กองทุนประกันวินาศภัยเผยหนี้โควิดพุ่ง 7 หมื่นล้าน จ่ายครบรอ 50 ปี
.
นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) เปิดเผยความคืบหน้าการจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ประกันภัยโควิดว่ากปว.พยายามจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้อย่างต่อเนื่องโดยปี 68ได้อนุมัติจ่ายเงินไป29,882 คำขอ คิดเป็นวงเงิน 1,333ล้านบาท และขณะนี้มีภาระหนี้ที่ต้องชำระอีก790,000 ราย มูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท ซึ่งประเมินว่าหากยังมีสภาพคล่องและรายรับแบบนี้กปว.จะต้องใช้เวลา 45-50 ปี ถึงจะจ่ายเงินให้เจ้าหนี้ประกันโควิดครบหมดทุกราย
.
ทั้งนี้หลังจากเกิดเหตุโควิดเจอจ่ายจบกปว.มีหนี้ที่ต้องจ่าย9 แสนกว่าราย8 หมื่นล้านบาท แต่ที่ผ่านมาจ่ายไปแล้ว1.4 แสนราย 9 พันกว่าล้านบาท ขณะนี้เหลือค้างจ่าย7.9 แสนราย 7 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้ กปว.ได้ตรวจสอบคำขอไปแล้ว 2 แสนราย คิดเป็น 1.4 หมื่นล้านบาท เหลือยังค้างตรวจอีก 6 แสนราย 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปี 69 กองทุนมีแผนจ่ายเงินให้เจ้าหนี้ 1,350 ล้านบาท จำนวน 3.5 หมื่นราย จากรายรับจากเงินสมทบบริษัทประกันภัยทั้งหมดที่เข้ามา 1,400-1,500 ล้านบาท”
.
“ปัญหาหลักของกปว. คือกฎหมายกำหนดหน้าที่ให้จ่าย แต่ไม่มีอำนาจในการหาแหล่งเงินทุนโดยตรง ทำให้อยู่ในภาวะอับจนหนทาง ซึ่งตลอด 3-4 ปี กปว.พยายามทำหน้าที่มาตลอด โดยพยายามหาแหล่งเงินทุนตามช่องทางที่มีไปหมดแล้ว
.
รวมถึงขอให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) แก้กฎหมายช่วยเพิ่มเงินสมทบจากบริษัทประกันภัยให้มากขึ้นกว่า 0.5% รวมถึงการขอยืมเงินจาก คปภ. แต่ถึงวันนี้ คปภ.ยังไม่มีแนวทางการช่วยเหลือ และแก้ไขกฎหมายที่จำเป็นช่วยกองทุนฯ แต่อย่างใด”
.
นายชนะพล กล่าวว่า กปว.เผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อชำระหนี้ โดยเฉพาะการทำแผนการกู้เงิน ซึ่งที่ผ่านมาแม้ครม.จะอนุมัติแผนกู้เงินให้ กปว.อยู่ในแผนหนี้สาธารณะปี 67 โดยมีรัฐบาลค้ำประกันแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไม่มีสถาบันการเงินใดให้กู้ ความล้มเหลวในการหาเงินกู้ครั้งนั้น สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับ กปว. ว่า หากมีการขออนุมัติแผนกู้เงินใหม่ ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง
.
“สาเหตุหลักที่ทำให้ไม่มีใครกล้าปล่อยกู้ มาจากข้อจำกัดที่ไม่เข้าเกณฑ์การให้สินเชื่อตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นการขาดหลักประกัน อีกทั้งยังไม่มีความไม่ชัดเจนในการบริหารหนี้ และแหล่งเงินที่จะนำมาชำระหนี้คืน ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสูง โดยรายได้ของ กปว. มาจากเงินสมทบเพียงปีละ 1,300 -1,400 ล้านบาท ซึ่งเมื่อนำมาเทียบกับยอดหนี้ที่ต้องการชำระกว่า 6,000–7,000 ล้านบาท ถือว่าไม่สัมพันธ์กัน หากตัดสินใจกู้เงินในสถานการณ์ที่ไม่มีความชัดเจนเช่นนี้ยิ่งจะทำให้ กปว.ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ย เพิ่มเติมโดยเปล่าประโยชน์”
.
