หมดยุคกินกาแฟ ‘เพื่อตื่น’ ต้องรู้กลิ่น-รส-ปลูกดอยไหน
.
คนไทยกินเฉลี่ยวันละ 1.2 แก้ว ดัน ‘Café Amazon’ ขายได้ 400 ล้านแก้ว
คนกินเยอะขึ้นแต่ผลผลิตน้อยลง “Café Amazon” เผยอินไซต์ คนไทยกินกาแฟอายุน้อยลงเรื่อยๆ แต่ก่อนกินเพื่อตื่น-ไปสอบ เปลี่ยนเป็น “Emotional Coffee” ต้องรู้ Taste Note-ได้กลิ่นอะไร-ปลูกที่ไหน ชี้ แก้วกาแฟกลายเป็นไลฟ์สไตล์ บอกตัวตน-รสนิยม ภาพรวมคนไทยกินกาแฟเยอะขึ้น เฉลี่ย 1.2 แก้วต่อวัน
.
มูลค่าตลาดกาแฟระดับโลกสูงกว่าหลักแสนล้านบาท ส่วนในไทยพบว่า แตะระดับ “65,000 ล้านบาท” มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่า คอกาแฟมีจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างในไทยเองก็พบว่า นอกจากความต้องการเมล็ดกาแฟจะสูงขึ้นทุกวัน อายุเฉลี่ยของคนกินก็เด็กลงเรื่อยๆ ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ได้กินกาแฟด้วยเหตุผลเดียวกับเจเนอเรชันก่อน ที่หวังกินกาแฟ “เพื่อตื่น” หรือกินกาแฟช่วงใกล้สอบที่ต้องใช้เวลาในการอ่านหนังสือ ทว่า เด็กเจนใหม่กินกาแฟเพราะเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์ไตล์ บ่งบอกถึงอัตลักษณ์-ตัวตนด้วย
.
“พงษ์ศักดิ์ ภัทรเมธีวิญญู” ผู้จัดการฝ่ายบริหารห่วงโซ่อุปทานเมล็ดกาแฟดิบ OR ฉายภาพตลาดกาแฟให้ฟังว่า ปัจจุบันคนไทยกินกาแฟเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 1.2 แก้ว จากเดิม 3-4 ปีที่แล้วยังกินไม่ถึงวันละ 1 แก้วด้วยซ้ำไป ไทยเจอกับกระแส “Coffee Boom” ในช่วงหลัง โดยก่อนหน้านี้คนรุ่นก่อนๆ ทั้ง Baby Boomers และ Gen X คุ้นชินกับการกิน “Instant Coffee” หรือกาแฟสำเร็จรูป ยุคถัดมา คือ “Functional Coffee” กินแล้วต้องตื่น แต่ตอนนี้กลายเป็น “Emotional Coffee” กาแฟต้องมีเรื่องราว มี Success Story ในตัวเอง
.
สิ่งที่คอกาแฟยุคนี้พิจารณาสำหรับกาแฟ 1 แก้ว มีตั้งแต่ Taste Note กลิ่นแบบไหน รสชาติเป็นอย่างไร ปลูกดอยไหน มีแหล่งที่มาของเมล็ดอย่างไร สิ่งสำคัญที่ทำให้คนกินกาแฟอายุเริ่มต้นน้อยลงเรื่อยๆ เนื่องจาก จำนวนร้านกาแฟที่เยอะขึ้น เข้าถึงง่าย จะกินกาแฟครั้งหนึ่งไม่ได้คิดถึงฟังก์ชันมากเท่ากับเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ แก้วกาแฟที่ถือ ยี่ห้อกาแฟที่ใช้ ทุกอย่างบ่งบอกอัตลักษณ์ตัวตนของคนกิน คล้ายกับเป็นแบรนด์สินค้าที่สื่อถึงรสนิยมของแต่ละคน
.
ผู้บริหาร บอกว่า สำหรับ “Café Amazon” นับเฉพาะกาแฟขายไปได้ราว 400 ล้านแก้วต่อปี แม้คนกินกาแฟเยอะขึ้น แต่ดีมานด์กับซัพพลายไม่สอดคล้องต้องกัน เนื่องจากกาแฟเป็นพืชที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติเยอะมาก ถ้าความสูงเหนือระดับน้ำทะเลไม่ถึงก็ปลูกกาแฟไม่ได้ ให้ดีที่สุดกับผลผลิตต้องมากกว่า 1,000 พันเมตรจากระดับน้ำทะเล
.
สิ่งที่ตามมาจากความสูง คืออุณหภูมิ อากาศเย็น กาแฟเป็นพืชกลุ่มเชอร์รี่ พืชกลุ่มนี้จะค่อยๆ สะสมอาหารในดินแล้วจึงเจริญเติบโต ถ้าอุณหภูมิสูงเกินไปก็จะทำให้เมล็ดกาแฟสุกเร็ว ได้เมล็ดที่มีขนาดเล็ก กระบวนการสะสมแร่ธาตุสารอาหารน้อย ผลลัพธ์คือรสชาติไม่ดี เมื่อรสชาติไม่ดีราคาที่ขายได้ก็ต่ำ เป็นลูปในอีโคซิสเทมที่ส่งผลกระทบไปถึงต้นทางอย่างเกษตรกรผู้ปลูกด้วย
.
“ภาวะโลกร้อนมีความท้าทายเยอะมาก เป็นปัญหาสำคัญของผู้ประกอบการกาแฟทั่วโลก ตลาดกาแฟโลกโต 7-8% ทุกปี แต่ปริมาณผลผลิตน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรให้ดีมานด์กับซัพพลายวิ่งมาเจอกัน เราอาจได้กินกาแฟธรรมดาๆ แก้วละ 180-200 บาท ซึ่งผู้บริโภคก็รับไม่ไหว ทุกวันนี้แต่ละแบรนด์จะปรับราคาขึ้นสัก 5 บาท ก็พิจารณากันอย่างหนักแล้ว ขยับขึ้นนิดเดียวผู้บริโภคอาจจะเปลี่ยนใจแล้ว เพอฟอร์แมนซ์ฝั่งบริษัทก็ไปไม่ได้ ถ้ามีดีมานด์ซัพพลายที่เหมาะสม ราคาก็จะไม่ผันผวนมากจนเกินไป ผู้ประกอบการเองก็อยู่ได้”
.
สาเหตุหลักที่ทำให้ผลผลิตเมล็ดกาแฟโตต่ำเป็นเพราะสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงจากภาวะโลกร้อน ปัญหานี้เกิดขึ้นทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยที่สะท้อนออกมาจากพื้นที่เพาะปลูก “พงษ์ศักดิ์” บอกว่า แต่ก่อนภาคใต้มีพื้นที่ปลูกกาแฟโรบัสต้าเยอะมาก แต่พอมีพืชเศรษฐกิจเข้ามา อาทิ ทุเรียน ยางพารา กาแฟก็ทยอยหายไป เพราะฝั่งเกษตรกรเองก็ต้องมองว่า ปลูกอะไรแล้วได้ผลผลิตออกมาดีที่สุด แม้กาแฟจะขายได้ในตลากระดับ Global เทียบกับทุเรียนที่เน้นบุกตลาดจีน แต่คุณภาพเมล็ดกาแฟยังเป็นโจทย์สำคัญ
.
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ
หมดยุคกินกาแฟ ‘เพื่อตื่น’ ต้องรู้กลิ่น-รส-ปลูกดอยไหน ดัน ‘Café Amazon’ ขายได้ 400 ล้านแก้ว