“Deutschland über alles”
คือประโยคขึ้นต้นของเพลงชาติเยอรมนีในยุคการปกครองของพรรคนาซี ประโยคนี้มีความหมายว่า “เยอรมนีเหนือทุกสรรพสิ่ง”
กองทัพเยอรมันบุกโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 ก่อนจะรุกรานไปยังดินแดนยุโรปอื่นๆ ทั้งยุโรปตะวันออก เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และฝรั่งเศส นำมาสู่การประกาศสงคราม ระหว่างกลุ่มประเทศที่เป็นพันธมิตรกันสองฝ่าย
ฝ่ายอักษะ ผู้นำประกอบไปด้วย เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น
ฝ่ายสัมพันธมิตร ผู้นำประกอบไปด้วย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต
สงครามโลกครั้งที่ 2 ถือกำเนิดแล้ว..
ความชาตินิยมในเชื้อชาติเยอรมัน ซึ่งถูกปลุกระดมโดยผู้นำเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นำมาสู่การพยายามขับไล่ผู้คนเชื้อชาติอื่นให้ออกไปจากแผ่นดินของชาวเยอรมันโดยเฉพาะ “ชาวยิว”ตั้งแต่พรรคนาซีก้าวขึ้นมามีอำนาจ ได้ออกกฎหมายหลายฉบับเพื่อจำกัดสิทธิของชาวยิว เช่น กฎหมายนูเรมเบิร์กที่จำกัดสิทธิการเป็นพลเมืองของชาวยิว
หรือกฎหมาย Aryanisation ที่มีเป้าหมายเพื่อยึดทรัพย์สินชาวยิว กองทัพเยอรมันบุกรุกประเทศอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อขยายดินแดน โดยเฉพาะ
ยุโรปตะวันออก ซึ่งมีชาวยิวอาศัยอยู่จำนวนไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน
เรื่องนี้นำมาสู่การจัดตั้ง “ค่ายกักกัน” เพื่อรวบรวมชาวยิวจากทั่วยุโรปในปีค.ศ. 1941 แต่เมื่อผู้ถูกกักกันมีจำนวนมากขึ้น ท้ายที่สุด จึงนำมาสู่การสังหารด้วยวิธีต่างๆ ทั้งรมแก๊สพิษ และบังคับ
ใช้แรงงานจนเสียชีวิตนับเป็นการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งมีขาวยิวเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้กว่า 6 ล้านคน
เหตุการณ์สังหารหมู่เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในทวีปยุโรป
เพราะอีกซีกโลกหนึ่ง พันธมิตรฝ่ายอักษะอีกประเทศหนึ่งก็กำลังกระทำเช่นเดียวกันในทวีปเอเชีย กองทัพญี่ปุ่นซึ่งยึดครองคาบสมุทรเกาหลี เกาะไต้หวัน และจีนบางส่วนโดยเฉพาะในนานกิง ปี ค.ศ. 1937 ทหารญี่ปุ่นได้สังหารหมู่ชาวจีนในเมืองนานกิงกว่า 4 แสนคน การกระทำอันอุกอาจนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีนกับญี่ปุ่นยัง
คงย่ำแย่มาจนถึงปัจจุบัน
แสนยานุภาพของกองทัพทำให้จักรวรรดิญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอเชีย กองทัพญี่ปุ่นได้บุกยึดครองดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทั้งหมด ทั้งฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รวมถึงบังคับให้รัฐบาลสยามยอมให้เป็นทางผ่านไปยังพม่า
ญี่ปุ่นก่อสงครามหลายครั้งในมหาสมุทรแปซิฟิก และทิ้งระเบิดฐานทัพสหรัฐฯ ณ อ่าวเพิร์ล หมู่เกาะฮาวาย ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1941
เรื่องนี้เป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาตัดสินใจเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งนี้
ภายใต้ฝุ่นควันของสงครามความกดดันบีบคั้น นำมาสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เทคโนโลยีที่เคยอยู่บนแผ่นกระดาษทั้งหลาย ต่างถูกนำมาสานต่อเพื่อ
การทําลายล้าง..