นายชนะพลกล่าวว่า ในปีหน้า กองทุนฯ จะเร่งรัดพิจารณาคำทวงหนี้อีกไม่น้อยกว่า 3 แสนราย พร้อมทั้ง อยู่ระหว่างจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อการบริหารภาระหนี้ รวมถึงเร่งจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตฯ โดยขณะนี้ กองทุนฯได้ประกาศขายทรัพย์สินที่ได้จากบริษัทประกันที่ถอนใบอนุญาตไปแล้ว และมีผู้แสดงความสนใจหลายราย ทำให้ปีหน้าคาดว่า กปว.จะขายทรัพย์สินได้ และมีรายรับเข้ามาอย่างชัดเจน
.
“ปัจจุบัน กปว.มีทรัพย์สินเป็นอาคารของไทยประกันภัย 2 แห่ง จากสินมั่นคงประกันภัยมีที่ดิน 69 แปลง และ 19 อาคาร มูลค่ารวมอยู่กว่า 3-4 พันล้านบาท ซึ่งหากขายได้จะยังไม่สามารถนำไปจ่ายให้เจ้าหนี้ได้ทันที เพราะนำไปเฉลี่ยทรัพย์ในคดีล้มละลายก่อน ส่วนการชำระบัญชีเกี่ยวกับการจำหน่ายทรัพย์สินทั่วประเทศ ในส่วนสังหาริมทรัพย์ เช่น โต๊ะ คอมพิวเตอร์ ที่ผ่านมาทำได้แล้ว 95%”
การซื้อประกันก็คือการลงทุน ซื้อแล้วเครมไม่ได้ก็เหมือนซื้อหุ้นที่ล้มละลาย รออีก 50 ปี
กองทุนประกันวินาศภัยเผยหนี้โควิดพุ่ง 7 หมื่นล้าน จ่ายครบรอ 50 ปี
กองทุนประกันวินาศภัยเผยหนี้โควิดพุ่ง 7 หมื่นล้าน จ่ายครบรอ 50 ปี
.
นายชนะพล มหาวงษ์ ผู้จัดการกองทุนประกันวินาศภัย (กปว.) เปิดเผยความคืบหน้าการจ่ายหนี้ให้กับเจ้าหนี้ประกันภัยโควิดว่ากปว.พยายามจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้อย่างต่อเนื่องโดยปี 68ได้อนุมัติจ่ายเงินไป29,882 คำขอ คิดเป็นวงเงิน 1,333ล้านบาท และขณะนี้มีภาระหนี้ที่ต้องชำระอีก790,000 ราย มูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท ซึ่งประเมินว่าหากยังมีสภาพคล่องและรายรับแบบนี้กปว.จะต้องใช้เวลา 45-50 ปี ถึงจะจ่ายเงินให้เจ้าหนี้ประกันโควิดครบหมดทุกราย
.
ทั้งนี้หลังจากเกิดเหตุโควิดเจอจ่ายจบกปว.มีหนี้ที่ต้องจ่าย9 แสนกว่าราย8 หมื่นล้านบาท แต่ที่ผ่านมาจ่ายไปแล้ว1.4 แสนราย 9 พันกว่าล้านบาท ขณะนี้เหลือค้างจ่าย7.9 แสนราย 7 หมื่นล้านบาท ในจำนวนนี้ กปว.ได้ตรวจสอบคำขอไปแล้ว 2 แสนราย คิดเป็น 1.4 หมื่นล้านบาท เหลือยังค้างตรวจอีก 6 แสนราย 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งในปี 69 กองทุนมีแผนจ่ายเงินให้เจ้าหนี้ 1,350 ล้านบาท จำนวน 3.5 หมื่นราย จากรายรับจากเงินสมทบบริษัทประกันภัยทั้งหมดที่เข้ามา 1,400-1,500 ล้านบาท”
.
