‘เนื้อวัวจีน’ ผงาดสู้ศึกเนื้อนำเข้า กู้ศักดิ์ศรีตลาดบริโภคเนื้อเบอร์ 2 ของโลก
.
รู้ไหมว่าในปี 2019 จีนแซงหน้าบราซิลขึ้นเป็นตลาดบริโภคเนื้อวัวที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และในปี 2024 ที่ผ่านมา ปริมาณการบริโภคเนื้อวัวของจีนทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 10.7 ล้านตัน เติบโตขึ้น 4.1% ซึ่งเป็นการทะลุหลัก 10 ล้านตันติดต่อกันเป็นปีที่สาม
.
หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1995 อัตราการเติบโตของการบริโภคเนื้อวัวต่อหัวในจีนนั้นเป็นรองเพียงแค่เนื้อสัตว์ปีกเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในอดีตผู้บริโภคชาวจีนมักคุ้นเคยแต่ชื่อเนื้อนำเข้าอย่าง "แองกัสออสเตรเลีย" หรือ "วากิวญี่ปุ่น" ในขณะที่เนื้อวัวท้องถิ่นกลับไม่มีชื่อเสียงเท่าที่ควร
.
แต่ปัจจุบัน ภาพจำเหล่านั้นกำลังเปลี่ยนไป การผุดขึ้นของร้านหม้อไฟเนื้อสดสไตล์แต้จิ๋ว หรือร้านอาหารหูหนานที่เน้นเมนูเนื้อผัดพริก กำลังสะท้อนว่าคนจีนเริ่มหันมา "อิน" กับเนื้อวัวในประเทศมากขึ้น
.
■ กำแพงสูงของ ‘เนื้อนำเข้า’ คือราคาและมาตรฐาน
.
แม้เทรนด์เนื้อในประเทศจะมาแรง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเนื้อนำเข้ายังคงเป็นยักษ์ใหญ่ จีนเปลี่ยนจากประเทศผู้ส่งออกเนื้อวัวสุทธิ มาเป็นผู้นำเข้าสุทธิตั้งแต่ปี 2013 โดยในปี 2024 ปริมาณการนำเข้าพุ่งสูงถึง 2.87 ล้านตัน ในธุรกิจอาหาร ไม่ว่าจะเป็นสเต็กในร้านอาหารตะวันตก เนื้อบดในเบอร์เกอร์ หรือเนื้อตุ๋นในร้านเชนสโตร์ ส่วนใหญ่มักเป็นเนื้อแช่แข็งนำเข้า สาเหตุที่เนื้อนอกครองตลาดได้เหนียวแน่นมี 2 ปัจจัยหลัก
.
1.มาตรฐานที่แม่นยำ : เนื้อจากฟาร์มขนาดใหญ่ในต่างประเทศมีการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด ตั้งแต่สายพันธุ์ อาหาร ไปจนถึงการชำแหละ ทำให้ได้เนื้อที่มีลายไขมันและรสชาติสม่ำเสมอ ซึ่งตอบโจทย์ธุรกิจร้านอาหารแฟรนไชส์ที่ต้องการความนิ่งของรสชาติ
.
2.สงครามราคา : ราคาคือปัจจัยชี้ขาด โดยเฉพาะเนื้อจากบราซิลซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าอันดับหนึ่ง ราคาเนื้อบราซิลหน้าท่าเรือจีน (CIF) ในช่วงกลางปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 32.82 หยวน/กก. ซึ่งถูกกว่าเนื้อวัวจีนในประเทศถึงกว่า 50%
.
การเลี้ยงวัวในจีนที่ส่วนใหญ่ยังเป็นเกษตรกรรายย่อย ทำให้ต้นทุนสูงกว่าและไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับเนื้อนำเข้าที่ผลิตแบบอุตสาหกรรมได้ เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวเนื้อในจีนจึงเผชิญภาวะขาดทุนอย่างหนัก จนนำไปสู่การเรียกร้องมาตรการปกป้องทางการค้า
.
■กลยุทธ์ ‘ความสด’ จุดเปลี่ยนของเนื้อวัวจีน
.
เมื่อสู้ด้วยราคาไม่ได้ เนื้อวัวจีนจึงต้องสร้างจุดขายที่เนื้อนำเข้าเลียนแบบไม่ได้ นั่นคือ "ความสดใหม่" เส้นทางของเนื้อนำเข้าจากบราซิลต้องใช้เวลาเดินทางทางเรือกว่า 2 เดือนกว่าจะถึงโต๊ะอาหารในจีน ผ่านกระบวนการแช่แข็งที่ยาวนาน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพเนื้อ การแช่แข็งทำลายเซลล์เนื้อและทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นเมื่อละลาย ในขณะที่เนื้อวัวจีนสามารถส่งตรงจากโรงฆ่าสัตว์ถึงมือผู้บริโภคได้ภายใน 48 ชั่วโมง ความสดไม่ได้ให้แค่ความรู้สึกทางใจ แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อรสชาติ
.