ระบบเรดาร์ (Radar) คือ ระบบที่ใช้คลื่นวิทยุเป็นเครื่องมือในการระบุระยะทาง ความสูง ทิศทาง
และความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ แม้องค์ความรู้ด้านเรดาร์จะถูกค้นพบมาก่อนหลายสิบปี แต่การพัฒนาเพื่อการทหารในช่วงระหว่างสงครามโลก
ครั้งที่ 2 ก็ทำให้ระบบเรดาร์ถูกนำมาใช้ในการตรวจหา และติดตามทั้งเรือและเครื่องบิน
เครื่องยนต์ไอพ่น (Jet Engine) เพื่อต่อกรกับเครื่องบินรบของเยอรมัน กองทัพอังกฤษจึงพัฒนาเครื่องบินรบ“Gloster Meteor” ซึ่งมีการใช้เครื่องยนต์ที่ต้องอาศัยอากาศมาทำการอัดทำให้เกิดแรงดันสูง ส่งไปด้านหลัง และทำให้เครื่องบินเคลื่อนที่ไปทางด้านหน้าด้วยความเร็วทะลุเวหา
Colossus Computer เพื่อถอดรหัสการสื่อสารระหว่างฮิตเลอร์ และเหล่านายพลเยอรมัน
นำมาสู่การรวมตัวของเหล่านักคณิตศาสตร์ใน “Bletchley Park" กรุงลอนดอน เพื่อสร้างเครื่อง Colossus Computer ซึ่งนับได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์
เครื่องแรกของโลก
อาวุธนิวเคลียร์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ผู้อพยพหนีภัยการสังหารล้าง
เผ่าพันธุ์มายังสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้เผยแพร่ทฤษฎีสัมพัทธภาพ หลังจากที่สหรัฐอเมริกา ประกาศเข้าร่วมสงครามโลก ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ได้จัดตั้งโครงการแมนฮัตตัน
(Manhattan Project) และนำทฤษฎีของไอน์สไตน์มาพัฒนาเป็นอาวุธนิวเคลียร์
ซึ่งท้ายที่สุด ก็เป็นอาวุธนิวเคลียร์นี้เอง ที่เป็นผู้ปิดฉากสงครามโลกที่ยืดเยื้อมานานกว่า 6 ปี
เมื่อกองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงใจกลางเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1945 สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่คร่าชีวิตผู้คนกว่า 50 ล้านคน ก็ถึงคราวสิ้นสุดลง
หลังสงครามสิ้นสุด เทคโนโลยีที่เคยถูกพัฒนาเพื่อการทำลายล้าง ถูกนำมาใช้ในทางสร้างสันติ
ระบบเรดาร์กลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการควบคุมการจราจรทางอากาศ เครื่องยนต์ไอพ่นถูกนำมาใช้ในวิศวกรรมการบิน ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากคอมพิวเตอร์เครื่องแรก และองค์ความรู้ด้านฟิสิกส์นิวเคลียร์ถูกนำมาใช้ในทางปรมาณูเพื่อสันติ
ภายหลังสงคราม
เยอรมนีในฐานะผู้พ่ายแพ้ ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรแบ่งประเทศออกเป็นสองส่วน
เยอรมนีตะวันตก ยึดครองโดย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส
เยอรมนีตะวันออก ยึดครองโดย สหภาพโซเวียต
ส่วนจักรวรรดิญี่ปุ่นผู้ร่วมชะตากรรมแห่งความพ่ายแพ้ ถูกควบคุมโดยกองทัพสหรัฐฯ
นอกจากจะสูญเสียดินแดนในครอบครองทั้งหมดแล้วยังถูกสหรัฐอเมริกาควบคุมในเรื่องกองกำลังทหาร การปกครอง ไปจนถึงระบบเศรษฐกิจ
แต่น่าแปลกใจที่บริษัทระดับโลกที่ก่อตั้งในยุคนี้ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งก่อตั้งหลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2
Sony ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1946
เริ่มจากเป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้างสรรพสินค้าในกรุงโตเกียว แล้วพัฒนามาเป็นผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์วิทยุทรานซิสเตอร์
Casio ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1946
สินค้าตัวแรกของบริษัท คือบริษัทที่เริ่มจากการเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรและชิ้นส่วนกลไกต่างๆและมีสินค้าตัวแรกเป็น แหวนที่สามารถใช้ถือบุหรี่ได้
Honda ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1947
บริษัทยานยนต์ที่ก่อตั้งจากความรักที่มีต่อภรรยา
ภายหลังสงครามจบลง ประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก ผู้คนส่วนใหญ่ต้องสัญจรด้วยการเดินหรือปั่นจักรยาน คุณโซอิจิโร ฮอนดะ จึงได้ประดิษฐ์เครื่องยนต์ขนาดเล็กมาติดกับจักรยานให้แก่ภรรยาและกลายเป็นสิ่งที่เรียกกันต่อมาว่า “มอเตอร์ไซค์”