“ปัญหาหลักของกปว. คือกฎหมายกำหนดหน้าที่ให้จ่าย แต่ไม่มีอำนาจในการหาแหล่งเงินทุนโดยตรง ทำให้อยู่ในภาวะอับจนหนทาง ซึ่งตลอด 3-4 ปี กปว.พยายามทำหน้าที่มาตลอด โดยพยายามหาแหล่งเงินทุนตามช่องทางที่มีไปหมดแล้ว
.
รวมถึงขอให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) แก้กฎหมายช่วยเพิ่มเงินสมทบจากบริษัทประกันภัยให้มากขึ้นกว่า 0.5% รวมถึงการขอยืมเงินจาก คปภ. แต่ถึงวันนี้ คปภ.ยังไม่มีแนวทางการช่วยเหลือ และแก้ไขกฎหมายที่จำเป็นช่วยกองทุนฯ แต่อย่างใด”
.
นายชนะพล กล่าวว่า กปว.เผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญในการจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อชำระหนี้ โดยเฉพาะการทำแผนการกู้เงิน ซึ่งที่ผ่านมาแม้ครม.จะอนุมัติแผนกู้เงินให้ กปว.อยู่ในแผนหนี้สาธารณะปี 67 โดยมีรัฐบาลค้ำประกันแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไม่มีสถาบันการเงินใดให้กู้ ความล้มเหลวในการหาเงินกู้ครั้งนั้น สร้างความกังวลอย่างยิ่งให้กับ กปว. ว่า หากมีการขออนุมัติแผนกู้เงินใหม่ ก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง
.
“สาเหตุหลักที่ทำให้ไม่มีใครกล้าปล่อยกู้ มาจากข้อจำกัดที่ไม่เข้าเกณฑ์การให้สินเชื่อตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นการขาดหลักประกัน อีกทั้งยังไม่มีความไม่ชัดเจนในการบริหารหนี้ และแหล่งเงินที่จะนำมาชำระหนี้คืน ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสูง โดยรายได้ของ กปว. มาจากเงินสมทบเพียงปีละ 1,300 -1,400 ล้านบาท ซึ่งเมื่อนำมาเทียบกับยอดหนี้ที่ต้องการชำระกว่า 6,000–7,000 ล้านบาท ถือว่าไม่สัมพันธ์กัน หากตัดสินใจกู้เงินในสถานการณ์ที่ไม่มีความชัดเจนเช่นนี้ยิ่งจะทำให้ กปว.ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ย เพิ่มเติมโดยเปล่าประโยชน์”
.
นายชนะพลกล่าวว่า ในปีหน้า กองทุนฯ จะเร่งรัดพิจารณาคำทวงหนี้อีกไม่น้อยกว่า 3 แสนราย พร้อมทั้ง อยู่ระหว่างจัดจ้างที่ปรึกษาเพื่อการบริหารภาระหนี้ รวมถึงเร่งจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตฯ โดยขณะนี้ กองทุนฯได้ประกาศขายทรัพย์สินที่ได้จากบริษัทประกันที่ถอนใบอนุญาตไปแล้ว และมีผู้แสดงความสนใจหลายราย ทำให้ปีหน้าคาดว่า กปว.จะขายทรัพย์สินได้ และมีรายรับเข้ามาอย่างชัดเจน
.
“ปัจจุบัน กปว.มีทรัพย์สินเป็นอาคารของไทยประกันภัย 2 แห่ง จากสินมั่นคงประกันภัยมีที่ดิน 69 แปลง และ 19 อาคาร มูลค่ารวมอยู่กว่า 3-4 พันล้านบาท ซึ่งหากขายได้จะยังไม่สามารถนำไปจ่ายให้เจ้าหนี้ได้ทันที เพราะนำไปเฉลี่ยทรัพย์ในคดีล้มละลายก่อน ส่วนการชำระบัญชีเกี่ยวกับการจำหน่ายทรัพย์สินทั่วประเทศ ในส่วนสังหาริมทรัพย์ เช่น โต๊ะ คอมพิวเตอร์ ที่ผ่านมาทำได้แล้ว 95%”
การซื้อประกันก็คือการลงทุน ซื้อแล้วเครมไม่ได้ก็เหมือนซื้อหุ้นที่ล้มละลาย รออีก 50 ปี