ตอนที่ 17 ทศวรรษแห่งความตกต่ำ ค.ศ.1930-1939

ในทศวรรษนี้..หากเราเดินไปตามท้องถนนในสหรัฐอเมริกา ทุกๆ 3 คนที่เราพบเจอ จะมี 1 คนที่ตกงาน ปัจจัยหนึ่งเกิดจากวิกฤติการล่มของตลาดหุ้นในปี ค.ศ. 1929 ที่ลุกลามจนนํามาสู่การปิดกิจการของบริษัท ห้างร้านสําหรับคนที่กู้ธนาคารมา ก็ไม่มีเงินใช้หนี้ จนธนาคารต้องแบกรับภาระหนี้เสีย มากมาย เมื่อประชาชนคนฝากเงินรู้เรื่องนี้ ก็รีบแห่กันไปถอนเงินจากธนาคาร ผลคือธนาคารขาดเงิน และนํามาสู่การล้มละลายนับพันแห่งในช่วงปี ค.ศ. 1932 - ค.ศ. 1933

เมื่อกิจการห้างร้านปิด ธนาคารล้ม ผู้คนจึงตกงาน ยิ่งซ้ำเติมให้การบริโภคลดลง การตกงานจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนท้ายที่สุดสหรัฐอเมริกาได้ปรับขึ้นภาษีสินค้านําเข้าและส่งออกเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศและเรื่องนี้นํามาสู่การขึ้นภาษีของประเทศในยุโรปเช่นเดียวกัน

การค้าของโลกจึงหดตัวลงทันทีถึง 1 ใน 3
เมื่อแต่ละประเทศต้องรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจ
จึงนํามาสู่การปฏิวัติทางระบบการเงิน คือการยกเลิกระบบมาตรฐานทองคํา (Gold Standard) ระบบมาตรฐานทองคํา ริเริ่มโดยจักรวรรดิอังกฤษในศตวรรษที่ 19 ตามมาตรฐานทองคํานั้น เงินจะถูกพิมพ์ออกมาโดยเลื่อนลอยไม่ได้ หากแต่ต้องมีทองคําเป็นตัวหนุนหลังในฐานะ “ใบแทนทองคํา”

แต่ในยามวิกฤติ แต่ละประเทศต่างต้องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายใน ลดปัญหาคนว่างงาน และเพิ่มสวัสดิการให้แก่ประชาชน ซึ่งหากท่าเช่นนี้
ต้องใช้เงินในระบบมหาศาลซึ่งจะมากเกินกว่าปริมาณทองคําที่มี

แล้วรัฐบาลแต่ละประเทศแก้ปัญหาการมีทองคําไม่พออย่างไร?

คําตอบง่ายๆ ก็คือ ยกเลิกการผูกติดสกุลเงินกับทองคํา แล้วเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัว กล่าวคือสกุลเงินของ แต่ละประเทศนั้นจะเคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดอย่างอิสระ
แม้ตอนนั้นสหรัฐอเมริกาจะเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดมาแล้วระยะหนึ่ง

แต่ในแง่การเงิน เงินดอลลาร์สหรัฐยังคงมีบทบาทระหว่างประเทศน้อยกว่า เงินปอนด์ของอังกฤษ
แต่การเปลี่ยนแปลงระบบการเงินของโลกในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ทําให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เริ่มก้าวขึ้นมาเป็นสกุลเงินหลักของโลก ส่วนในเยอรมนี ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ํา อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ หัวหน้าพรรคนาซีได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นําเผด็จการเบ็ดเสร็จแต่เพียงผู้เดียวในปี ค.ศ. 1934 และได้ริเริ่มแผนการฟื้นฟูเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน

หนึ่งในนั้นคือการขยายกองกําลังทางทหาร และการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ขนานใหญ่

ฝั่งทวีปเอเชีย ภายใต้หลักการ “ประเทศมั่งคั่ง การทหารเข้มแข็ง” ในยุคนี้อุตสาหกรรมมากมายเกิดขึ้นในญี่ปุ่น รวมถึงแสนยานุภาพทางการ ทหารก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว นําไปสู่การเป็นมหาอํานาจใหม่ของโลก
จักรวรรดิญี่ปุ่นซึ่งยึดครองคาบสมุทรเกาหลีอยู่แล้ว ได้บุกยึดแมนจูเรีย และเมืองใหญ่อื่นๆ ของจีน ทั้งกรุงปักกิ่ง เทียนจิน และนานกิง ได้ในปี
ค.ศ. 1937

