
: คมดาบแห่งความจริงที่กรีดใจ! All Quiet on the Western Front (2022) ไม่ใช่แค่หนังสงคราม แต่คือบทเรียนราคาแพงที่ต้องจำ
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีหนังมาเล่าให้ฟัง เป็นหนังที่ดูจบแล้วแทบจะยกมือไหว้เลยครับ ไม่ใช่เพราะความอลังการงานสร้างอะไรนะครับ แต่อยากจะยกมือไหว้ให้กับความจริง ความโหดร้าย และความเจ็บปวดที่มันยัดเข้ามาในหัวเราแบบไม่ทันตั้งตัว ชื่อเรื่องคือ "All Quiet on the Western Front" ฉบับปี 2022 ที่เพิ่งลง Netflix ไปนี่แหละครับ
ก่อนจะดู ผมก็รู้แหละว่ามันเป็นหนังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่สร้างจากนิยายดัง แต่บอกตรงๆ ว่าไม่คิดว่าจะหนักหน่วงขนาดนี้ เปิดเรื่องมาก็เหมือนหนังสงครามทั่วไปแหละครับ มีเด็กหนุ่มไฟแรงที่อยากจะไปรบไปสร้างชื่อให้ประเทศ มีความฮึกเหิมเต็มเปี่ยม พอไปถึงแนวหน้าเท่านั้นแหละครับ ความฝันของไอ้หนุ่มน้อยก็แหลกสลาย กลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนไปตลอดกาล
สิ่งที่ผมชอบมากๆ คือการถ่ายทอดภาพครับ ภาพนี่สมจริงจนบางทีต้องหลับตาปี๋เลยครับ โคลน เลือด ความเหม็นสาบของศพ เสียงปืนใหญ่ที่ดังสนั่นจนหูจะแตก มันเหมือนเราได้เข้าไปอยู่ในสมรภูมิด้วยจริงๆ ครับ ฉากการต่อสู้ก็ไม่ใช่แบบพระเอกเท่ๆ ยิงปืนทีละคนตายเป็นร้อยนะครับ แต่มันคือความโกลาหล ความสับสน ความตายที่เกิดขึ้นแบบไม่เลือกหน้า ทหารล้มตายกันเป็นเบือ คนที่รอดก็ต้องเอาชีวิตรอดไปวันๆ
แล้วนักแสดงนำนี่ก็สุดยอดครับ โดยเฉพาะ Paul Bäumer ที่รับบทโดย Felix Kaminski เขาแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ ความหวังที่ค่อยๆ ถูกบดขยี้ จนกลายเป็นความสิ้นหวัง ความว่างเปล่า มันกินใจมากๆ ครับ เราจะเห็นพัฒนาการของตัวละครที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากเด็กหนุ่มที่มองโลกสวย กลายเป็นทหารที่เต็มไปด้วยบาดแผลทั้งทางกายและใจ
อีกอย่างที่ผมประทับใจคือการนำเสนอ "ความไร้สาระ" ของสงครามครับ หนังไม่ได้เน้นว่าใครถูกใครผิด ไม่ได้เชิดชูวีรกรรมฮีโร่ แต่เน้นให้เห็นว่าสงครามมันคือหายนะ มันคือการสูญเสียที่ไม่มีวันเรียกคืนได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ฝ่ายไหน คุณก็คือเหยื่อของสงครามทั้งสิ้น ฉากที่ทหารเยอรมันกับฝรั่งเศสต้องมาสู้กันอย่างดุเดือดในหลุมเพลาะ พอจบฉากก็กลับไปที่กองบัญชาการที่นายพลยังคงนั่งจิบไวน์อย่างสบายใจ มันช่างย้อนแย้งจนน่าเจ็บใจ
ผมชอบฉากที่ Paul Bäumer ไปเจอทหารฝรั่งเศสในหลุมเพลาะ แล้วทั้งสองคนก็ต้องต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย พอฆ่าอีกฝ่ายตายไปแล้ว กลับต้องมานั่งเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ มันเป็นภาพสะท้อนที่ทรงพลังมากๆ ครับ ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาก็แค่คนหนุ่มที่ถูกส่งมาให้ฆ่ากันเอง
หนังเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความบันเทิงนะครับ แต่มันให้ "บทเรียน" ครับ บทเรียนที่เจ็บปวด แต่จำเป็นต้องรับรู้ มันทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต ความสงบสุข และความหมายที่แท้จริงของสันติภาพ
ฉากสุดท้ายนี่ทำผมอึ้งไปเลยครับ หลังจากที่ทุกอย่างจบลง เราจะได้เห็นภาพที่มันตัดกันอย่างสิ้นเชิงกับฉากเปิดเรื่อง มันเหมือนจะบอกว่า "นี่แหละคือราคาของความรุ่งโรจน์"
ถ้าใครกำลังมองหาหนังสงครามที่เข้มข้น สมจริง และชวนให้คิด ผมแนะนำ "All Quiet on the Western Front" เลยครับ เตรียมทิชชู่ไว้เยอะๆ นะครับ เพราะคุณอาจจะเสียน้ำตาให้กับความจริงที่มันโหดร้ายกว่าที่คิด
ดูจบแล้วผมรู้สึกขอบคุณที่ได้เกิดมาในยุคที่ไม่มีสงครามใหญ่ๆ แบบนี้ แม้ว่าโลกเราก็ยังมีปัญหาอื่นๆ อยู่ก็ตาม แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 1
ผมอยากให้ทุกคนได้ดูหนังเรื่องนี้จริงๆ ครับ ไม่ใช่เพื่อความบันเทิง แต่เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าสงครามมันทำลายล้างได้มากแค่ไหน และเพื่อที่จะได้เห็นคุณค่าของชีวิตที่เรามีอยู่
ขอบคุณครับที่อ่านมาถึงตรงนี้ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ ใครดูแล้วมาคุยกันได้นะครับ ผมอยากฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆ ครับ
คมดาบแห่งความจริงที่กรีดใจ! All Quiet on the Western Front (2022) ไม่ใช่แค่หนังสงคราม แต่คือบทเรียนราคาแพงที่ต้องจำ
: คมดาบแห่งความจริงที่กรีดใจ! All Quiet on the Western Front (2022) ไม่ใช่แค่หนังสงคราม แต่คือบทเรียนราคาแพงที่ต้องจำ
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีหนังมาเล่าให้ฟัง เป็นหนังที่ดูจบแล้วแทบจะยกมือไหว้เลยครับ ไม่ใช่เพราะความอลังการงานสร้างอะไรนะครับ แต่อยากจะยกมือไหว้ให้กับความจริง ความโหดร้าย และความเจ็บปวดที่มันยัดเข้ามาในหัวเราแบบไม่ทันตั้งตัว ชื่อเรื่องคือ "All Quiet on the Western Front" ฉบับปี 2022 ที่เพิ่งลง Netflix ไปนี่แหละครับ
ก่อนจะดู ผมก็รู้แหละว่ามันเป็นหนังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่สร้างจากนิยายดัง แต่บอกตรงๆ ว่าไม่คิดว่าจะหนักหน่วงขนาดนี้ เปิดเรื่องมาก็เหมือนหนังสงครามทั่วไปแหละครับ มีเด็กหนุ่มไฟแรงที่อยากจะไปรบไปสร้างชื่อให้ประเทศ มีความฮึกเหิมเต็มเปี่ยม พอไปถึงแนวหน้าเท่านั้นแหละครับ ความฝันของไอ้หนุ่มน้อยก็แหลกสลาย กลายเป็นฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนไปตลอดกาล
สิ่งที่ผมชอบมากๆ คือการถ่ายทอดภาพครับ ภาพนี่สมจริงจนบางทีต้องหลับตาปี๋เลยครับ โคลน เลือด ความเหม็นสาบของศพ เสียงปืนใหญ่ที่ดังสนั่นจนหูจะแตก มันเหมือนเราได้เข้าไปอยู่ในสมรภูมิด้วยจริงๆ ครับ ฉากการต่อสู้ก็ไม่ใช่แบบพระเอกเท่ๆ ยิงปืนทีละคนตายเป็นร้อยนะครับ แต่มันคือความโกลาหล ความสับสน ความตายที่เกิดขึ้นแบบไม่เลือกหน้า ทหารล้มตายกันเป็นเบือ คนที่รอดก็ต้องเอาชีวิตรอดไปวันๆ
