มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยสถานการณ์ผู้บริโภคปี 2568 นับจาก 1 มกราคม จนถึง 30 พฤศจิกายน
- สถานการณ์ผู้บริโภคปี 2568 : ร้องเรียนพุ่ง 711 เคส
- มูลค่าความเสียหายกว่า 112 ล้านบาท
- “ซื้อออนไลน์” ยังเสี่ยง รัฐแก้ปัญหาช้า ซ้ำซากทุกปี
📊 อันดับเรื่องร้องเรียนสูงสุด ปี 2568
🥇 1 : สินค้าและบริการทั่วไป
- 261 รายการ (ร้อยละ 36.7)
- ตัวการหลัก :
อีคอมเมิร์ซ – ซื้อขายออนไลน์
ปัญหาส่วนใหญ่มาจากช่องโหว่ของระบบซื้อขายออนไลน์ เช่น
- ไม่มีระบบ
Escrow Payment (เงินถูกโอนให้ผู้ขายทันที ทั้งที่ยังไม่ส่งของ)
- ขอเงินคืนยาก เมื่อเกิดปัญหา
- ไม่มีระบบยืนยันตัวตนผู้ขาย
e-KYM (Know Your Merchant)
ทำให้มิจฉาชีพ
- เปิดร้านปลอม
- รีวิวเกินจริง
- โฆษณาเจาะกลุ่ม
- หลอกให้โอนเงินก่อน แล้วร้านหาย
🥈 อันดับ 2 : การเงิน การธนาคาร และประกัน
- 159 รายการ (ร้อยละ 22.3) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
- ธุรกรรมไม่พึงประสงค์
- การหักเงินอัตโนมัติโดยไม่ได้ยินยอม
🥉 อันดับ 3 : อาหาร ยา เครื่องสำอาง
- 79 รายการ
- คุณภาพสินค้า
- ความไม่ปลอดภัย
- การโฆษณาเกินจริง
อันดับ 4–9 (เรียงตามจำนวนเคส)
- อสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย : 69
- บริการขนส่งและยานพาหนะ : 53
- สื่อและโทรคมนาคม : 49
- อื่น ๆ : 25
- บริการสุขภาพ : 10
- พลังงานและสิ่งแวดล้อม : 6
ช่วยเหลือสำเร็จ 86% แต่ผู้เสียหายยังต้องสู้ต่อ
- จาก 711 เคส
- เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือจนยุติเรื่องได้
609 รายการ (86%)
- รวมมูลค่าความเสียหายที่ช่วยได้กว่า 💰
96.46 ล้านบาท
🚚 อีกปัญหาใหญ่ : ขนส่งขึ้นสถานะ “ส่งแล้ว” แต่ของไม่ถึง
มีเคสร้องเรียนจำนวนมากเกี่ยวกับ
- สินค้าไม่ถึงมือผู้รับ
- ระบบขึ้นว่าส่งแล้ว
ความเสียหายบางเคสหลัก
หลายหมื่นบาท แต่บริษัทขนส่งรับผิดชอบเพียง
- 500 บาท (ส่งปกติ)
- 2,000 บาท (EMS)
บทสรุป
- ตัวเลขร้องเรียนปี 2568 สะท้อนชัดว่า “ผู้บริโภคไทยยังเสี่ยงในทุกการกดสั่งซื้อ”
- ปัญหาไม่ได้ขาดข้อมูล แต่ขาด
การทำงานเชิงรุกของภาครัฐ และกฎหมายยังไม่เท่าทันพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล
ที่มา
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ปี 2568 : ร้องเรียนพุ่ง 711 เคส เสียหายกว่า 112 ล้าน ออนไลน์ยังเสี่ยง รัฐแก้ช้า
- สถานการณ์ผู้บริโภคปี 2568 : ร้องเรียนพุ่ง 711 เคส
- มูลค่าความเสียหายกว่า 112 ล้านบาท
- “ซื้อออนไลน์” ยังเสี่ยง รัฐแก้ปัญหาช้า ซ้ำซากทุกปี
📊 อันดับเรื่องร้องเรียนสูงสุด ปี 2568
🥇 1 : สินค้าและบริการทั่วไป
- 261 รายการ (ร้อยละ 36.7)
- ตัวการหลัก : อีคอมเมิร์ซ – ซื้อขายออนไลน์
ปัญหาส่วนใหญ่มาจากช่องโหว่ของระบบซื้อขายออนไลน์ เช่น
- ไม่มีระบบ Escrow Payment (เงินถูกโอนให้ผู้ขายทันที ทั้งที่ยังไม่ส่งของ)
- ขอเงินคืนยาก เมื่อเกิดปัญหา
- ไม่มีระบบยืนยันตัวตนผู้ขาย e-KYM (Know Your Merchant)
ทำให้มิจฉาชีพ
- เปิดร้านปลอม
- รีวิวเกินจริง
- โฆษณาเจาะกลุ่ม
- หลอกให้โอนเงินก่อน แล้วร้านหาย
🥈 อันดับ 2 : การเงิน การธนาคาร และประกัน
- 159 รายการ (ร้อยละ 22.3) เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
- ธุรกรรมไม่พึงประสงค์
- การหักเงินอัตโนมัติโดยไม่ได้ยินยอม
🥉 อันดับ 3 : อาหาร ยา เครื่องสำอาง
- 79 รายการ
- คุณภาพสินค้า
- ความไม่ปลอดภัย
- การโฆษณาเกินจริง
อันดับ 4–9 (เรียงตามจำนวนเคส)
- อสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย : 69
- บริการขนส่งและยานพาหนะ : 53
- สื่อและโทรคมนาคม : 49
- อื่น ๆ : 25
- บริการสุขภาพ : 10
- พลังงานและสิ่งแวดล้อม : 6
ช่วยเหลือสำเร็จ 86% แต่ผู้เสียหายยังต้องสู้ต่อ
- จาก 711 เคส
- เจ้าหน้าที่สามารถช่วยเหลือจนยุติเรื่องได้ 609 รายการ (86%)
- รวมมูลค่าความเสียหายที่ช่วยได้กว่า 💰 96.46 ล้านบาท
🚚 อีกปัญหาใหญ่ : ขนส่งขึ้นสถานะ “ส่งแล้ว” แต่ของไม่ถึง
มีเคสร้องเรียนจำนวนมากเกี่ยวกับ
- สินค้าไม่ถึงมือผู้รับ
- ระบบขึ้นว่าส่งแล้ว
ความเสียหายบางเคสหลัก หลายหมื่นบาท แต่บริษัทขนส่งรับผิดชอบเพียง
- 500 บาท (ส่งปกติ)
- 2,000 บาท (EMS)
บทสรุป
- ตัวเลขร้องเรียนปี 2568 สะท้อนชัดว่า “ผู้บริโภคไทยยังเสี่ยงในทุกการกดสั่งซื้อ”
- ปัญหาไม่ได้ขาดข้อมูล แต่ขาด การทำงานเชิงรุกของภาครัฐ และกฎหมายยังไม่เท่าทันพฤติกรรมผู้บริโภคยุคดิจิทัล
ที่มา มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค