด เอง ให้เค้าไปตอนนี้น่ะดีแล้ว ดีกว่าเกิดมาแล้ว
ลำบากกันหมด อย่าเป็นแม่พระ นักเลย "
นริศ พูดอย่างไม่เก็บอารมณ์ต่อไปแล้ว

  "  ก็ ดร๊อปไว้ก่อน ปีเดียวเองไม่ใช่เหรอ ซิ่วแค่ปีเดียว ทำไมมันจะเป็นปัญหามากเหรอ ออกมาเดี๋ยวฉันเลี้ยงให้ก็ได้
อย่าทำแบบนี้เลย มันบาป มันเป็นเวรกรรม เด็กไม่รู้เรื่องและเค้าเป็นลูกของเธอนะ อย่าทำเลยขอร้องล่ะ "


เสียงนิชาสั่นพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อออกมา ทำให้นริศ หันมาตอบด้วยเสียงเรียบๆที่ พอจะสงบลง

  " ถ้างั้น เดี๋ยวเค้าไปบอก แนน ละกัน ว่าตัวเองบอกมาอย่างนี้ ตัวเองไม่ต้องบอกพ่อนะ เดี๋ยวพ่อไม่สบายใจ"


นริศรับปากและไม่ลืมสำทับคำพูดที่ไม่อยากให้พ่อรู้

นิชานั่งเงียบๆอย่างหมดแรง


สองทุ่มเศษๆ บนเส้นทางที่ทั้งมืดทั้งเปลี่ยว หลังจากการปะทะอารมณ์กันมาไม่นาน รถเก๋งฮอนด้าวิ่งผ่านวัดไผ่โรงวัวมา
และเลี้ยวซ้ายเข้าเขต อำเภอบางหลวง จากเส้นสี่เลน กลายเป็นเส้นทางเดียวราดยางมะตอยที่ขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ
ซึ่งทำให้ทำความเร็วที่นริศทำมาต้องลดลง

บนถนนแคบๆที่มีแต่ฝุ่นคละคลุ้ง ก็ยังพอมองเห็นด้วยแสงไฟหน้ารถ ที่สว่างไสว และไฟตัดหมอก
ที่ใช้หลอดฮาโลเจ้น ที่มีแสงขาวนวล ทำให้ท้องถนนที่มืดมืด สวางโร่พอที่จะมองเห็นพี้นถนนได้บ้างบนเส้นทางนี้

และในขณะที่รถเข้าโค้ง นิชาสังเกตุเห็นมีอะไรเลื้อยช้าๆอยู่บนถนน ข้างหน้า ไฟหน้ารถสาดส่องลงไปกระทบกับสิ่งมีชีวิตนั้น
มันเป็นเจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวใหญ่ยาว  ราวๆสามถึงสี่เมตร สีเหลืองสลับดำเป็นเงาเลื่อม  ไฟรถทำให้มีเงาวูบสะท้อนมา

" นริศ ระวัง ที่ถนน ตัวอะไรไม่รู้" นิชาตะโกนบอกพร้อมกับอาการตื่นตกใจ

อีกไม่กี่เมตร รถก็จะทับมันแล้ว   “ หยุดก่อน”  นิชา ตะโกนซ้ำ


และแทนที่นริศ  จะเยียบเบรค หรือชลอความเร็วของรถลง เค้ากลับเร่งคันเร่ง เหยียบผ่านเจ้าสัตว์ตัวนี้ อย่างเร็ว
รถวิ่งทับไปบนเจ้าสัตว์ตัวนั้น อาการสั่นของรถ ที่ทับลงไปบนตัวงู สองจังหวะ ก็คล้ายๆกับเมื่อเราขับรถผ่านเนินตะเข้
ตามหมู่บ้าน ทำให้ทั้งสองรับรู้ได้ทางกายภาพ ว่างูตัวนี้ถูกทับแน่ๆ

" ......งูน่ะสิ น่าจะเป็นงูสามเหลี่ยม โห ตัวใหญ่ด้วย เค้าทับมันแล้วล่ะ เต็มๆเลยนะ "

" ดีนะ ที่ขับรถทับมัน ไม่งั้นมันคงไปกัดคนอื่น "

นริศ พูดเหมือนสิ่งที่ตัวเองทำ เป็นวีรกรรมชั้นยอด ที่ควรต้องบันทึกไว้ ไม่มีความสงสารในน้ำเสียง
ดูเหมือนนริศ จะใช้งูตัวนี้ระบายอารมณ์ที่คุกกรุ่นมาอยู่ก่อนหน้านี้


ฝุ่นที่คละคลุ้งอยู่ข้างหลัง ทำให้นิชา มองผ่านกระจกมองหลังอย่างไม่ชัดเจนนัก และด้วยความมืด
จึงมองไม่เห็นว่าผลลัพท์ จากความอำมหิต ที่นริศทำไว้ปรากฏเป็นอย่างใด


อีกครั้งที่นิชารู้สึกขนลุก ครั้งนี้น้ำตาไม่ได้เอ่อ แต่มันไหลรื้นออกมาอย่างห้ามไม่ได้

ทำไม?  ทำไม ? และทำไม?  เราต้องมาเจอกับเหตุกราณ์แบบนี้ ทำไมนริศ ไม่หยุดรถ

ทำไม งูตัวนั้นถึงมาเลื้อยในค่ำคืนนี้ ทำไมเราต้องมีส่วนรับรู้ในเรื่องที่ตัวเองไม่อยากเจอ

ทุกคำถามมันอยู่แต่ในหัว แต่ไม่ได้มีคำถามออกมาจากปากนิชาแม้แต่คำเดียว......


คราวนี้ น้ำตาที่เอ่อกลับกลายเป็นสายไหลลงมาเพื่อระบายความอัดอั้น



          นิชา อยู่จัดการงานศพของย่า จนเสร็จสิ้น ความคิด ความจำเรื่องงูตัวนั้นยังฝังใจและไม่เคยลืม


  สามเดือนเศษๆ นริศพา แฟนคนใหม่มาหานิชา พร้อมขอความช่วยเหลือเรื่องย้ายหอ การตัดสินใจ
  พากันไปทำแท้งของทั้งคู่ สงผลให้พ่อแม่ ของแนน และนิชา โกธรมาก การตัดการติดต่อดูเหมือนจะเป็นการตอบโต้
  ที่ดีที่สุดตอนนั้น แต่แล้ว เลือดก็ข้นกว่าน้ำ ความสัมพันธ์ ในสายเลือดก็ยั่งยืนยาว มากกว่าความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว
  ในขณะที่ทั้งสองคนไม่พร้อมที่จะร่วมทางเดิน แนนเลิกกับนริศ พร้อมๆกับแพ๊ต สาวน้อยเอวบางที่เข้ามาในชีวิตใหม่ของนริศ



                                                            ....ยังมีต่อ....

                  
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่