จอมเวทอมตะ ตอนที่ 5

กระทู้สนทนา
ตอนที่ 5

    “ได้เวลาทำตามคำสัญญาแล้ว ท่านต้องการสิ่งใดบ้างโปรดบอกมา ข้าจักหาให้ทุกสรรพสิ่ง”

    รอบตัวเซ็ทส์มีแต่ความมืด จากความทรงจำที่ลางเลือนเขาโดนอาวุธสมัยใหม่ป่นเป็นผง ตามปกติเขาต้องอยู่ในความมืดมิด หลับไปจนร่างจะฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ เสียงท่านผู้นั้นดังแว่วมาจากรอบทิศทาง คงกำลังคุยกับใครสักคนอยู่

    “อันดับแรก ข้าต้องการมีเลือดของราชวงศ์ เหมือนเจ้านั่น”

    เสียงผู้ชายตอบกลับมาอย่างไม่รีบร้อน เซ็ทส์เชื่อว่าไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อน

    “หากมันเป็นความปรารถนาของท่าน ข้าก็จะทำทุกทางเพื่อให้ได้มา” ท่านผู้นั้นตอบกลับอย่างเรียบง่าย ไม่มีเค้าของการล้อเล่นหรือเสแสร้งเหมือนทุกครั้ง “ข้าคาดไม่ถึงว่าท่านจะคิดเรื่องนั้นด้วย ฐานะของท่านแทบเรียกได้ว่าเป็นเจ้าชายแห่งมนตราด้วยซ้ำ สิ่งที่ข้าจะสร้างให้ท่านเรื่องฐานะไม่จำเป็นเลยสักนิด”

    “ข้าแค่อยากมีสิ่งเดียวกับหมอนั่นเพื่อให้เหมาะสมกับนาง คนที่ไม่ริษยาใครอย่างเจ้าไม่มีวันเข้าใจหรอก”

    “ถูกของท่าน ข้าไม่เข้าใจเรื่องความริษยากับการแย่งชิงเลยสักนิด ในเมื่อทุกสิ่งสามารถแบ่งปันกันได้ทั้งนั้น...หากให้ข้าเดา ท่านต้องการสิ่งนั้นด้วยใช่หรือไม่ เครื่องดนตรี”

    “นางมักพูดเรื่องนี้อยู่เสมอ อาวุธที่ใช้สร้างสรรค์สิ่งสวยงามอย่างบทเพลงได้ด้วย มันยอดเยี่ยมกว่าดาบวิเศษของข้าเสียอีก”

    “แล้วเรื่องพลังอำนาจทั้งหลาย ท่านอยากได้มันคืนหรือไม่ ข้าทำการคัดลอกทุกสิ่งของท่านเอาไว้แล้วแม้แต่ความทรงจำ จึงสามารถถ่ายอำนาจคืนได้ทั้งหมด หากให้ข้าเสนอความเห็น ท่านจะมีความสุขมากกว่าถ้าเป็นคนธรรมดาในหมู่คนธรรมดา หากไร้พลังที่ควรมีอย่างข้าก็เจ็บปวด หากมีพลังมหาศาลก็วุ่นวายไม่รู้จบ” ท่านผู้นั้นทอดถอนใจด้วยความเจ็บปวด “อย่าลืมว่าท่านคือความริษยาส่วนข้าคือความโลภ หากเรารวมพลังกันย่อมได้มาทุกสรรพสิ่ง”

    “ไม่จำเป็น ข้าเหนื่อยกับการเป็นคนเก่งคนดีเต็มทนแล้ว แม้แต่ท่านพี่พอลไลน์ก็ยังเคยเปรยกับข้าเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ”

    “หากใช้พลังได้เต็มที่จะวิเศษกว่านี้อีก นี่ละตัวตนของข้า สนใจเข้ามาสัมผัสใกล้ๆบ้างหรือไม่”

