จากกระทู้ก่อนหน้า (
ธุรกิจรับทำความสะอาดบ้านคนตาย) ทำให้ผมอยากรู้ว่าค่าตอบแทนของคนทำอาชีพ
Tokushu Seiso เป็นอย่างไร ผมจึงได้ค้นข้อมูลต่อ ทำให้ได้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายอย่าง เพราะคนที่ทำงานในอาชีพนี้ พวกเขาต้องแบกรับทั้งภาระทางกายและทางใจที่หนักอึ้ง ต่อไปนี้คือข้อมูลเรื่องค่าตอบแทนและมุมมองทางจิตใจจากประสบการณ์จริงของเหล่าพนักงานครับ
1. ค่าตอบแทน (Salary & Compensation)
เนื่องจากเป็นงานที่ต้องเสี่ยงอันตรายจากเชื้อโรค (Biohazard) และต้องมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ รายได้จึงสูงกว่างานทำความสะอาดทั่วไปพอสมควร ค่าตอบแทนมีดังนี้ครับ
- เงินเดือนเริ่มต้น สำหรับพนักงานประจำรายใหม่ จะอยู่ที่ประมาณ
250,000 - 300,000 เยน (ประมาณ 60,000 - 72,000 บาท)
- พนักงานระดับหัวหน้า/ผู้เชี่ยวชาญ อาจมีรายได้สูงถึง
400,000 - 600,000 เยน (ประมาณ 96,000 - 144,000 บาท) ขึ้นอยู่กับจำนวนเคสและความยาก
- รายได้แบบ Part-time คิดเป็นรายชั่วโมงมักจะสูงกว่างานทั่วไปประมาณ 1.5 - 2 เท่า หรือบางที่จ่ายเป็นรายวัน (ประมาณ 15,000 - 20,000 เยนต่อวัน)
2. ความรู้สึกและมุมมองทางจิตใจ (The Psychological Aspect)
จากการสัมภาษณ์พนักงานทำความสะอาดพิเศษในญี่ปุ่น (เช่น คุณฮิโรสึงุ มาสึดะ ที่โด่งดังจากการเขียนหนังสือเกี่ยวกับอาชีพนี้) มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้ครับ
- "กลิ่น" ที่ติดไปตลอดกาล
พนักงานหลายคนบอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่ "ภาพที่เห็น" แต่คือ "กลิ่น" เพราะกลิ่นของความตาย (Putrefaction) จะติดอยู่ในจมูกและเสื้อผ้า บางคนถึงขั้นได้กลิ่นนั้นในฝันหรือตอนทานอาหาร
- ความเศร้าจาก "หลักฐานของชีวิต"
สิ่งที่ทำให้พนักงานสะเทือนใจที่สุดไม่ใช่สภาพศพ แต่คือการเห็น
"ความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่" เช่น
พบกองจดหมายสมัครงานที่ถูกปฏิเสธ
พบปฏิทินที่ขีดฆ่าวันที่เพื่อรอคอยอะไรบางอย่าง
พบขวดเหล้าหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจำนวนมากที่สะท้อนถึงชีวิตที่โดดเดี่ยว
- ความรู้สึกของการเป็น "ผู้ส่งสาร"
พนักงานส่วนใหญ่ภูมิใจในงานนี้ พวกเขามองว่าตนเองคือ "คนสุดท้าย" ที่ได้ดูแลผู้ตาย พวกเขามักจะพูดกับที่ว่างในห้องว่า
"ขอโทษที่มารบกวนนะครับ" หรือ
"จะช่วยทำให้สะอาดเรียบร้อยนะครับ" เพื่อเป็นการให้เกียรติครั้งสุดท้าย
3. ผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัว
- การถูกตีตรา
ในอดีต พนักงานบางคนไม่กล้าบอกคนอื่นว่าทำอาชีพนี้เพราะกลัวถูกมองว่า "อัปมงคล" หรือ "สกปรก" แต่ปัจจุบันทัศนคตินี้ดีขึ้นมาก สังคมมองว่าเป็นงานบริการสาธารณะที่ขาดไม่ได้
- ความเห็นอกเห็นใจที่เพิ่มขึ้น
หลายคนบอกว่างานนี้เปลี่ยนชีวิตพวกเขา ทำให้พวกเขากลับไปกระชับความสัมพันธ์กับพ่อแม่และครอบครัวมากขึ้น เพราะไม่อยากให้ใครในครอบครัวต้องพบจุดจบแบบที่เขาเห็นทุกวัน
4. กฎเหล็กของอาชีพ
เพื่อให้ทำงานได้อย่างมืออาชีพ พนักงานต้องยึดถือหลักการสำคัญ ได้แก่
- ความเงียบ
ต้องไม่ส่งเสียงดังหรือพูดคุยเรื่องตลกในสถานที่เกิดเหตุ
- ความซื่อสัตย์
ห้ามแอบเก็บเศษเงินหรือของมีค่าที่พบเด็ดขาด ทุกอย่างต้องบันทึกและส่งคืนญาติ
- ความประณีต
ต้องมั่นใจว่ากลิ่นหายขาด 100% เพราะหากลูกค้า (เจ้าของตึก) ไม่พอใจ อาจหมายถึงความเสียหายทางธุรกิจมหาศาล
สรุปได้ว่าอาชีพนี้ในญี่ปุ่นเปรียบเสมือน "กระจกเงา" ของสังคมครับ มันย้ำเตือนให้คนที่ยังอยู่เห็นคุณค่าของการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และเห็นความสำคัญของการวางแผนบั้นปลายชีวิต และข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยในแง่อาชีพใหม่ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด (Super-aged Society) ในอีกไม่กี่ปีข้างครับ
แหล่งข้อมูลครับ
The Guardian: "Life at the heart of Japan’s lonely deaths epidemic"
