Onoda: 10,000 Nights in the Jungle เป็นภาพยนตร์ผลงานผลิตร่วมกันระหว่าง ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เยอรมนี เบลเยียม
กำกับโดย Arthur Harari และเขียนบทร่วมกันกับ Vincent Poymiro
เรื่องราวของนายทหารแห่งกองทัพญี่ปุ่นคนสุดท้ายในสงครามโลกครั้งที่ 2
ผู้ที่อยู่ในภารกิจของเขาเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี แม้ว่าสงครามโลกนั้นจะยุติไปแล้วก็ตาม
นี่คือภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของฮิโระ โอโนดะ ทหารหนุ่มวัย 23 ปี
ผู้ที่ไม่เชื่อว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงแล้ว และตัวเขายังคงต่อสู้อยู่คนเดียวบนเกาะห่างไกลของฟิลิปปินส์
จนกระทั่งถึงปี 1974 เรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อ แต่เป็นเรื่องราวเล่าขานที่ผู้คนปัจจุบันแทบไม่มีใครล่วงรู้
Arthur Harari เป็นผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ที่เขียนบทเก่งมาก โดยงานที่สร้างชื่อให้กับอาเธอร์ก็คือ Anatomy of a Fall
ที่เขาร่วมเขียนบทกับ Justine Triet และสามารถคว้ารางวัล Original Screenplay
ทั้งเวทีออสการ์และลูกโลกทองคำเมื่อปี 2023 อีกด้วย (ทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน Sibyl เมื่อปี 2019)
มาในเรื่องนี้เป็นโปรเจ็คต์ลุยเดี่ยวของอาเธอร์เอง
เปิดเรื่องคือเหตุการณ์ช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นโดนระเบิดปรมาณูถล่มใส่จนต้องประกาศยอมแพ้สงคราม
หมู่เกาะที่ฟิลิปปินส์ถือเป็น 1 ในที่ตั้งมั่นและเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการทหารของทั้งสองฝ่ายที่ต้องรักษาเอาไว้เป็นที่มั่นให้ได้
โอโนดะเป็น 1 ในทหารที่ประจำการที่นั่น บนเกาะ Lubang...
เขาได้รับคำสั่งให้ทำลายการก่อสร้างท่าเรือและการคมนาคมทางอากาศ เพื่อรบกวนการบุกโจมตีของข้าศึก
โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าสถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไป...
กระทั่งกองกำลังของสหรัฐฯ ยกพลบุกมายึดเกาะได้ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1945
ทว่าด้วยการยึดมั่นในคำสั่งสุดท้ายของพลตรีโยชิมิ ทานิกูจิ ที่บอกเขาว่า
“ให้ต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง และให้รอวันที่พวกเราจะกลับมา...”
ประโยคนั้นเหมือนเป็นประกาศิตและคำมั่นที่โอโนดะยึดไว้เหนือชีวิต นั่นคือสิ่งที่เขาต้องปฏิบัติตาม
จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง เขาจะไม่ไปไหน หน้าที่ของเขาคือต้องปกป้องที่มั่นนี้จากข้าศึกให้จงได้
หนังบอกเล่าเรื่องราวในอดีตตัดสลับกับอีกเส้นเรื่องที่เป็นปัจจุบัน
การตามหานายทหารคนสุดท้ายที่คาดว่าน่าจะยังมีชีวิตอยู่ในป่าดงดิบของฟิลิปปินส์ กับตัวของโอโนดะตั้งแต่เข้ากองทัพจนถึงวัยชรา ..
จริงๆตอนแรกโอโนดะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะครับ เขาก็มีเพื่อนร่วมรบอยู่ด้วยแต่แน่นอนว่าระยะเวลาผ่านไป
ความสูญเสียย่อมต้องมีตามมา...