    อยู่ๆเสียงของท่านผู้นั้นดังแทรกขึ้นเหมือนวิทยุที่สัญญาณไม่ดี ความรู้สึกเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เซ็ทส์กำลังนอนบนเบาะที่ไหนสักแห่ง แรงสั่นสะเทือนที่ทำให้เครื่องในของเขาปวดมวน กลิ่นการเผาไหม้และเสียงหมุนของใบพัดทำให้มั่นใจได้ว่าเขากำลังนอนอยู่บนนกเหล็กลอยฟ้าอีกครั้ง เขากำลังนอนหนุนอะไรสักอย่างที่ทั้งนุ่มและอุ่น

    “ไม่ล่ะเจ้าค่ะฝ่าบาท” คราวนี้เป็นเสียงไอวี่ แล้วผู้ชายเมื่อครู่ล่ะ “เท่าที่ฝ่าบาทมีตอนนี้ยังดูแลได้ไม่ดีเลย ยังคิดหาเพิ่มอีกหรือเจ้าคะ”

    “ก็พวกเรามาอยู่ในยุคที่มังกรแสงปรากฏตัวแล้วนี่ แค่มันแตกเป็นเจ็ดตัวเท่านั้นเอง ไม่ถึงร้อยปีก็เสร็จกิจ” ความรับผิดชอบของท่านผู้นั้นยังตกต่ำเช่นเคย “ถ้าตื่นแล้วก็ลุกขึ้นมาดีกว่าเซ็ทส์ ข้าเคยต่อว่าเจ้าด้วยหรือเวลาที่ถูกเล่นงานจนหมดสภาพน่ะ ข้านี่ละเป็นคนรวบรวมชิ้นส่วนใหญ่ๆของเข้ากลับเข้าที่เข้าทาง จะได้สร้างร่างใหม่เร็วๆหน่อย ไม่อย่างนั้นต้องรอเป็นวันกว่าจะฟื้น”

    ในเมื่อท่านผู้นั้นรู้ว่าเขาได้สติแล้วก็หมดประโยชน์ที่จะนอนต่อไป เซ็ทส์ลืมตาขึ้นจึงพบว่ากำลังนอนหนุนตักไอวี่อยู่ เขาเด้งตัวขึ้นนั่งทั้งที่ความปวดเมื่อยยังติดตรึงเหมือนถูกตอกตะปูนับร้อยตัว ท่านผู้นั้นในชุดสูทหรูหราส่งคำทักทายมาทางสายตา ฝ่าบาทของเขานั่งกับพื้นอย่างเรียบง่ายเกินจำเป็น

    “สิ่งที่ไล่เจ้าผ้าคลุมสกปรกไปคือพลังส่วนหนึ่งของข้า ถือว่าเจ้าทำตามคำสั่งไม่สำเร็จ เรื่องผู้หญิงคนนั้นก็ยกยอดเอาไว้ก่อน” ท่านผู้นั้นเคาะนิ้วกับหัวเข่าอย่างครุ่นคิด “ส่วนลักซูเรีย...ทันทีที่นางหลุดจากการควบคุม ไฟนรกก็พวยพุ่งลงมาจากท้องฟ้าครอบร่างมนุษย์เปล่าเปลือยของนางไว้แล้วพาตัวไปต่างมิติทันที เทพีเฟรเซียเล่นมาจับนางด้วยตัวเองแบบนี้แม้ข้าก็หยุดไม่ได้หรอก”

    กระแสความหงุดหงิดแผ่ออกมาจากท่านผู้นั้นจนสัมผัสได้ เซ็ทส์รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เขารู้ดีที่สุดว่าท่านผู้นั้นทำอะไรได้บ้างหากกำลังกราดเกรี้ยว

    “เมื่อครู่ข้าฝันขอรับ เหมือนกับทุกครั้งที่ข้าบาดเจ็บหนักจนหมดสติ เพียงข้ากลับจำมันไม่ได้ว่าเป็นความทรงจำของข้าหรือไม่” แล้วเซ็ทส์ก็เล่าความฝันเกี่ยวกับเขาตอนเด็กๆให้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

    “เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นความทรงจำของเจ้าจริงๆ ไม่ใช่ละครเวทีหรือเหตุการณ์ของคนอื่นที่เจ้ามีส่วนร่วมด้วย หากเป็นความทรงจำของเจ้าจริงมันก็เก่าเกินไปแล้ว” ท่านผู้นั้นอธิบายอย่างผู้รู้ “ข้าเคยบอกไปแล้วใช่หรือไม่ว่าข้าหลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์แล้ว ความทรงจำทั้งหลายจึงสามารถเก็บรักษาไว้ได้เหมือนผลึกแก้ว ต่างกับเจ้าที่ยังเป็นมนุษย์อยู่ ความทรงจำ ส่วนหนึ่งจะปรากฏในรูปของความฝัน อีกส่วนที่มีความสำคัญต่ำโอกาสลืมก็มากขึ้นตามไปด้วย แล้วนานตั้งสองพันกว่าปี มีความเป็นไปได้มากแค่ไหนที่มันจะยังคงอยู่จนถึงป่านนี้ เจ้ายังจำไม่ได้เลยว่าเด็กในความทรงจำเป็นตัวเจ้าจริงหรือไม่”

    “แล้วภาพผู้หญิงในความทรงจำของข้าล่ะขอรับ เหตุใดมันไม่หายไปเสียที”

    ”ข้าบอกแล้วว่ารู้ไปก็เท่านั้น ข้อมูลนี้ไม่มีความจำเป็นกับเจ้าเลยสักนิด” ท่านผู้นั้นพูดอย่างเคร่งขรึมผิดปกติ “เรื่องในอดีตเมื่อหลายพันปีก่อนปล่อยมันจมไปกับพื้นดินล่ะดี ทิ้งไว้เพียงคำสัญญาที่ต้องทำตามก็พอ ลืมไปว่าเจ้าลืมอดีตไม่ได้ ประเดี๋ยวคำสาปทำงานก็ได้ดิ้นทุรนทุรายอีก”

    “แล้วระหว่างนี้ล่ะฝ่าบาท จะให้ข้าออกเดินทางไปแห่งใด หรือหยุดรอ”

    “พูดแล้วข้าก็นึกขึ้นมาได้ มีตำนานบันทึกถึงมังกรเทพเจ้าของลัทธิหนึ่งทางใต้ ชื่อเจ้าตัวที่เขาบูชากันอยู่คล้ายๆจะอ่านได้ว่าไอราหรืออะไรทำนองนี้ ข้ายังสรุปให้แน่ชัดไม่ได้ว่าใช่ไอราที่เรากำลังค้นหาหรือไม่”  

    ความจริงเซ็ทส์อยากถามถึงเจ้าอวาร์ริเทีย แต่ประสบการณ์หลายพันปีสอนเอาไว้ว่าให้หุบปากต่อหน้าท่านผู้นั้น หากไม่สามารถทนต่อแรงรำคาญในใจได้จึงค่อยออกความเห็น สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้คือศัตรูตัวต่อไป มันอยู่แห่งใดกัน และมันจะกลายพันธุ์เหมือนลักซูเรียหรือไม่...

    ความทรงจำในอดีตแสนนานถูกตลบขึ้นอีกครั้งในความฝันของผู้เป็นอมตะ เขากำลังนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ริมทะเลสาบ กำลังสีไวโอลินเก่าๆอย่างชำนาญ เป็นขอขวัญชิ้นแรกจากท่านพ่อบุญธรรมหรือเปล่านะ แสงอาทิตย์เจิดจ้าสะท้อนลงผิวน้ำเป็นประกายระยิบระยับอยู่เบื้องหน้า ข้างกายเขามีหญิงสาวกำลังนั่งฟังเพลงอย่างเงียบงัน นางนั่งอยู่อีกด้านของลำต้นทำให้เห็นแค่เส้นผมและหัวไหล่เท่านั้น เขายังจำนางได้ติดตาแม้จะผ่านเวลามาหลายพันปี วันนั้นเขาหาเรื่องอะไรออกไปเดินเล่นกับนางนะ โกหกท่านพ่อบุญธรรมว่าออกไปซ้อมไวโอลินกับเพื่อนกระมัง

    แล้วเขาก็ลืมตาตื่นขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ นึกเจ็บใจตัวเองว่าเหตุใดไม่ฝันต่ออีกนิด เขากำลังจะได้เห็นหน้านางผู้เป็นที่รักอีกครั้งแท้ๆ

