วิธีรักษาแบตฯ ให้นานที่สุด ใช้ฉุกเฉิน ช่วงน้ำท่วม ได้ทั้ง iOS และ Android ยืดระยะเวลาใช้งานไว้ขอความช่วยเหลือ
สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ยังน่าเป็นห่วง สิ่งที่สำคัญที่สุดในยามฉุกเฉิน ที่ไฟฟ้าอาจเข้าไม่ถึง คือการรักษาพลังงานในโทรศัพท์มือถือไว้ให้ได้นานที่สุด เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารหรือขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น แอดเลยขอสรุปเทคนิคการยืดอายุแบตเตอรี่แบบเร่งด่วนที่ทำตามได้ง่าย ๆ กับทุกรุ่นมาฝากกัน ใช้ได้ทั้งระบบ Android และ iOS
1. เปิด Battery Saver Mode หรือโหมดประหยัดพลังงาน (หรือใน iPhone คือ 'Low Power Mode' ซึ่งโหมดนี้ จะคอยตัดทุกสิ่งอย่างที่ไม่จำเป็น เช่นการทำงานพื้นหลัง การปรับลด Refresh Rate หน้าจอลง หรือการปรับอินเทอร์เน็ตจาก 5G ลงมาเป็น 4G ซึ่งจะช่วยให้เราไม่ต้องนั่งตั้งค่าอะไร กดปุ่มเดียว ก็ประหยัดพลังงานได้เลย
2. ลดแสงหน้าจอ และปรับการแสดงผล เพราะหน้าจอเป็นหนึ่งในส่วนที่ใช้พลังงานสูงสุด ให้ปรับลดความสว่างลง ให้ต่ำที่สุดเท่าที่สายตายังมองเห็นได้ หากมือถือรุ่นไหนใช้หน้าจอแบบ OLED การเปิดโหมดมืด (Dark Mode) จะช่วยประหยัดไฟได้มาก และหากตั้งค่าหน้าจอไว้ที่ Refresh Rate สูงๆ ให้ปรับลดลงมาเหลือแค่มาตรฐาน หรือที่ 60Hz
3. งดใช้แอปพลิเคชันที่กินพลังงานสูง เช่นการเปิดกล้องถ่ายรูปค้างไว้ หรือการเข้าแอปพลิเคชันเกมที่มีการประมวลผลกราฟิกหนัก ๆ เพราะจะทำให้แบตเตอรี่ลดฮวบอย่างรวดเร็ว ให้เลือกเปิดใช้เฉพาะแอปฯ ที่จำเป็นต่อการสื่อสารเท่านั้น
4. ตัดการเชื่อมต่อไร้สายที่ไม่จำเป็น แนะนำให้เปิดโหมดเครื่องบิน (Airplane Mode) แล้วปิดระบบ Wi-Fi, Bluetooth และ GPS ทิ้งทั้งหมด เมื่อต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ต เพื่อเช็กข่าวสารหรือส่งข้อความ ค่อยปิดโหมดเครื่องบินและเปิดใช้สัญญาณ 4G เป็นช่วง ๆ เท่าที่จำเป็น
วิธีรักษาแบตฯ ให้นานที่สุด ใช้ฉุกเฉิน ช่วงน้ำท่วม ได้ทั้ง iOS และ Android ยืดระยะเวลาใช้งานไว้ขอความช่วยเหลือ
สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ยังน่าเป็นห่วง สิ่งที่สำคัญที่สุดในยามฉุกเฉิน ที่ไฟฟ้าอาจเข้าไม่ถึง คือการรักษาพลังงานในโทรศัพท์มือถือไว้ให้ได้นานที่สุด เพื่อใช้ติดต่อสื่อสารหรือขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น แอดเลยขอสรุปเทคนิคการยืดอายุแบตเตอรี่แบบเร่งด่วนที่ทำตามได้ง่าย ๆ กับทุกรุ่นมาฝากกัน ใช้ได้ทั้งระบบ Android และ iOS
1. เปิด Battery Saver Mode หรือโหมดประหยัดพลังงาน (หรือใน iPhone คือ 'Low Power Mode' ซึ่งโหมดนี้ จะคอยตัดทุกสิ่งอย่างที่ไม่จำเป็น เช่นการทำงานพื้นหลัง การปรับลด Refresh Rate หน้าจอลง หรือการปรับอินเทอร์เน็ตจาก 5G ลงมาเป็น 4G ซึ่งจะช่วยให้เราไม่ต้องนั่งตั้งค่าอะไร กดปุ่มเดียว ก็ประหยัดพลังงานได้เลย
2. ลดแสงหน้าจอ และปรับการแสดงผล เพราะหน้าจอเป็นหนึ่งในส่วนที่ใช้พลังงานสูงสุด ให้ปรับลดความสว่างลง ให้ต่ำที่สุดเท่าที่สายตายังมองเห็นได้ หากมือถือรุ่นไหนใช้หน้าจอแบบ OLED การเปิดโหมดมืด (Dark Mode) จะช่วยประหยัดไฟได้มาก และหากตั้งค่าหน้าจอไว้ที่ Refresh Rate สูงๆ ให้ปรับลดลงมาเหลือแค่มาตรฐาน หรือที่ 60Hz
3. งดใช้แอปพลิเคชันที่กินพลังงานสูง เช่นการเปิดกล้องถ่ายรูปค้างไว้ หรือการเข้าแอปพลิเคชันเกมที่มีการประมวลผลกราฟิกหนัก ๆ เพราะจะทำให้แบตเตอรี่ลดฮวบอย่างรวดเร็ว ให้เลือกเปิดใช้เฉพาะแอปฯ ที่จำเป็นต่อการสื่อสารเท่านั้น
4. ตัดการเชื่อมต่อไร้สายที่ไม่จำเป็น แนะนำให้เปิดโหมดเครื่องบิน (Airplane Mode) แล้วปิดระบบ Wi-Fi, Bluetooth และ GPS ทิ้งทั้งหมด เมื่อต้องการใช้งานอินเทอร์เน็ต เพื่อเช็กข่าวสารหรือส่งข้อความ ค่อยปิดโหมดเครื่องบินและเปิดใช้สัญญาณ 4G เป็นช่วง ๆ เท่าที่จำเป็น