เราจะได้เห็นการเอาตัวรอดของเหล่าทหาร ชีวิตในป่าที่ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ หาอาหารเอง ทำอะไรเองทุกอย่าง
ความลำบากทางร่างกายยังไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับสภาพจิตใจที่หดหู่ และขาดขวัญกำลังใจอย่างถึงที่สุด
มองทุกอย่างรอบตัวด้วยความหวาดระแวง ไม่ว่าใครที่เจอล้วนแต่เป็นศัตรูทั้งสิ้น
ยิ่งอยู่ในป่ามากขึ้นเท่าไหร่ ความเป็นคนของเขาก็เหมือนจะค่อยๆหายไปเรื่อยๆ
แต่กระนั้นสิ่งที่ยังยึดโยงจิตใจของเขาให้ยังตั้งมั่นอยู่ได้นั้น ก็คือคำสั่งสุดท้ายที่เขาต้องปฏิบัติตามนั่นเอง
อาเธอร์ นำเรื่องจริงของทหารญี่ปุ่นผู้โดดเดี่ยวมารังสรรค์ให้เป็นโศกนาฏกรรมแห่งสงครามที่น่าสะเทือนใจ
รวมทั้งมิตรภาพที่อยู่เหนือความตายและของเหล่าทหารหาญผู้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
แต่แน่นอนคนเรามันไม่เหมือนกัน และยิ่งความหิวบังตา
อุดมการณ์หน้าที่มันก็ไม่มีค่าเลยสำหรับทหารอีกหลายนายที่ต้องการแค่ชีวิตรอดเท่านั้น
เพื่อนแท้ที่เคยอยู่ข้างกาย สุดท้ายเหลือตัวคนเดียว คิดดูซิว่าหากเป็นตัวเราเองจะทำยังไง
อยู่ในแผ่นดินที่ไม่ใช่บ้านเกิด ไม่มีใครให้พูดคุยด้วยเลยสักคนในผืนป่าใหญ่แห่งหมู่เกาะในแปซิฟิก
หากด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบ คำสั่งสุดท้าย “ให้สู้ต่อ รอวันพวกเราจะกลับมา” นั่นคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขาตายไม่ได้
เอาจริงๆมีนายทหารที่เป็นแบบโอโนดะอีกมากนะครับในสงครามโลกครั้งที่ 2
ที่ยังปักหลักในที่มั่นสุดท้ายของตัวเองไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนน
แม้ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะมีการโปรยกระดาษใบปลิวไปทั่วว่าสงครามโลกได้ยุติไปแล้วก็ตาม
ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อเพราะคิดว่าเป็นแผนของข้าศึกที่จะให้พวกเขาออกมานั่นเอง
และสุดท้าย ทหารเหล่านี้ต่างก็ล้มหายตายจากไป ไม่มีวันได้กลับบ้าน
จากปี 1945-1974 เวลา 30 ปีที่เขาได้ต่อสู้คนเดียวภายในจิตใจของตัวเขาเอง
ด้วยความไม่รู้หรือจะด้วยความกลัวโทษของการเป็นทหารหนีสงคราม แต่ที่แน่ๆ พวกเขาเลือกที่จะยอมตายแทนที่จะยอมจำนน
และนี่ก็คือภาพยนตร์ที่นำเสนออีกแง่มุมของสงคราม สงครามที่พรากวันเวลาและอนาคตของชายหนึ่งไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ชีวิตของนักรบที่โดดเดี่ยวกลางป่า โอโนดะกับวันคืนที่โหดร้ายทารุณ..ของสงคราม 10,000 วัน
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===
== Onoda: 10,000 Nights in the Jungle (2021) นักรบคนสุดท้ายในสงครามโลกครั้งที่ 2 ==
Onoda: 10,000 Nights in the Jungle เป็นภาพยนตร์ผลงานผลิตร่วมกันระหว่าง ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เยอรมนี เบลเยียม