บริษัทระดับโลกที่ก่อตั้งขึ้นมาในช่วงทศวรรษนี้
ส่วนใหญ่จึงเป็นบริษัทอุตสาหกรรมสัญชาติญี่ปุ่นและเยอรมัน

Porsche ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1931 จากนักประดิษฐ์ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยการเป็นที่ปรึกษาด้านการพัฒนามอเตอร์และเครื่องยนต์

Nissan ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1933 ถือกําเนิดจากบริษัทที่ผลิตรถบรรทุก เครื่องบิน และเครื่องยนต์ให้แก่กองทัพญี่ปุ่น

Volkswagen ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1937 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นําแห่งเยอรมนี ต้องการให้ผลิตรถที่ทนทานในราคา ย่อมเยาสําหรับชาวเยอรมัน ให้สมกับความหมายของชื่อ ที่แปลว่า “รถของประชาชน”
Toyota ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1937
โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชัน ถูกก่อตั้งขึ้นโดยเป็นการแตกออกมาจาก บริษัทแม่ คือ โตโยต้า อินดรัสทรีส์ เพื่อผลิตรถยนต์โดยเฉพาะ

Samsung ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1938 ในขณะที่คาบสมุทรเกาหลียังถูกยึดครองโดยญี่ปุ่น บริษัทซัมซุงถูกก่อตั้ง โดยเริ่มต้นจากธุรกิจการส่งออกปลาแห้ง

แม้จะเป็นช่วงเศรษฐกิจตกต่ํา แต่จํานวนประชากรโลกก็ยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยในปี ค.ศ. 1939 ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ
สาธารณรัฐจีน 516.0 ล้านคน
อินเดีย 381.4 ล้านคน
สหภาพโซเวียต 192.4 ล้านคน
สหรัฐอเมริกา 131.5 ล้านคน
จักรวรรดิญี่ปุ่น 72.4 ล้านคน

เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ที่ทรุดตัวลงในช่วงต้นทศวรรษ ได้รับการแก้ไขโดย โครงการนิวดีล (New Deal) ของประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์แห่ง สหรัฐอเมริกา โดยการเพิ่มสวัสดิการ ขยายการจ้างงาน ด้วยโครงการก่อสร้างของรัฐ ทั้ง ถนน โรงเรียน และเขื่อน จึงทําให้ในช่วงปลายทศวรรษ เศรษฐกิจ เริ่มกระเตื้อง ขึ้นมาบ้าง
ประเทศที่มี GDP มากที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1939 เทียบเป็นมูลค่าในปี ค.ศ. 2018
สหรัฐอเมริกา 52.2 ล้านล้านบาท
สหภาพโซเวียต 26.0 ล้านล้านบาท
เยอรมนี 22.7 ล้านล้านบาท
สหราชอาณาจักร 18.2 ล้านล้านบาท
สาธารณรัฐจีน 17.5 ล้านล้านบาท


แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจที่ยังคงสะสมอยู่ การค้าระหว่างประเทศ ที่ลดลง และความวุ่นวายของการกีดกันทางการค้ารวมกับปัญหาสนธิสัญญาสันติภาพที่ “ไม่ยุติธรรม” ซึ่งถูกทิ้งไว้หลัง

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

เยอรมนีภายใต้การนําของฮิตเลอร์ ซึ่งได้ขยายแสนยานุภาพทางการทหารจนยิ่งใหญ่ เริ่มเรียกร้องความยุติธรรมที่ตัวเองสูญเสียไปด้วยการก่อสงคราม โดยเริ่มการเคลื่อนพลเข้าสู่โปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 และสิ่งนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของมหาสงครามที่มีผลทําลายล้างอย่างเป็นวงกว้างมากที่สุดตั้งแต่มนุษย์เคยพบเจอ

“สงครามโลกครั้งที่ 2”...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่