สิ้นยุคเงินฟรี: เมื่อญี่ปุ่นปิดก๊อกสภาพคล่องโลก 🔴 เปิดฉาก: เมื่อคริปโตร่วงเพราะญี่ปุ่น

สิ้นยุคเงินฟรี: เมื่อญี่ปุ่นปิดก๊อกสภาพคล่องโลก

🔴 เปิดฉาก: เมื่อคริปโตร่วงเพราะญี่ปุ่น

ต้นเดือนธันวาคม 2025 ตลาดคริปโตเคอเรนซีทั่วโลกเผชิญการขายทิ้งอย่างหนัก Bitcoin และ Ethereum ปรับฐานลงพร้อมกันอย่างรวดเร็ว นักลงทุนหลายคนตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีข่าวเศรษฐกิจใหญ่จากสหรัฐ ไม่มีวิกฤตทางการเงินใหม่ แล้วทำไมตลาดถึงสั่นสะเทือน

คำตอบที่หลายคนไม่คาดคิดคือ ญี่ปุ่น ประเทศที่อยู่อีกซีกโลก กำลังเตรียมขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0.50% เป็น 0.75% ในเดือนธันวาคมนี้ การเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนเล็กน้อยนี้ กลับส่งคลื่นกระแทกไปทั่วโลก เพราะมันหมายถึงการเริ่มต้นของการคลี่คลาย Yen Carry Trade มูลค่ากว่า 14.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หนึ่งในกลไกที่หล่อเลี้ยงตลาดการเงินโลกมานานกว่าสองทศวรรษ

-------

💰 Yen Carry Trade คืออะไร?

ลองจินตนาการว่าคุณสามารถกู้เงินจากธนาคารดอกเบี้ยเพียง 0.5% ต่อปี แล้วเอาเงินนั้นไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน 8% หรือ 10% ต่อปี คุณจะได้กำไรส่วนต่างโดยไม่ต้องใช้เงินของตัวเองเลย นี่คือหลักการพื้นฐานของ Carry Trade

ในโลกจริง นักลงทุนทั่วโลกทำสิ่งนี้กับเงินเยนมานานหลายสิบปี พวกเขากู้เงินเยนที่มีดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ แล้วนำไปแลกเป็นดอลลาร์หรือสกุลเงินอื่น เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า ไม่ว่าจะเป็นหุ้นในตลาดสหรัฐ โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี พันธบัตรผลตอบแทนสูง อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่คริปโตเคอเรนซี

ตัวเลขจาก Bank for International Settlements แสดงให้เห็นว่ามีมูลค่า Yen Carry Trade ในตลาด Foreign Exchange Swap อยู่ที่ประมาณ 14.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นจำนวนเงินที่มหาศาลจนเทียบได้กับขนาดเศรษฐกิจของจีนเกือบทั้งหมด กลไกนี้กลายเป็นหนึ่งในเสาหลักที่ค้ำจุนสภาพคล่องในตลาดการเงินโลก ทำให้ญี่ปุ่นได้รับการขนานนามว่าเป็น "ตู้เอทีเอ็มของโลก" ที่ทุกคนสามารถมากู้เงินต้นทุนต่ำไปใช้ได้

--------

## 🔄 ญี่ปุ่นเปลี่ยนไปแล้ว

เรื่องราวของญี่ปุ่นในช่วง 40 ปีที่ผ่านมาคือการต่อสู้กับภาวะเงินฝืดอย่างไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ฟองสบู่เศรษฐกิจแตกในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ประเทศนี้พยายามทุกวิถีทางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ธนาคารกลางลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือศูนย์ พิมพ์เงินจำนวนมหาศาล แต่เงินเฟ้อก็ยังไม่เกิดขึ้น เศรษฐกิจเติบโตได้แต่อย่างเชื่องช้า

แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับตาลปัตรอย่างสิ้นเชิง ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อพื้นฐานของญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับ 3.10% ในเดือนตุลาคม 2025 สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางติดต่อกันมาแล้ว 43 เดือน และที่สำคัญกว่านั้น เงินเฟ้อครั้งนี้ไม่ได้มาจากราคาน้ำมันหรือสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งชั่วคราว แต่มาจากต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้นจริงๆ ในภาคบริการ

ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับการขาดแคลนแรงงานอย่างรุนแรง ประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น คนวัยทำงานลดลง บริษัทต่างๆ ต้องแย่งชิงพนักงาน ผลักดันให้ค่าจ้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อพนักงานได้ค่าจ้างเพิ่ม พวกเขาก็คาดหวังว่าในปีหน้าจะได้เพิ่มอีก และบริษัทก็ต้องปรับราคาสินค้าและบริการเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้น สิ่งนี้เรียกว่า wage-price spiral หรือวงจรค่าจ้างและราคาที่หมุนเวียนเสริมกันไป เป็นสัญญาณว่าเงินเฟ้อจะไม่หายไปง่ายๆ