กำกับโดย Arthur Harari และเขียนบทร่วมกันกับ Vincent Poymiro
เรื่องราวของนายทหารแห่งกองทัพญี่ปุ่นคนสุดท้ายในสงครามโลกครั้งที่ 2
ผู้ที่อยู่ในภารกิจของเขาเป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี แม้ว่าสงครามโลกนั้นจะยุติไปแล้วก็ตาม
นี่คือภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของฮิโระ โอโนดะ ทหารหนุ่มวัย 23 ปี
ผู้ที่ไม่เชื่อว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงแล้ว และตัวเขายังคงต่อสู้อยู่คนเดียวบนเกาะห่างไกลของฟิลิปปินส์
จนกระทั่งถึงปี 1974 เรื่องราวที่น่าเหลือเชื่อ แต่เป็นเรื่องราวเล่าขานที่ผู้คนปัจจุบันแทบไม่มีใครล่วงรู้
Arthur Harari เป็นผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ที่เขียนบทเก่งมาก โดยงานที่สร้างชื่อให้กับอาเธอร์ก็คือ Anatomy of a Fall
ที่เขาร่วมเขียนบทกับ Justine Triet และสามารถคว้ารางวัล Original Screenplay
ทั้งเวทีออสการ์และลูกโลกทองคำเมื่อปี 2023 อีกด้วย (ทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาแล้วใน Sibyl เมื่อปี 2019)
มาในเรื่องนี้เป็นโปรเจ็คต์ลุยเดี่ยวของอาเธอร์เอง
เปิดเรื่องคือเหตุการณ์ช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นโดนระเบิดปรมาณูถล่มใส่จนต้องประกาศยอมแพ้สงคราม
หมู่เกาะที่ฟิลิปปินส์ถือเป็น 1 ในที่ตั้งมั่นและเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการทหารของทั้งสองฝ่ายที่ต้องรักษาเอาไว้เป็นที่มั่นให้ได้
โอโนดะเป็น 1 ในทหารที่ประจำการที่นั่น บนเกาะ Lubang...
เขาได้รับคำสั่งให้ทำลายการก่อสร้างท่าเรือและการคมนาคมทางอากาศ เพื่อรบกวนการบุกโจมตีของข้าศึก
โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าสถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไป...
กระทั่งกองกำลังของสหรัฐฯ ยกพลบุกมายึดเกาะได้ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1945
ทว่าด้วยการยึดมั่นในคำสั่งสุดท้ายของพลตรีโยชิมิ ทานิกูจิ ที่บอกเขาว่า
“ให้ต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง และให้รอวันที่พวกเราจะกลับมา...”
ประโยคนั้นเหมือนเป็นประกาศิตและคำมั่นที่โอโนดะยึดไว้เหนือชีวิต นั่นคือสิ่งที่เขาต้องปฏิบัติตาม
จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง เขาจะไม่ไปไหน หน้าที่ของเขาคือต้องปกป้องที่มั่นนี้จากข้าศึกให้จงได้
หนังบอกเล่าเรื่องราวในอดีตตัดสลับกับอีกเส้นเรื่องที่เป็นปัจจุบัน
การตามหานายทหารคนสุดท้ายที่คาดว่าน่าจะยังมีชีวิตอยู่ในป่าดงดิบของฟิลิปปินส์ กับตัวของโอโนดะตั้งแต่เข้ากองทัพจนถึงวัยชรา ..
จริงๆตอนแรกโอโนดะไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะครับ เขาก็มีเพื่อนร่วมรบอยู่ด้วยแต่แน่นอนว่าระยะเวลาผ่านไป
ความสูญเสียย่อมต้องมีตามมา...
