นักล่าปีศาจ ๗




หญิงสาวรูปร่างสูงโปร่ง ผมยาวดำขลับพลิ้วสยายดุจเงายามรัตติกาล ดวงตาคมเข้มสะท้อนความเด็ดเดี่ยว เสื้อผ้ารัดกุมกับกระโปรงสีน้ำตาลยาวคลุมตาตุ่มตัดกับท่วงท่าเดินสง่า แต่ขณะนี้กลับเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

เธอเดินวนไปมาภายในห้องรับรอง แสงแดดยามเช้าส่องลอดหน้าต่างไม้เข้ามาอาบไล้บรรยากาศเคร่งเครียด มือข้างหนึ่งกำม้วนกระดาษ ฟาดใส่ฝ่ามือซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงแผ่วดังสะท้อนในห้องเงียบ

ในห้องมีเพียงโต๊ะไม้ยาวกับเก้าอี้สิบตัว ทว่าตอนนี้มีคนเพียงสอง อลันกับเลโอ

เลโอนั่งหลังตรงเคร่งขรึม มือวางบนหน้าขา ส่วนอลันเอนหลังสบาย ๆ เคี้ยวแอปเปิ้ลกร๊อบ ๆ กลอกตาล้อเลียนสายตาหญิงสาว

ปัง! กำปั้นทุบโต๊ะเสียงก้อง

"ข้าให้พวกท่านไปตามหาเด็ก ไม่ใช่ไปเผาป่า!" เสียงดุดันก้องห้อง

เอรายกนิ้วชี้สั่นระริกไปทางอลัน "ข้าเคยห้ามไม่ให้ใช้ไฟบรรลัยกัลป์ แต่ท่านกลับขืนใช้! ท่านรู้หรือไม่ว่าทำอะไรลงไป!"

อลันกัดแอปเปิ้ลดังกร๊อบราวกับไม่ใส่ใจ แววตากวนเต็มที่

ปัง! ฝ่ามือตบโต๊ะซ้ำ

"ภูเขาสองลูก อลัน! ท่านเผาภูเขาสองลูกหายไปต่อหน้าต่อตา สัตว์ป่าล้มตายเกลื่อน พื้นป่ากลายเป็นทะเลเพลิง เหลือเพียงเถ้าถ่าน!" เสียงของเอราดังสะท้อน โทสะร้อนแรงจนทำให้ทั้งห้องสั่นสะเทือน

เธอหันขวับไปยังเลโอ "แล้วท่านห้ามเขาหรือไม่!"

"ข้าห้ามแล้ว แต่เขาไม่ฟัง" เลโอตอบหนักแน่น แววตาเจือรอยยิ้มจาง ๆ ส่วนอลันกลอกตาเบื่อหน่าย

เอรายืดตัวเต็มความสูง แววตาวาวเฉียบ

"ในฐานะหัวหน้าป้อมปราการแห่งนี้ ข้าสั่งห้ามใช้ไฟบรรลัยกัลป์เด็ดขาด ไม่ว่ากรณีใด ๆ!"

"รับทราบขอรับ" อลันยกมือแตะหน้าผาก ก้มศีรษะเล็กน้อย น้ำเสียงกึ่งจริงกึ่งยั่ว

เอราระบายลมหายใจยาว ระงับความโกรธ บังคับน้ำเสียงให้เรียบที่สุดเท่าที่ทำได้

"ข้าส่งลิลิธไปแจ้งข่าวแก่ภาคีนักล่าปีศาจตั้งแต่เมื่อคืน และนี่คือข้อมูลที่พวกท่านต้องการ"

เธอวางม้วนกระดาษลงบนโต๊ะไม้ ก้าวถอยไปดึงเก้าอี้ออก นั่งลงอย่างสงบ แต่ดวงตายังคงแข็งกร้าว

"อัญมณีโลหิต…" เอราเอ่ยช้า ๆ เสียงทุ้มต่ำราวกับเล่าความลับต้องห้าม "ตามตำนานเล่าขานตั้งแต่ยุคแรกกำเนิดโลก มันถือกำเนิดจากหยดเลือดหยดสุดท้ายของเทพนักรบผู้สิ้นชีพในสงครามสวรรค์กับปีศาจ มณีสีแดงฉานเรืองรองราวเปลวไฟ… มันมิใช่เพียงอัญมณี หากแต่เป็นขุมพลังดั่งดวงใจของโลก ผู้ครอบครองสามารถปลดปล่อยพลังได้ดั่งใจนึก"

เอราหยุดพูดชั่วครู่ แววตาคมกริบปรายมองไปที่อลันกับเลโอซึ่งก้มอ่านม้วนกระดาษเงียบงัน

"ประเด็นคือ…" นางกล่าวต่อ "ภาคีนักล่าไม่เคยเชื่อว่ามีสิ่งนี้อยู่จริง พวกเขาคิดว่าเป็นเพียงตำนาน เรื่องเล่าปรัมปรา นิทานหลอกเด็ก" เอราประสานมือสองข้าง วางไว้ตรงหน้าราวกับกดความกังวลเอาไว้

"ข้าเองก็ไม่เชื่อ…จนกระทั่งได้เห็นกับตา" เลโอเอ่ยขึ้น เสียงหนักแน่น

"ถ้าอัญมณีโลหิตมีอยู่จริง จะเกิดอะไรขึ้น?" อลันถาม พลางละสายตาจากม้วนกระดาษ

เอราโน้มตัวมาข้างหน้า แววตาเข้มขึ้น "ปีศาจจากทั่วสารทิศจะแห่มาที่นี่ เพื่อชิงอัญมณีโลหิต" นางยกมือขึ้นเท้าคาง "และปัญหาคือ สภานักล่าไม่เชื่อ จึงไม่มีผู้ใดถูกส่งมาช่วยเรา เรามีเพียงป้อมปราการแห่งนี้และม่านเกราะที่ปกคลุมมัน…ตราบใดที่ม่านยังคงอยู่ เรายังปลอดภัย"

"ถ้าม่านเกราะพัง พวกมันหาเราเจอ เราก็จบเห่กันหมดสินะ" อลันเอ่ยเสียงเย้ยหยัน

ทันใดนั้น เสียงไม้ประตูดังเอี๊ยด เงาชายชราปรากฏขึ้นที่ทางเข้า ลีออน หนึ่งผู้ประจำการป้อมปราการ ผู้มีผมขาวโพลนและรอยย่นเต็มใบหน้า เขาก้าวเข้ามาช้า ๆ แล้วเอ่ยเสียงเยือกเย็น

"หรือไม่…เด็กคนนั้นอาจตายเสียก่อนที่พวกมันจะหาเราเจอ"

เลโอหันขวับ ดวงตาเบิกกว้าง "หมายความว่ายังไง ลีออน"

"ไม่มีผู้ใดครอบครองอัญมณีโลหิตได้" ชายชรากล่าวช้า ๆ ทุกถ้อยคำดังก้องในห้องเงียบ "มันจะกลืนกินผู้ที่ถือครองมัน"

"ถ้าฝึกให้เขาใช้พลังและควบคุมมันล่ะ" อลันถามทันควัน

ลีออนจ้องเขม็ง ดวงตาลึกล้ำ "เขายังเด็กเกินไปที่จะรับพลังนั้น…หรือหากวันหนึ่งเขาปลดปล่อยมันออกมาได้ เราอาจได้เห็นบางสิ่งที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก"

คำพูดนั้นร่วงหล่นลงในความเงียบงัน ราวกับเวลาได้หยุดหมุน…


..........


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่