สยองขวัญจนขนลุก! รีวิว Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story (2022) ซีรีส์ที่ทำให้คุณต้องนอนไม่หลับ


TITLE: สยองขวัญจนขนลุก! รีวิว Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story (2022) ซีรีส์ที่ทำให้คุณต้องนอนไม่หลับ

สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมมีซีรีส์ที่อยากจะมาแชร์ให้ฟังครับ บอกเลยว่าถ้าใครเป็นสายดาร์ก ชอบเรื่องราวสืบสวนสอบสวน หรืออะไรที่มันหักมุม ชวนให้ขนลุก ต้องห้ามพลาดเด็ดขาดครับ ซีรีส์เรื่องนี้คือ Dahmer – Monster: The Jeffrey Dahmer Story (2022) ที่ฉายทาง Netflix นั่นเองครับ

ก่อนอื่นเลย ผมต้องบอกว่าตอนที่ผมกดเข้าไปดูครั้งแรก ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักครับ คิดว่าคงเป็นอีกเรื่องที่เล่าเรื่องฆาตกรต่อเนื่องทั่วไป แต่พอได้ดูไปเรื่อยๆ ผมต้องยอมรับเลยว่ามันเกินความคาดหมายไปมากครับ ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้เล่าแค่การก่อเหตุของเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ แต่เจาะลึกไปถึงชีวิตวัยเด็ก ปมในใจ การเติบโต และเหตุการณ์ต่างๆ ที่หล่อหลอมให้เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่โหดเหี้ยมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกา

สิ่งที่ผมประทับใจมากๆ คือการแสดงของ Evan Peters ครับ ที่รับบทเป็นเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ คือต้องบอกว่าเขาแสดงได้ถึงบทบาทมากๆ ครับ สีหน้า แววตา ท่าทาง ทุกอย่างมันดูสมจริงจนน่าขนลุก บางทีผมนั่งดูอยู่ก็รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออกไปกับตัวละครของเขาเลยครับ มันไม่ใช่แค่การแสดงที่ดูดี แต่มันคือการสวมวิญญาณเข้าไปในตัวละครจริงๆ ครับ การเปลี่ยนผ่านจากความปกติ ความพยายามที่จะเป็นคนธรรมดา ไปสู่ความบิดเบี้ยวทางจิตใจของเขา มันถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าสะพรึงกลัว

นอกจาก Evan Peters แล้ว นักแสดงคนอื่นๆ ก็เล่นได้ดีไม่แพ้กันครับ โดยเฉพาะนักแสดงที่รับบทเป็นพ่อแม่ของดาห์เมอร์ และเพื่อนบ้านที่พยายามจะช่วยเหยื่อ แต่กลับถูกมองข้าม การเล่าเรื่องที่สลับไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน ทำให้เราเห็นภาพรวมของชีวิตดาห์เมอร์ได้ชัดเจนขึ้นครับ เราได้เห็นจุดเริ่มต้นของความผิดปกติ ความพยายามที่จะควบคุมตัวเองที่ล้มเหลว และการพาตัวเองไปสู่เส้นทางแห่งความมืดมิด

สิ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ คือการนำเสนอในมุมมองที่หลากหลายครับ ไม่ใช่แค่การเล่าเรื่องของฆาตกร แต่ยังพาเราไปสำรวจความเจ็บปวดของครอบครัวเหยื่อ การทำงานที่ผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และความล้มเหลวของระบบที่ทำให้เหยื่อหลายคนไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที มันทำให้เราเห็นภาพของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นในวงกว้าง ไม่ใช่แค่การกระทำของคนๆ เดียว

ฉากบางฉากในเรื่องอาจจะค่อนข้างรุนแรงและสะเทือนใจนะครับ ผมไม่ขอลงรายละเอียดมากนัก แต่ถ้าใครใจไม่แข็งพอ อาจจะต้องพิจารณาให้ดีก่อนรับชมครับ แต่ถึงแม้ฉากเหล่านั้นจะน่ากลัว แต่มันก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจถึงความโหดร้ายที่เกิดขึ้น และความสิ้นหวังของเหยื่อ

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ การนำเสนอเรื่องราวของชุมชน LGBTQ+ ในยุคนั้นครับ ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ถูกมองข้ามและได้รับความไม่เป็นธรรม ทำให้ดาห์เมอร์สามารถก่อเหตุได้ง่ายขึ้นโดยที่ไม่มีใครสงสัยมากนัก มันสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการเลือกปฏิบัติและความไม่เท่าเทียมในสังคมที่ดำรงอยู่

ผมชอบวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อยๆ คลายปมปัญหา ทำให้เราค่อยๆ เข้าใจแรงจูงใจ (แม้จะไม่มีเหตุผลรองรับสำหรับความโหดร้าย) และสภาพจิตใจที่บิดเบี้ยวของดาห์เมอร์ มันไม่ใช่การพยายามหาข้อแก้ตัวให้เขา แต่เป็นการพยายามทำความเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้คนๆ หนึ่งกลายเป็นปีศาจร้ายได้ขนาดนั้น

หลังจากดูจบ ผมรู้สึกหลายอย่างปนเปกันครับ ทั้งความรู้สึกหวาดกลัว ความสะเทือนใจ ความโกรธ และความสงสารเหยื่อ มันเป็นซีรีส์ที่ทำให้เราได้คิดถึงหลายๆ เรื่องครับ ทั้งเรื่องของจิตใจมนุษย์ ความดี ความชั่ว ปัญหาทางสังคม และระบบที่ควรจะต้องปรับปรุง

สำหรับคะแนน ผมขอให้ซีรีส์เรื่องนี้ไปเลย 9/10 ครับ หักไป 1 คะแนนเพราะบางช่วงอาจจะรู้สึกอึดอัดจนเกินไปสำหรับบางคน แต่โดยรวมแล้วเป็นซีรีส์ที่ทรงพลังมากๆ ครับ ทำให้เราได้เห็นอีกด้านของมนุษย์ที่น่ากลัวและน่าสะพรึงกลัว

ถ้าใครดูแล้ว อยากมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน เชิญเลยนะครับ ผมพร้อมรับฟังทุกความคิดเห็นครับ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจรับชมนะครับ สวัสดีครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่