    ห้องพักในโรงแรมปกคลุมด้วยความมืดมิดของรัตติกาล ตอนนี้เขาอยู่ในเมืองอาร์บินตันห่างไกลจากนครหลวงไปทางใต้จนแทบตกขอบแผนที่สหพันธรัฐ หลังจากพบกับลักซูเรียท่านผู้นั้นก็เร่งให้เขามาที่นี่ทันทีเพื่อไม่ให้พลาดหากเป้าหมายครั้งนี้เป็นสิ่งที่เขาตามหาจริงๆ

    เซ็ทส์อยากนอนต่อทว่าในห้องมีสิ่งผิดปกติ เงาร่างสองเงานั่งอยู่ในมุมมืดของห้องส่วนที่เป็นโต๊ะทานอาหาร ทั้งคู่กำลังคุยกันด้วยเสียงกระซิบ ด้วยความเงียบยามราตรีและสมาธิของเขาทำให้จับใจความได้ในที่สุด

    “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยไปสืบให้ ใครจะรู้ว่าสายเลือดของข้าจะก่อเรื่องแบบนี้ แถมยังตั้งชื่อเหมือนเป้าหมายของเราเสียอีก” เสียงทอดถอนใจเป็นของท่านผู้นั้นแน่นอน ฝ่าบาทของเขาคงกำลังคุยกับสายสืบนั่นละ

    เซ็ทส์อุทานเบาๆด้วยความประหลาดใจ เมื่อตอนเย็นท่านผู้นั้นทำเรื่องไม่งามอย่างที่สุดในฐานะนักรบเทพ ท่านออกไปลักพาตัวผู้หญิงที่ไหนก็มารู้มาขังไว้ในห้องข้างๆ อ้างว่าถูกใจจึงจับตัวมาเล่นสนุกด้วย ในช่วงเวลาสองพันปีมีเรื่องแบบนี้เป็นประจำ พอถึงเช้าหญิงสาวก็ถูกปล่อยตัวไป ท่านผู้นั้นก็ทำตัวปกติเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้น ในเมื่อหญิงสาวก็ไม่ถูกทำร้ายอย่างชัดแจ้งเขาจึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆต่อการกระทำนี้

    ในเมื่อถึงกับฉุดคร่าหญิงสาวมากับมือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่ห้องข้างๆแทนที่จะไปกระทำการตามใจปรารถนาเล่า

    “ไม่เบื่อบ้างหรือ จับผู้หญิงมาขังเอาไว้ในห้องแล้วบังคับให้นางนอนหลับ ส่วนเจ้าก็ตั้งป้อมนั่งมอง แล้วก็ร้องไห้เสียอย่างนั้น” เสียงผู้ชายคุ้นหูเซ็ทส์อย่างบอกไม่ถูก เขาคิดว่าเคยได้ยินเมื่อไม่นานมานี้ แล้วเขาก็นึกถึงชายในผ้าคลุม เพราะความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านั่นกับท่านผู้นั้นเป็นทั้งมิตรและศัตรู


    “ข้าชอบมองสตรีที่มีบุคลิกแข็งแกร่งหลับใหล” ท่านผู้นั้นกล่าว ยังพยายามทำให้เสียงเบาที่สุด “คนแบบนั้นทำให้ข้านึกถึงคนสามคน คนแรกคือแม่ของข้าผู้แลกชีวิตให้ข้าเกิดมา คนที่สองคือผู้เป็นทั้งเพื่อนและพี่สาว แล้วก็ผู้หญิงโง่เง่าอีกคนหนึ่ง นางโง่มากที่มาหลงรักคนอย่างข้า ท่านก็รู้ว่าตอนนั้นข้าทำแทบทุกวิถีทางให้นางกลับไปที่ของนางแล้วลืมข้าเสีย ข้าไม่เคยมีใจให้นางเลย ขนาดสร้างฮาเร็มขึ้นประชดให้นางเสียใจก็ยังไม่ยอมถอย...กระทั่งข้าต้องทำการแลกเปลี่ยนเพื่อให้นางกลับไป ในตอนแรกข้าโล่งใจเหลือเกิน พอนานเข้าก็เกิดลังเล ไม่เกี่ยวกับนางหรอกเกี่ยวกับเด็กคนนั้นต่างหาก ข้ากลัวเด็กคนนั้นจะรู้สึกแบบเดียวกับข้าในตอนนั้น จากนั้นข้าก็เลย...ท่านก็น่าจะรู้”