■ รสสัมผัส: เนื้อสดมีความนุ่มชุ่มฉ่ำ เส้นใยกล้ามเนื้อไม่ถูกทำลาย
.
สารอาหาร: กรดอะมิโนและสารให้รสชาติยังอยู่ครบถ้วน ไม่สูญหายไปกับน้ำเลือดขณะละลายน้ำแข็ง
.
ความปลอดภัย: ลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนซ้ำ และไม่ต้องใช้สารเติมแต่งเพื่ออุ้มน้ำ
ที่สำคัญ เนื้อวัวจีนมีลักษณะทางพันธุกรรมที่เหมาะกับ "ลิ้นคนจีน" และ "ครัวจีน" มากกว่า วัวเหลืองของจีน ซึ่งเป็นวัวพันธุ์พื้นเมือง มีปริมาณไขมันแทรก 3-8% ซึ่งไม่มันเลี่ยนเกินไป และไม่แห้งกระด้างเหมือนวัวกินหญ้านำเข้า เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผัดไฟแรงหรือการตุ๋นยาจีนที่ต้องการให้เจลาตินในเนื้อละลายออกมาทำให้น้ำซุปเข้มข้น
.
■ กรณีศึกษา การแก้โจทย์ Supply Chain
.
ความท้าทายใหญ่ของเนื้อสดคือ "ระบบโลจิสติกส์" และ "มาตรฐานการผลิต" แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของสดสัญชาติจีนอย่าง Dingdong Maicai (叮咚买菜) จึงเข้ามาแก้ปัญหานี้ด้วยโมเดลธุรกิจใหม่
.
Dingdong Maicai ร่วมมือกับแหล่งผลิตวัวคุณภาพสูงที่มีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เช่น "วัวเหลืองจิงหยวน" จากหนิงเซี่ย และ "วัวเหลืองซือหนาน" จากกุ้ยโจว ซึ่งเป็นวัวลูกผสมซิมเมนทอลที่เลี้ยงแบบปล่อยบนภูเขา ทำให้ได้เนื้อที่แน่นและหอม สิ่งที่ Dingdong ทำคือการสร้างมาตรฐานใหม่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ:
.
ควบคุมคุณภาพ: กำหนดมาตรฐานการเลี้ยงและการแปรรูปที่ชัดเจน
.
Cold Chain Logistics: สร้างระบบขนส่งความเย็นที่รวดเร็ว ตัวอย่างเช่น วัวจากกุ้ยโจวจะถูกส่งมาเชือดที่ซูโจว บ่มเนื้อ (Aging) และกระจายสินค้าถึงหน้าบ้านลูกค้าในเซี่ยงไฮ้ภายใน 48 ชั่วโมง
.
การตลาดที่แม่นยำ: ใช้ Data วางแผนการกระจายสินค้า และกำหนดระยะเวลาวางขายเพียง 2 วันเพื่อการันตีความสด
.
ผลลัพธ์คือยอดขายที่พุ่งกระฉูด ยอดขายวัวเหลืองจิงหยวนและซือหนานเติบโตเกือบเท่าตัว แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยอมจ่ายเพื่อ "คุณภาพ" และ "ความจริงใจ"
.
■ บทสรุป
.
ในอดีต ตลาดเนื้อวัวจีนติดอยู่ในวงจร "ขายไม่ออก> ตัดราคา > เกษตรกรขาดทุน > ลดคุณภาพ" แต่การปฏิวัติด้วย "ความสด" กำลังสร้างวงจรใหม่ เมื่อผู้บริโภคเริ่มรับรู้ถึงความแตกต่างของรสชาติและยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น เม็ดเงินส่วนต่างนี้จะไหลกลับไปสู่เกษตรกร ทำให้พวกเขามีกำไรและพร้อมที่จะลงทุนพัฒนาคุณภาพการเลี้ยงต่อไป ซึ่งจะทำให้เนื้อวัวจีนสามารถยืนหยัดและ "ผงาด" ขึ้นมาในตลาดของตัวเองได้อย่างภาคภูมิ ไม่ใช่แค่ในฐานะตัวเลือก แต่เป็น "ตัวจริง" บนโต๊ะอาหารจีน
.
#เนื้อวัว #ตลาดจีน
🐄‘เนื้อวัวจีน’ ผงาดสู้ศึกเนื้อนำเข้า กู้ศักดิ์ศรีตลาดบริโภคเนื้อเบอร์ 2 ของโลก
.