เราจะได้เห็นการเอาตัวรอดของเหล่าทหาร ชีวิตในป่าที่ต้องอยู่ต่อไปให้ได้ หาอาหารเอง ทำอะไรเองทุกอย่าง
ความลำบากทางร่างกายยังไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับสภาพจิตใจที่หดหู่ และขาดขวัญกำลังใจอย่างถึงที่สุด
มองทุกอย่างรอบตัวด้วยความหวาดระแวง ไม่ว่าใครที่เจอล้วนแต่เป็นศัตรูทั้งสิ้น
ยิ่งอยู่ในป่ามากขึ้นเท่าไหร่ ความเป็นคนของเขาก็เหมือนจะค่อยๆหายไปเรื่อยๆ
แต่กระนั้นสิ่งที่ยังยึดโยงจิตใจของเขาให้ยังตั้งมั่นอยู่ได้นั้น ก็คือคำสั่งสุดท้ายที่เขาต้องปฏิบัติตามนั่นเอง
อาเธอร์ นำเรื่องจริงของทหารญี่ปุ่นผู้โดดเดี่ยวมารังสรรค์ให้เป็นโศกนาฏกรรมแห่งสงครามที่น่าสะเทือนใจ
รวมทั้งมิตรภาพที่อยู่เหนือความตายและของเหล่าทหารหาญผู้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต
แต่แน่นอนคนเรามันไม่เหมือนกัน และยิ่งความหิวบังตา
อุดมการณ์หน้าที่มันก็ไม่มีค่าเลยสำหรับทหารอีกหลายนายที่ต้องการแค่ชีวิตรอดเท่านั้น
เพื่อนแท้ที่เคยอยู่ข้างกาย สุดท้ายเหลือตัวคนเดียว คิดดูซิว่าหากเป็นตัวเราเองจะทำยังไง
อยู่ในแผ่นดินที่ไม่ใช่บ้านเกิด ไม่มีใครให้พูดคุยด้วยเลยสักคนในผืนป่าใหญ่แห่งหมู่เกาะในแปซิฟิก
หากด้วยหน้าที่ความรับผิดชอบ คำสั่งสุดท้าย “ให้สู้ต่อ รอวันพวกเราจะกลับมา” นั่นคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขาตายไม่ได้
เอาจริงๆมีนายทหารที่เป็นแบบโอโนดะอีกมากนะครับในสงครามโลกครั้งที่ 2
ที่ยังปักหลักในที่มั่นสุดท้ายของตัวเองไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนน
แม้ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะมีการโปรยกระดาษใบปลิวไปทั่วว่าสงครามโลกได้ยุติไปแล้วก็ตาม
ส่วนใหญ่จะไม่เชื่อเพราะคิดว่าเป็นแผนของข้าศึกที่จะให้พวกเขาออกมานั่นเอง
และสุดท้าย ทหารเหล่านี้ต่างก็ล้มหายตายจากไป ไม่มีวันได้กลับบ้าน
จากปี 1945-1974 เวลา 30 ปีที่เขาได้ต่อสู้คนเดียวภายในจิตใจของตัวเขาเอง
ด้วยความไม่รู้หรือจะด้วยความกลัวโทษของการเป็นทหารหนีสงคราม แต่ที่แน่ๆ พวกเขาเลือกที่จะยอมตายแทนที่จะยอมจำนน
และนี่ก็คือภาพยนตร์ที่นำเสนออีกแง่มุมของสงคราม สงครามที่พรากวันเวลาและอนาคตของชายหนึ่งไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
ชีวิตของนักรบที่โดดเดี่ยวกลางป่า โอโนดะกับวันคืนที่โหดร้ายทารุณ..ของสงคราม 10,000 วัน
เพราะหนังมันฝังใจ
=== ทิ้งท้ายครับ หนังที่ดีสำหรับตัวเรา แน่นอนว่าอาจจะไม่ได้ดีและไม่ได้ถูกใจสำหรับใคร
ซึ่งอยู่ที่ความชอบของแต่ละบุคคล ภาพยนตร์ก็เหมือนอาหารล่ะครับ อยู่ที่เราเลือกที่จะอยากชิมรสชาติแบบไหนเท่านั้นเอง ===