The Guardian: "Dioramas of death: cleaner recreates rooms where people died alone"
ResearchGate / Cambridge Core: "From dreadful shame to manageable incident"
ค่าตอบแทนและความรู้สึกของอาชีพคนทำความสะอาดบ้านคนตายในญี่ปุ่น
1. ค่าตอบแทน (Salary & Compensation)
เนื่องจากเป็นงานที่ต้องเสี่ยงอันตรายจากเชื้อโรค (Biohazard) และต้องมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ รายได้จึงสูงกว่างานทำความสะอาดทั่วไปพอสมควร ค่าตอบแทนมีดังนี้ครับ
- เงินเดือนเริ่มต้น สำหรับพนักงานประจำรายใหม่ จะอยู่ที่ประมาณ 250,000 - 300,000 เยน (ประมาณ 60,000 - 72,000 บาท)
- พนักงานระดับหัวหน้า/ผู้เชี่ยวชาญ อาจมีรายได้สูงถึง 400,000 - 600,000 เยน (ประมาณ 96,000 - 144,000 บาท) ขึ้นอยู่กับจำนวนเคสและความยาก
- รายได้แบบ Part-time คิดเป็นรายชั่วโมงมักจะสูงกว่างานทั่วไปประมาณ 1.5 - 2 เท่า หรือบางที่จ่ายเป็นรายวัน (ประมาณ 15,000 - 20,000 เยนต่อวัน)
2. ความรู้สึกและมุมมองทางจิตใจ (The Psychological Aspect)
จากการสัมภาษณ์พนักงานทำความสะอาดพิเศษในญี่ปุ่น (เช่น คุณฮิโรสึงุ มาสึดะ ที่โด่งดังจากการเขียนหนังสือเกี่ยวกับอาชีพนี้) มีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้ครับ
- "กลิ่น" ที่ติดไปตลอดกาล
พนักงานหลายคนบอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่ "ภาพที่เห็น" แต่คือ "กลิ่น" เพราะกลิ่นของความตาย (Putrefaction) จะติดอยู่ในจมูกและเสื้อผ้า บางคนถึงขั้นได้กลิ่นนั้นในฝันหรือตอนทานอาหาร
- ความเศร้าจาก "หลักฐานของชีวิต"
สิ่งที่ทำให้พนักงานสะเทือนใจที่สุดไม่ใช่สภาพศพ แต่คือการเห็น "ความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่" เช่น
พบกองจดหมายสมัครงานที่ถูกปฏิเสธ
พบปฏิทินที่ขีดฆ่าวันที่เพื่อรอคอยอะไรบางอย่าง
พบขวดเหล้าหรือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจำนวนมากที่สะท้อนถึงชีวิตที่โดดเดี่ยว
- ความรู้สึกของการเป็น "ผู้ส่งสาร"
พนักงานส่วนใหญ่ภูมิใจในงานนี้ พวกเขามองว่าตนเองคือ "คนสุดท้าย" ที่ได้ดูแลผู้ตาย พวกเขามักจะพูดกับที่ว่างในห้องว่า "ขอโทษที่มารบกวนนะครับ" หรือ "จะช่วยทำให้สะอาดเรียบร้อยนะครับ" เพื่อเป็นการให้เกียรติครั้งสุดท้าย
3. ผลกระทบต่อชีวิตส่วนตัว
- การถูกตีตรา
ในอดีต พนักงานบางคนไม่กล้าบอกคนอื่นว่าทำอาชีพนี้เพราะกลัวถูกมองว่า "อัปมงคล" หรือ "สกปรก" แต่ปัจจุบันทัศนคตินี้ดีขึ้นมาก สังคมมองว่าเป็นงานบริการสาธารณะที่ขาดไม่ได้
- ความเห็นอกเห็นใจที่เพิ่มขึ้น
หลายคนบอกว่างานนี้เปลี่ยนชีวิตพวกเขา ทำให้พวกเขากลับไปกระชับความสัมพันธ์กับพ่อแม่และครอบครัวมากขึ้น เพราะไม่อยากให้ใครในครอบครัวต้องพบจุดจบแบบที่เขาเห็นทุกวัน
4. กฎเหล็กของอาชีพ
เพื่อให้ทำงานได้อย่างมืออาชีพ พนักงานต้องยึดถือหลักการสำคัญ ได้แก่
- ความเงียบ
ต้องไม่ส่งเสียงดังหรือพูดคุยเรื่องตลกในสถานที่เกิดเหตุ
- ความซื่อสัตย์
ห้ามแอบเก็บเศษเงินหรือของมีค่าที่พบเด็ดขาด ทุกอย่างต้องบันทึกและส่งคืนญาติ
- ความประณีต
ต้องมั่นใจว่ากลิ่นหายขาด 100% เพราะหากลูกค้า (เจ้าของตึก) ไม่พอใจ อาจหมายถึงความเสียหายทางธุรกิจมหาศาล
สรุปได้ว่าอาชีพนี้ในญี่ปุ่นเปรียบเสมือน "กระจกเงา" ของสังคมครับ มันย้ำเตือนให้คนที่ยังอยู่เห็นคุณค่าของการมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และเห็นความสำคัญของการวางแผนบั้นปลายชีวิต และข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยในแง่อาชีพใหม่ที่อาจเกิดขึ้นเมื่อก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยขั้นสุดยอด (Super-aged Society) ในอีกไม่กี่ปีข้างครับ
แหล่งข้อมูลครับ
The Guardian: "Life at the heart of Japan’s lonely deaths epidemic"
The Guardian: "Dioramas of death: cleaner recreates rooms where people died alone"
ResearchGate / Cambridge Core: "From dreadful shame to manageable incident"