รู้ไหมว่าในปี 2019 จีนแซงหน้าบราซิลขึ้นเป็นตลาดบริโภคเนื้อวัวที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา และในปี 2024 ที่ผ่านมา ปริมาณการบริโภคเนื้อวัวของจีนทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 10.7 ล้านตัน เติบโตขึ้น 4.1% ซึ่งเป็นการทะลุหลัก 10 ล้านตันติดต่อกันเป็นปีที่สาม
.
หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1995 อัตราการเติบโตของการบริโภคเนื้อวัวต่อหัวในจีนนั้นเป็นรองเพียงแค่เนื้อสัตว์ปีกเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในอดีตผู้บริโภคชาวจีนมักคุ้นเคยแต่ชื่อเนื้อนำเข้าอย่าง "แองกัสออสเตรเลีย" หรือ "วากิวญี่ปุ่น" ในขณะที่เนื้อวัวท้องถิ่นกลับไม่มีชื่อเสียงเท่าที่ควร
.
แต่ปัจจุบัน ภาพจำเหล่านั้นกำลังเปลี่ยนไป การผุดขึ้นของร้านหม้อไฟเนื้อสดสไตล์แต้จิ๋ว หรือร้านอาหารหูหนานที่เน้นเมนูเนื้อผัดพริก กำลังสะท้อนว่าคนจีนเริ่มหันมา "อิน" กับเนื้อวัวในประเทศมากขึ้น
.
■ กำแพงสูงของ ‘เนื้อนำเข้า’ คือราคาและมาตรฐาน
.
แม้เทรนด์เนื้อในประเทศจะมาแรง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเนื้อนำเข้ายังคงเป็นยักษ์ใหญ่ จีนเปลี่ยนจากประเทศผู้ส่งออกเนื้อวัวสุทธิ มาเป็นผู้นำเข้าสุทธิตั้งแต่ปี 2013 โดยในปี 2024 ปริมาณการนำเข้าพุ่งสูงถึง 2.87 ล้านตัน ในธุรกิจอาหาร ไม่ว่าจะเป็นสเต็กในร้านอาหารตะวันตก เนื้อบดในเบอร์เกอร์ หรือเนื้อตุ๋นในร้านเชนสโตร์ ส่วนใหญ่มักเป็นเนื้อแช่แข็งนำเข้า สาเหตุที่เนื้อนอกครองตลาดได้เหนียวแน่นมี 2 ปัจจัยหลัก
.
1.มาตรฐานที่แม่นยำ : เนื้อจากฟาร์มขนาดใหญ่ในต่างประเทศมีการควบคุมคุณภาพที่เข้มงวด ตั้งแต่สายพันธุ์ อาหาร ไปจนถึงการชำแหละ ทำให้ได้เนื้อที่มีลายไขมันและรสชาติสม่ำเสมอ ซึ่งตอบโจทย์ธุรกิจร้านอาหารแฟรนไชส์ที่ต้องการความนิ่งของรสชาติ
.
2.สงครามราคา : ราคาคือปัจจัยชี้ขาด โดยเฉพาะเนื้อจากบราซิลซึ่งเป็นแหล่งนำเข้าอันดับหนึ่ง ราคาเนื้อบราซิลหน้าท่าเรือจีน (CIF) ในช่วงกลางปี 2024 อยู่ที่ประมาณ 32.82 หยวน/กก. ซึ่งถูกกว่าเนื้อวัวจีนในประเทศถึงกว่า 50%
.
การเลี้ยงวัวในจีนที่ส่วนใหญ่ยังเป็นเกษตรกรรายย่อย ทำให้ต้นทุนสูงกว่าและไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับเนื้อนำเข้าที่ผลิตแบบอุตสาหกรรมได้ เกษตรกรผู้เลี้ยงวัวเนื้อในจีนจึงเผชิญภาวะขาดทุนอย่างหนัก จนนำไปสู่การเรียกร้องมาตรการปกป้องทางการค้า
.
■กลยุทธ์ ‘ความสด’ จุดเปลี่ยนของเนื้อวัวจีน
.
เมื่อสู้ด้วยราคาไม่ได้ เนื้อวัวจีนจึงต้องสร้างจุดขายที่เนื้อนำเข้าเลียนแบบไม่ได้ นั่นคือ "ความสดใหม่" เส้นทางของเนื้อนำเข้าจากบราซิลต้องใช้เวลาเดินทางทางเรือกว่า 2 เดือนกว่าจะถึงโต๊ะอาหารในจีน ผ่านกระบวนการแช่แข็งที่ยาวนาน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพเนื้อ การแช่แข็งทำลายเซลล์เนื้อและทำให้สูญเสียความชุ่มชื้นเมื่อละลาย ในขณะที่เนื้อวัวจีนสามารถส่งตรงจากโรงฆ่าสัตว์ถึงมือผู้บริโภคได้ภายใน 48 ชั่วโมง ความสดไม่ได้ให้แค่ความรู้สึกทางใจ แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อรสชาติ
.