    “ขนาดเหล้าไม่ได้เข้าปากยังพล่ามได้ขนาดนี้ กลายเป็นตาแก่ขี้บ่นไปจริงๆแล้วอิกริด” เซ็ทส์ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆเหมือนการคุยกันฉันมิตร ไม่เหมือนคนที่เจอหน้าก็แดกดันใส่เลยสักนิด “แล้วข้าก็ไม่ได้ถามเหตุผลที่เจ้ายกมาเพื่อให้การสะสมหญิงสาวดูถูกต้องสักนิดหนึ่ง เจ้าเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังหลายพันหนแล้ว”

    “เป็นการทำโทษที่ไม่ค่อยออกมาคุยกับข้าอย่างไรละ ตั้งแต่ตัวหลักของท่านได้สิ่งที่ต้องการก็ไม่ค่อยได้มาคุยกับข้าเลยนี่ ถึงจะแค่ความทรงจำแต่ข้าก็เห็นความสำคัญของทุกสิ่งหรอกนะ...ป่านนี้คงหลับแล้ว ข้าจะไปนั่งดูให้อิ่มใจ แล้วก็คิด หากพวกนางทั้งสามยังมีชีวิตอยู่คงเป็นอย่างนี้กระมัง” เสียงเก้าอี้เลื่อนเบาๆ ท่านผู้นั้นคงลุกขึ้น

    “แล้วก็เซ็ทส์ หากเจ้าปูดเรื่องที่ข้าพูดเมื่อกี้ให้ใครฟังล่ะก็ ข้าสาบานว่าจะลงโทษเจ้าแบบสร้างสรรค์เอาให้ปิศาจอายเลยทีเดียว ดังนั้นจงปิดปากของเจ้าไว้เหมือนเดิม ข้าไปละ” เสียงบางสิ่งเคลื่อนผ่านของเหลวดังแว่วมาแล้วกลืนเข้ากับความมืด ท่านผู้นั้นคงแทรกตัวผ่านผนังห้องไปห้องข้างๆในพริบตา

    ในระหว่างที่เขากำลังประมวลสิ่งที่ได้ยินอยู่ก็เพิ่งนึกถึงสิ่งหนึ่งที่หายไป แล้วคนที่กำลังคุยกับท่านผู้นั้นหายไปที่ใดกัน ไม่มีเสียงเคลื่อนเก้าอี้ ทั้งประตูหน้าต่างก็ไม่ได้ยินเสียงเปิด มนตร์เคลื่อนย้ายก็สว่างจ้าเหมือนยกดวงอาทิตย์มาไว้ตรงหน้าไม่มีทางปิดบังได้ เหลือแค่ทางเดียวคือไปอีกห้องพร้อมท่านผู้นั้นเท่านั้น

    แต่อย่างท่านผู้นั้นหรือจะยอมให้ใครมาเห็นตอนกำลังอ่อนไหวจนร้องไห้...


    รุ่งเช้าเซ็ทส์ทำตัวเป็นปกติ บางทีเมื่อคืนเขาอาจพบฝันซ้อนฝันก็ได้ ไม่สิ ปล่อยให้เป็นแค่ความฝันเสียดีกว่า เขาคิดแล้วก็ก้าวเดินตามถนนสายนอกเพื่อออกไปจากตัวเมือง แถบนี้เป็นเมืองด้อยพัฒนาแห่งหนึ่งในสหพันธรัฐ ตึกสูงจึงแทบไม่ปรากฏ อย่างดีก็มีแค่บ้านหรูหราของผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย หรือโรงแรมสำหรับผู้มีอันจะกิน

(มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่