สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาวพันทิปที่น่ารักทุกคน 🙏🏻
ช่วงนี้เราหันมาทาน Omega 3 เพื่อบำรุงมากขึ้น เพราะว่า ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมทั้งวัน จ้องจอคอมยาว ๆ จนบางทีมีตาล้า สมองเบลอบ้าง
เลยเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารเสริม Omega 3 ค่ะ พบว่า Omega 3 ไม่ได้มีแค่ในน้ำมันปลาเท่านั้น และยังมีหลาย ๆ แบบด้วย วันนี้เลยอยากลองมาแชร์อาหารเสริม Omega 3 ที่เคยลองทาน เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังมองหาทานอยู่ค่ะ
🐟
1. Fish Oil – น้ำมันปลา
น้ำมันปลา เป็นอาหารเสริมตัวพื้นฐานที่สุดของการเริ่มทาน Omega 3 เลยค่ะ หลายคนน่าจะรู้จักค่อนข้างดีอยู่แล้ว ในท้องตลาดมีหลากหลายแบรนด์ เช่น Blackmores, Mega Wecare, Vistra ฯลฯ เราเองก็เคยลองทานมาหลายยี่ห้อเลยค่ะ
ข้อดี
⭐ ให้ Omega 3 ชนิด EPA และ DHA สูง
⭐ มีหลายสูตรให้เลือก เช่น สูตร Standard 1000 mg, สูตร Triple strength เหมาะกับคนที่ต้องการบำรุงแบบจัดเต็ม, สูตรที่เน้น DHA สำหรับการบำรุงสมอง
⭐ ราคาไม่ได้สูงมาก คุ้มค่าเมื่อเทียบกับปริมาณ
⭐ หาซื้อง่าย แทบจะมีทุกที่ตั้งแต่ร้านขายยายันร้านค้าซูเปอร์มาร์เก็ต
ข้อจำกัด
📍 ขนาดเม็ดค่อนข้างใหญ่ คนที่ไม่ชินอาจกลืนลำบาก
📍 ต้องทานพร้อมมื้ออาหาร หากทานตอนท้องว่างแล้วดูดซึมไม่หมดอาจมีอาการเรอเป็นกลิ่นคาวปลา
📍 ถ้าเลือกแบรนด์ที่คุณภาพไม่ดี ไม่มีการรับรอง มีความเสี่ยงเจอสารปนเปื้อนโลหะหนัก
📍 บางแบรนด์มีกลิ่นหืนของน้ำมันปลาค่อนข้างแรง ควรเลือกแบรนด์ที่เคลือบเม็ดดี ๆ
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ [รูป]
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
🦐
2. Krill Oil – น้ำมันคริลล์
อันนี้เป็นตัวที่เพิ่งรู้จักไม่นาน แต่พอได้ลองแล้ว แอบชอบมากกว่าแบบน้ำมันปลา เพราะทานค่อนข้างง่าย สะดวก ในประเทศไทยยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่ ตอนนี้เท่าที่ลองค้นหาดูเจอแค่ไม่กี่แบรนด์ อย่าง Pure Krill Oil, Cholezz, Nutra Krill
ข้อดี
⭐ ดูดซึมง่ายกว่า เพราะ Omega 3 อยู่ในรูปฟอสโฟลิปิดที่ร่างกายใช้ได้ทันที
⭐ กลิ่นคาวน้อยมาก แทบไม่มีอาการเรอคาวเหมือนเวลาทานน้ำมันปลา
⭐ เม็ดเล็กกว่า กลืนง่าย เหมาะกับคนที่ไม่ชอบกลืนแคปซูลใหญ่ ๆ
⭐ ให้แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) สารต้านอนุมูลอิสระสีแดงในธรรมชาติไปในตัว ทำให้น้ำมันมีสีแดงสวย กลิ่นหืนน้อย มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย
ข้อจำกัด
📍 ราคาค่อนข้างสูง เพราะว่าวัตถุดิบมาจากตัวคริลล์ที่อาศัยบริเวณขั้วโลกใต้
📍 ปริมาณ Omega 3 ต่อเม็ดน้อยกว่า ถ้าต้องการปริมาณสูงอาจต้องทานหลายเม็ด
📍 มียี่ห้อให้เลือกไม่เยอะ ในไทยยังไม่ค่อยมี ต้องเช็กรีวิว/คุณภาพแต่ละยี่ห้อดี ๆ ตัวอย่างยี่ห้อของวัตถุดิบที่ค่อนข้างดังในต่างประเทศ เช่น Superba, NKO
📍 คนแพ้อาหารทะเล เช่น กุ้ง ปู ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้มีอาการแพ้ได้
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ [รูป]
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
🌱
3. Plant-based Omega 3 – โอเมก้า 3 จากพืช
หลายคนอาจไม่รู้ว่า Omega 3 ก็มาจากพืชได้เช่นกันค่ะ เช่น Flaxseed Oil, Chia Seed Oil, Perilla Oil เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ในไทยยังไม่ไม่ค่อยมีอาหารเสริม Omega 3 ชนิดนี้มากเท่าไหร่
ข้อดี
⭐ เป็น Omega 3 ทางเลือก สำหรับคนทานมังสวิรัติ หรือแพ้อาหารทะเล
⭐ ทานง่าย ไม่ค่อยมีกลิ่นคาว
⭐ ได้สารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์จากพืชไปด้วย เช่น Vitamin E, Polyphenols ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
ข้อจำกัด
📍 ให้ปริมาณ EPA และ DHA น้อยกว่า เพราะ Omega 3 จากพืชจะให้รูปแบบ ALA ต้องเปลี่ยนให้ไปเป็น EPA และ DHA อีกทีในร่างกาย
📍 หากต้องการ Omega 3 ชนิด EPA และ DHA ในปริมาณสูง อาจต้องทานจำนวนหลายเม็ด
📍 ราคากลาง ๆ - สูงกว่า เมื่อเทียบกับน้ำมันปลา
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ [รูป]
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
✨ สรุป: แล้วควรเลือกทาน Omega 3 ผลิตภัณฑ์แบบไหนดี?