นายกรัฐมนตรี Sanae Takaichi แม้จะมีชื่อเสียงว่าเป็น "นกพิราบ" ทางการเงินที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นดอกเบี้ย ก็ไม่สามารถต้านทานแรงกดดันได้ เพราะเงินเยนที่อ่อนค่าลงจนใกล้ 160 เยนต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ราคาสินค้านำเข้าพุ่งสูง โดยเฉพาะอาหารและพลังงาน ประชาชนญี่ปุ่นบ่นมากขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นปัญหาทางการเมืองที่แก้ไม่ได้ด้วยอุดมการณ์อีกต่อไป

------

## ⚠️ เมื่อก๊อกเริ่มปิด กลไกเริ่มคลี่คลาย

เมื่อธนาคารกลางญี่ปุ่นขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้เพียงเล็กน้อย ผลกระทบต่อ Yen Carry Trade กลับรุนแรงกว่าที่คิด การขึ้นดอกเบี้ยจาก 0.50% เป็น 0.75% ดูเหมือนจะไม่มีนัยสำคัญอะไรนัก แต่สำหรับเงินกู้ขนาด 14.2 ล้านล้านดอลลาร์ ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นนับเป็นหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี

ที่สำคัญกว่านั้นคือผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อดอกเบี้ยเยนเพิ่มขึ้น นักลงทุนเริ่มมองว่าการถือเงินเยนน่าสนใจมากขึ้น ความต้องการเยนเพิ่มขึ้น ทำให้เยนแข็งค่า สำหรับนักลงทุนที่กู้เงินเยนไปลงทุนในต่างประเทศ การที่เยนแข็งค่ากลับมาหมายความว่าพวกเขาต้องใช้เงินมากขึ้นเพื่อชำระหนี้เยนคืน ตัวอย่างเช่น ถ้ากู้เยน 1 ล้านล้านไปตอนที่อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 160 เยนต่อดอลลาร์ นั่นเท่ากับ 6.25 พันล้านดอลลาร์ แต่ถ้าเยนแข็งกลับมาเป็น 140 เยนต่อดอลลาร์ จะต้องใช้เงินถึง 7.14 พันล้านดอลลาร์ในการชำระหนี้คืน ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเดียวก็เกือบ 900 ล้านดอลลาร์แล้ว

เมื่อนักลงทุนเริ่มขาดทุน โบรกเกอร์และธนาคารจะเรียก margin call เพื่อให้นักลงทุนเติมเงินหรือปิดสถานะ การปิดสถานะหมายความว่าต้องขายสินทรัพย์ที่ถืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร หรือคริปโต แล้วซื้อเยนคืนเพื่อชำระหนี้ แต่เมื่อคนจำนวนมากทำพร้อมกัน ราคาสินทรัพย์เหล่านั้นก็ตกลงมา ทำให้เกิด margin call เพิ่มขึ้นอีก ในขณะเดียวกัน การที่ทุกคนพร้อมใจกันซื้อเยนคืน ก็ทำให้เยนแข็งค่าขึ้นไปอีก นักลงทุนที่ยังไม่ได้ปิดสถานะก็ขาดทุนมากขึ้น ต้องรีบปิดสถานะ วงจรนี้หมุนเวียนไปเรื่อยๆ สร้าง feedback loop ที่ทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

นี่คือเหตุผลว่าทำไมคริปโตเคอเรนซีจึงร่วงหนักในต้นเดือนธันวาคม นักวิเคราะห์หลายคนอ้างถึงความกลัวเรื่องการคลี่คลายของ Yen Carry Trade เป็นปัจจัยหลัก เพราะคริปโตเป็นสินทรัพย์ที่มีการใช้เลเวอเรจสูง มีสภาพคล่องต่ำกว่าตลาดหุ้น และเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง จึงเป็นสินทรัพย์แรกที่ถูกขายทิ้งเมื่อนักลงทุนต้องการปิดสถานะอย่างรวดเร็ว

---------

## 📉 สินทรัพย์ไหนโดนหนักสุด

นอกจากคริปโตแล้ว หุ้นเทคโนโลยีก็เป็นอีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจน จากข้อมูลย้อนหลัง หุ้นเทคโนโลยีมักมีความสัมพันธ์เชิงลบกับค่าเงินเยน เมื่อเยนแข็งค่าขึ้น หุ้นเทคมักจะปรับฐานลง โดยเฉพาะหุ้นที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงมาก อย่างหุ้นกลุ่ม growth stocks ที่ผู้ลงทุนคาดหวังการเติบโตในอนาคต สำหรับนักลงทุนไทยที่ถือกองทุนหุ้นต่างประเทศผ่าน LTF หรือ RMF โดยเฉพาะกองที่เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี ต้องเตรียมพร้อมกับความผันผวนที่อาจเพิ่มขึ้น