แล้วนักแสดงนำนี่ก็สุดยอดครับ โดยเฉพาะ Paul Bäumer ที่รับบทโดย Felix Kaminski เขาแสดงออกถึงความบริสุทธิ์ ความหวังที่ค่อยๆ ถูกบดขยี้ จนกลายเป็นความสิ้นหวัง ความว่างเปล่า มันกินใจมากๆ ครับ เราจะเห็นพัฒนาการของตัวละครที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ จากเด็กหนุ่มที่มองโลกสวย กลายเป็นทหารที่เต็มไปด้วยบาดแผลทั้งทางกายและใจ
อีกอย่างที่ผมประทับใจคือการนำเสนอ "ความไร้สาระ" ของสงครามครับ หนังไม่ได้เน้นว่าใครถูกใครผิด ไม่ได้เชิดชูวีรกรรมฮีโร่ แต่เน้นให้เห็นว่าสงครามมันคือหายนะ มันคือการสูญเสียที่ไม่มีวันเรียกคืนได้ ไม่ว่าคุณจะอยู่ฝ่ายไหน คุณก็คือเหยื่อของสงครามทั้งสิ้น ฉากที่ทหารเยอรมันกับฝรั่งเศสต้องมาสู้กันอย่างดุเดือดในหลุมเพลาะ พอจบฉากก็กลับไปที่กองบัญชาการที่นายพลยังคงนั่งจิบไวน์อย่างสบายใจ มันช่างย้อนแย้งจนน่าเจ็บใจ
ผมชอบฉากที่ Paul Bäumer ไปเจอทหารฝรั่งเศสในหลุมเพลาะ แล้วทั้งสองคนก็ต้องต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย พอฆ่าอีกฝ่ายตายไปแล้ว กลับต้องมานั่งเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ มันเป็นภาพสะท้อนที่ทรงพลังมากๆ ครับ ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาก็แค่คนหนุ่มที่ถูกส่งมาให้ฆ่ากันเอง
หนังเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความบันเทิงนะครับ แต่มันให้ "บทเรียน" ครับ บทเรียนที่เจ็บปวด แต่จำเป็นต้องรับรู้ มันทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของชีวิต ความสงบสุข และความหมายที่แท้จริงของสันติภาพ
ฉากสุดท้ายนี่ทำผมอึ้งไปเลยครับ หลังจากที่ทุกอย่างจบลง เราจะได้เห็นภาพที่มันตัดกันอย่างสิ้นเชิงกับฉากเปิดเรื่อง มันเหมือนจะบอกว่า "นี่แหละคือราคาของความรุ่งโรจน์"
ถ้าใครกำลังมองหาหนังสงครามที่เข้มข้น สมจริง และชวนให้คิด ผมแนะนำ "All Quiet on the Western Front" เลยครับ เตรียมทิชชู่ไว้เยอะๆ นะครับ เพราะคุณอาจจะเสียน้ำตาให้กับความจริงที่มันโหดร้ายกว่าที่คิด
ดูจบแล้วผมรู้สึกขอบคุณที่ได้เกิดมาในยุคที่ไม่มีสงครามใหญ่ๆ แบบนี้ แม้ว่าโลกเราก็ยังมีปัญหาอื่นๆ อยู่ก็ตาม แต่มันก็เทียบไม่ได้เลยกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นในสงครามโลกครั้งที่ 1
ผมอยากให้ทุกคนได้ดูหนังเรื่องนี้จริงๆ ครับ ไม่ใช่เพื่อความบันเทิง แต่เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าสงครามมันทำลายล้างได้มากแค่ไหน และเพื่อที่จะได้เห็นคุณค่าของชีวิตที่เรามีอยู่
ขอบคุณครับที่อ่านมาถึงตรงนี้ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ ใครดูแล้วมาคุยกันได้นะครับ ผมอยากฟังความคิดเห็นของเพื่อนๆ ครับ