ผลิตภัณฑ์ Omega 3 แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกันไป ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละคนเลยค่ะ
✅ น้ำมันปลา → เน้นปริมาณ คุ้มค่า ราคาไม่แรง
✅ น้ำมันคริลล์ → เน้นดูดซึมดี เม็ดเล็ก ทานง่าย ไม่คาว
✅ โอเมก้า 3 จากพืช → สำหรับสายมังสวิรัติ หรือแพ้อาหารทะเล
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเลือกทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Omega 3 แบบไหน ให้ดูมาตรฐานการผลิตและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ด้วยนะคะ เพราะคุณภาพของน้ำมันก็สำคัญต่อการดูแลสุขภาพด้วยเช่นกัน
หวังว่าประสบการณ์เล็ก ๆ ที่แชร์นี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ เลือกทาน Omega 3 ที่เหมาะกับตัวเองได้ง่ายขึ้นนะคะ❤️ หากมีประสบการณ์เคยลองทานตัวไหนแล้วชอบ/ไม่ชอบ อย่างไร มาแชร์กันได้นะคะ ขอบคุณค่ะ🙏🏻
[CR] อาหารเสริม Omega 3 แบบง่าย ๆ เลือกทานตัวไหนดี?
ช่วงนี้เราหันมาทาน Omega 3 เพื่อบำรุงมากขึ้น เพราะว่า ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมทั้งวัน จ้องจอคอมยาว ๆ จนบางทีมีตาล้า สมองเบลอบ้าง
เลยเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอาหารเสริม Omega 3 ค่ะ พบว่า Omega 3 ไม่ได้มีแค่ในน้ำมันปลาเท่านั้น และยังมีหลาย ๆ แบบด้วย วันนี้เลยอยากลองมาแชร์อาหารเสริม Omega 3 ที่เคยลองทาน เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับคนที่กำลังมองหาทานอยู่ค่ะ
🐟 1. Fish Oil – น้ำมันปลา
น้ำมันปลา เป็นอาหารเสริมตัวพื้นฐานที่สุดของการเริ่มทาน Omega 3 เลยค่ะ หลายคนน่าจะรู้จักค่อนข้างดีอยู่แล้ว ในท้องตลาดมีหลากหลายแบรนด์ เช่น Blackmores, Mega Wecare, Vistra ฯลฯ เราเองก็เคยลองทานมาหลายยี่ห้อเลยค่ะ
ข้อดี
⭐ ให้ Omega 3 ชนิด EPA และ DHA สูง
⭐ มีหลายสูตรให้เลือก เช่น สูตร Standard 1000 mg, สูตร Triple strength เหมาะกับคนที่ต้องการบำรุงแบบจัดเต็ม, สูตรที่เน้น DHA สำหรับการบำรุงสมอง
⭐ ราคาไม่ได้สูงมาก คุ้มค่าเมื่อเทียบกับปริมาณ
⭐ หาซื้อง่าย แทบจะมีทุกที่ตั้งแต่ร้านขายยายันร้านค้าซูเปอร์มาร์เก็ต
ข้อจำกัด
📍 ขนาดเม็ดค่อนข้างใหญ่ คนที่ไม่ชินอาจกลืนลำบาก
📍 ต้องทานพร้อมมื้ออาหาร หากทานตอนท้องว่างแล้วดูดซึมไม่หมดอาจมีอาการเรอเป็นกลิ่นคาวปลา
📍 ถ้าเลือกแบรนด์ที่คุณภาพไม่ดี ไม่มีการรับรอง มีความเสี่ยงเจอสารปนเปื้อนโลหะหนัก
📍 บางแบรนด์มีกลิ่นหืนของน้ำมันปลาค่อนข้างแรง ควรเลือกแบรนด์ที่เคลือบเม็ดดี ๆ
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ [รูป]
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
🦐 2. Krill Oil – น้ำมันคริลล์
อันนี้เป็นตัวที่เพิ่งรู้จักไม่นาน แต่พอได้ลองแล้ว แอบชอบมากกว่าแบบน้ำมันปลา เพราะทานค่อนข้างง่าย สะดวก ในประเทศไทยยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่ ตอนนี้เท่าที่ลองค้นหาดูเจอแค่ไม่กี่แบรนด์ อย่าง Pure Krill Oil, Cholezz, Nutra Krill
ข้อดี
⭐ ดูดซึมง่ายกว่า เพราะ Omega 3 อยู่ในรูปฟอสโฟลิปิดที่ร่างกายใช้ได้ทันที