ตลาดเกิดใหม่ก็ไม่รอด เมื่อสภาพคล่องในระบบการเงินโลกเริ่มลดลง เงินทุนต่างชาติมักจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ก่อน เพื่อกลับไปยังตลาดที่มีความปลอดภัยสูงกว่า หุ้นในอินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือแม้แต่ตลาดหลักทรัพย์ไทยเอง ก็อาจได้รับผลกระทบจากกระแสเงินทุนไหลออกนี้ แม้จะไม่มากเท่าตลาดอื่นที่มีการลงทุนจากต่างชาติสูงกว่า
---------

## 🌍 ภาพใหญ่: เงินทุนญี่ปุ่นไหลกลับบ้าน

ผลกระทบที่สำคัญที่สุดอาจไม่ใช่ในระยะสั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระยะยาว ญี่ปุ่นเป็นประเทศเจ้าหนี้สุทธิที่ใหญ่ที่สุดในโลก นักลงทุนสถาบันญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นกองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนประกันชีวิต หรือกองทุนบริหารสินทรัพย์ขนาดใหญ่ ถือครองพันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศจำนวนมหาศาล

เมื่อผลตอบแทนพันธบัตรในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การคำนวณเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 30 ปีตอนนี้ให้ผลตอบแทนประมาณ 3.4% ซึ่งสูงกว่าระดับที่เคยเป็นมาตลอดหลายสิบปี และเมื่อเทียบกับพันธบัตรสหรัฐที่ต้องทำ currency hedge เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ต้นทุนหลังจากป้องกันความเสี่ยงแล้วอาจไม่แตกต่างกันมากนัก หรือในบางกรณี การลงทุนในพันธบัตรญี่ปุ่นกลับให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

นี่หมายความว่ากองทุนเหล่านี้จะค่อยๆ ขายสินทรัพย์ต่างประเทศที่ถืออยู่ และนำเงินกลับมาลงทุนในประเทศ การเปลี่ยนแปลงนี้จะไม่เกิดขึ้นในวันเดียวหรือหนึ่งเดือน แต่เป็นแนวโน้มที่จะค่อยๆ ดำเนินไปในระยะหลายปี

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงที่สุด ญี่ปุ่นถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐมูลค่าประมาณ 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ เป็นเจ้าหนี้ต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ แม้ญี่ปุ่นจะไม่น่าจะขายพันธบัตรทิ้งทันที แต่การหยุดซื้อเพิ่มก็มีนัยสำคัญอยู่แล้ว โดยเฉพาะในขณะที่รัฐบาลสหรัฐยังคงมีการขาดดุลงบประมาณอย่างต่อเนื่อง ถ้านักลงทุนรายใหญ่อย่างญี่ปุ่นหยุดซื้อ คำถามก็คือ ใครจะมาซื้อแทน และจะต้องจ่ายผลตอบแทนเท่าไหร่จึงจะดึงดูดนักลงทุนรายใหม่ได้

ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมทั่วโลก ดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้าน เงินกู้ซื้อรถ เงินกู้ธุรกิจ ล้วนเคลื่อนไหวตามผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล เมื่อพันธบัตรให้ผลตอบแทนสูงขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมก็จะแพงขึ้นไปด้วย ไม่เพียงแต่ในสหรัฐ แต่ทั่วทั้งโลก

ตลาดพันธบัตรญี่ปุ่นเองก็กำลังเผชิญการปรับตัวครั้งใหญ่ พันธบัตรอายุ 2 ปีทะลุระดับ 1.0% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2008 ขณะที่พันธบัตรอายุ 30 ปีพุ่งไปที่ 3.41% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด ธนาคารกลางญี่ปุ่นเองรายงานว่ามีขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (unrealized losses) จากการถือพันธบัตรอยู่ถึง 32.8 ล้านล้านเยน ณ เดือนกันยายน 2025 ธนาคารพาณิชย์ญี่ปุ่นโดยเฉพาะธนาคารระดับภูมิภาคที่สะสมพันธบัตรไว้จำนวนมากในช่วงที่ผลตอบแทนเป็นศูนย์ ก็กำลังประเมินมูลค่าพอร์ตการลงทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

--------

## 🛡️ นักลงทุนไทยควรทำอย่างไร

สำหรับนักลงทุนไทยทั่วไป สิ่งแรกที่ต้องทำคือเข้าใจความเสี่ยงที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนของตัวเอง กองทุนรวมหุ้นต่างประเทศที่เน้นลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี กองทุนที่ลงทุนกระจายทั่วโลก หรือกองทุนที่เน้นตลาดเกิดใหม่ ล้วนมีโอกาสเผชิญความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้ ไม่ได้หมายความว่าต้องขายออกทั้งหมด แต่ควรทบทวนว่าสัดส่วนการลงทุนยังเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้หรือไม่
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
Boyles bigmove club

CR https://www.facebook.com/share/17joj9bb1h/?mibextid=wwXIfr

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่