■ รสสัมผัส: เนื้อสดมีความนุ่มชุ่มฉ่ำ เส้นใยกล้ามเนื้อไม่ถูกทำลาย
.
สารอาหาร: กรดอะมิโนและสารให้รสชาติยังอยู่ครบถ้วน ไม่สูญหายไปกับน้ำเลือดขณะละลายน้ำแข็ง
.
ความปลอดภัย: ลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อนซ้ำ และไม่ต้องใช้สารเติมแต่งเพื่ออุ้มน้ำ
ที่สำคัญ เนื้อวัวจีนมีลักษณะทางพันธุกรรมที่เหมาะกับ "ลิ้นคนจีน" และ "ครัวจีน" มากกว่า วัวเหลืองของจีน ซึ่งเป็นวัวพันธุ์พื้นเมือง มีปริมาณไขมันแทรก 3-8% ซึ่งไม่มันเลี่ยนเกินไป และไม่แห้งกระด้างเหมือนวัวกินหญ้านำเข้า เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการผัดไฟแรงหรือการตุ๋นยาจีนที่ต้องการให้เจลาตินในเนื้อละลายออกมาทำให้น้ำซุปเข้มข้น
.
■ กรณีศึกษา การแก้โจทย์ Supply Chain
.
ความท้าทายใหญ่ของเนื้อสดคือ "ระบบโลจิสติกส์" และ "มาตรฐานการผลิต" แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของสดสัญชาติจีนอย่าง Dingdong Maicai (叮咚买菜) จึงเข้ามาแก้ปัญหานี้ด้วยโมเดลธุรกิจใหม่
.
Dingdong Maicai ร่วมมือกับแหล่งผลิตวัวคุณภาพสูงที่มีสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) เช่น "วัวเหลืองจิงหยวน" จากหนิงเซี่ย และ "วัวเหลืองซือหนาน" จากกุ้ยโจว ซึ่งเป็นวัวลูกผสมซิมเมนทอลที่เลี้ยงแบบปล่อยบนภูเขา ทำให้ได้เนื้อที่แน่นและหอม สิ่งที่ Dingdong ทำคือการสร้างมาตรฐานใหม่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ:
.
ควบคุมคุณภาพ: กำหนดมาตรฐานการเลี้ยงและการแปรรูปที่ชัดเจน
.
Cold Chain Logistics: สร้างระบบขนส่งความเย็นที่รวดเร็ว ตัวอย่างเช่น วัวจากกุ้ยโจวจะถูกส่งมาเชือดที่ซูโจว บ่มเนื้อ (Aging) และกระจายสินค้าถึงหน้าบ้านลูกค้าในเซี่ยงไฮ้ภายใน 48 ชั่วโมง
.
การตลาดที่แม่นยำ: ใช้ Data วางแผนการกระจายสินค้า และกำหนดระยะเวลาวางขายเพียง 2 วันเพื่อการันตีความสด
.
ผลลัพธ์คือยอดขายที่พุ่งกระฉูด ยอดขายวัวเหลืองจิงหยวนและซือหนานเติบโตเกือบเท่าตัว แสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคยอมจ่ายเพื่อ "คุณภาพ" และ "ความจริงใจ"
.
■ บทสรุป
.
ในอดีต ตลาดเนื้อวัวจีนติดอยู่ในวงจร "ขายไม่ออก> ตัดราคา > เกษตรกรขาดทุน > ลดคุณภาพ" แต่การปฏิวัติด้วย "ความสด" กำลังสร้างวงจรใหม่ เมื่อผู้บริโภคเริ่มรับรู้ถึงความแตกต่างของรสชาติและยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น เม็ดเงินส่วนต่างนี้จะไหลกลับไปสู่เกษตรกร ทำให้พวกเขามีกำไรและพร้อมที่จะลงทุนพัฒนาคุณภาพการเลี้ยงต่อไป ซึ่งจะทำให้เนื้อวัวจีนสามารถยืนหยัดและ "ผงาด" ขึ้นมาในตลาดของตัวเองได้อย่างภาคภูมิ ไม่ใช่แค่ในฐานะตัวเลือก แต่เป็น "ตัวจริง" บนโต๊ะอาหารจีน
.
#เนื้อวัว #ตลาดจีน