⭐ กลิ่นคาวน้อยมาก แทบไม่มีอาการเรอคาวเหมือนเวลาทานน้ำมันปลา
⭐ เม็ดเล็กกว่า กลืนง่าย เหมาะกับคนที่ไม่ชอบกลืนแคปซูลใหญ่ ๆ
⭐ ให้แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) สารต้านอนุมูลอิสระสีแดงในธรรมชาติไปในตัว ทำให้น้ำมันมีสีแดงสวย กลิ่นหืนน้อย มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย
ข้อจำกัด
📍 ราคาค่อนข้างสูง เพราะว่าวัตถุดิบมาจากตัวคริลล์ที่อาศัยบริเวณขั้วโลกใต้
📍 ปริมาณ Omega 3 ต่อเม็ดน้อยกว่า ถ้าต้องการปริมาณสูงอาจต้องทานหลายเม็ด
📍 มียี่ห้อให้เลือกไม่เยอะ ในไทยยังไม่ค่อยมี ต้องเช็กรีวิว/คุณภาพแต่ละยี่ห้อดี ๆ ตัวอย่างยี่ห้อของวัตถุดิบที่ค่อนข้างดังในต่างประเทศ เช่น Superba, NKO
📍 คนแพ้อาหารทะเล เช่น กุ้ง ปู ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาจทำให้มีอาการแพ้ได้
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ [รูป]
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
🌱 3. Plant-based Omega 3 – โอเมก้า 3 จากพืช
หลายคนอาจไม่รู้ว่า Omega 3 ก็มาจากพืชได้เช่นกันค่ะ เช่น Flaxseed Oil, Chia Seed Oil, Perilla Oil เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ในไทยยังไม่ไม่ค่อยมีอาหารเสริม Omega 3 ชนิดนี้มากเท่าไหร่
ข้อดี
⭐ เป็น Omega 3 ทางเลือก สำหรับคนทานมังสวิรัติ หรือแพ้อาหารทะเล
⭐ ทานง่าย ไม่ค่อยมีกลิ่นคาว
⭐ ได้สารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์จากพืชไปด้วย เช่น Vitamin E, Polyphenols ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
ข้อจำกัด
📍 ให้ปริมาณ EPA และ DHA น้อยกว่า เพราะ Omega 3 จากพืชจะให้รูปแบบ ALA ต้องเปลี่ยนให้ไปเป็น EPA และ DHA อีกทีในร่างกาย
📍 หากต้องการ Omega 3 ชนิด EPA และ DHA ในปริมาณสูง อาจต้องทานจำนวนหลายเม็ด
📍 ราคากลาง ๆ - สูงกว่า เมื่อเทียบกับน้ำมันปลา
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ [รูป]
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
✨ สรุป: แล้วควรเลือกทาน Omega 3 ผลิตภัณฑ์แบบไหนดี?
ผลิตภัณฑ์ Omega 3 แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกันไป ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์และความต้องการของแต่ละคนเลยค่ะ
✅ น้ำมันปลา → เน้นปริมาณ คุ้มค่า ราคาไม่แรง
✅ น้ำมันคริลล์ → เน้นดูดซึมดี เม็ดเล็ก ทานง่าย ไม่คาว
✅ โอเมก้า 3 จากพืช → สำหรับสายมังสวิรัติ หรือแพ้อาหารทะเล
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะเลือกทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Omega 3 แบบไหน ให้ดูมาตรฐานการผลิตและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ด้วยนะคะ เพราะคุณภาพของน้ำมันก็สำคัญต่อการดูแลสุขภาพด้วยเช่นกัน
หวังว่าประสบการณ์เล็ก ๆ ที่แชร์นี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ เลือกทาน Omega 3 ที่เหมาะกับตัวเองได้ง่ายขึ้นนะคะ❤️ หากมีประสบการณ์เคยลองทานตัวไหนแล้วชอบ/ไม่ชอบ อย่างไร มาแชร์กันได้นะคะ ขอบคุณค่ะ🙏🏻
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้