Nissin Foods ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1948
นอกจากขาดแคลนน้ำมัน ญี่ปุ่นยังประสบปัญหากับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างมาก รัฐบาลจึงสนับสนุนให้คนญี่ปุ่นกินขนมปังซึ่งนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ทดแทนการกินบะหมี่ที่คุ้นเคยกันมานาน คุณโมะโมะฟุกุ อันโด จึงได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทที่จะพัฒนาบะหมี่ในรูปแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้
ไม่ใช่เพียงแค่จักรวรรดิของญี่ปุ่น การสิ้นสุดสงครามโลกครั้งนี้ทำให้ลัทธิจักรวรรดินิยมทั่วโลกล่มสลาย ประเทศอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ ต่างแยกตัวเป็นเอกราช นำโดยอินเดียและปากีสถาน ในปี ค.ศ. 1947 รวมถึงอาณานิคมอีกหลายแห่งในทวีปแอฟริกาทั้งของจักรวรรดิอังกฤษ และฝรั่งเศส
ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1949
สาธารณรัฐประชาชนจีน 544 ล้านคน
อินเดีย 355 ล้านคน
สหภาพโซเวียต 178 ล้านคน
สหรัฐอเมริกา 150 ล้านคน
ญี่ปุ่น 80.2 ล้านคน
เมื่อมหาอำนาจในยุโรป ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ต่างบอบช้ำจากสงคราม จึงเป็นโอกาสให้สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกโดยเฉพาะทาง
ด้านเศรษฐกิจประเทศที่มีขนาด GDP มากที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1949 เมื่อเทียบเป็นมูลค่าในปี ค.ศ. 2018
สหรัฐอเมริกา 81.6 ล้านล้านบาท
สหภาพโซเวียต 28.4 ล้านล้านบาท
สหราชอาณาจักร 21.3 ล้านล้านบาท
สาธารณรัฐประชาชนจีน 14.9 ล้านล้านบาท
อินเดีย 13.5 ล้านล้านบาท
การก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาทำให้ในปี ค.ศ. 1944 ซึ่งเป็นช่วงใกล้สิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการจัดประชุมร่วมกัน 44 ประเทศ ที่เมือง Bretton Woods ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อหาแนวทางในการจัดระเบียบการเงินระหว่างประเทศ มีการลงนามในข้อตกลง Bretton Woods ซึ่งมีสาระสำคัญ 2 ประการ คือ...
1. สมาชิกต้องยินยอมที่จะยกเลิกการกำหนดค่าเงินของตนเองแล้วหันไปผูกติดอัตราแลกเปลี่ยนกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นเงินสกุลเดียวที่มีทองคําหนุนหลัง
2. ให้มีการก่อตั้งองค์การการเงินระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ 2 แห่งคือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ ธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนา (IBRD) ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นธนาคารโลก (World Bank)
ข้อตกลงนี้ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้ดูแล “กติกาการเงินโลก”และ ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นสกุลเงินหลักของโลกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แต่การเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจและการเงิน ไม่อาจทำให้เป็นมหาอำนาจโดยสมบูรณ์ ต้องมีทั้งด้านการเมือง และการทหารด้วย
ซึ่งคู่แข่งสำคัญของสหรัฐอเมริกา กลับกลายเป็นประเทศที่เป็นผู้นำด้านคอมมิวนิสต์อย่าง สหภาพโซเวียตและเพื่อป้องกันการแผ่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์จากสหภาพโซเวียต
สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้นำในด้านทุนนิยมเสรีจึงตั้งแผนการมาร์แชลล์
เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กลุ่มประเทศพันธมิตรในยุโรปตะวันตก
ทำให้ประเทศเหล่านี้สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่สหภาพโซเวียตก็ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่กลุ่มประเทศ
พันธมิตรของตัวเองในยุโรปตะวันออก
สำหรับประเทศจีน ชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของ เหมา เจ๋อตุง ในปี ค.ศ. 1949
ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ เช่นเดียวกับสหภาพโซเวียต
แม้สงครามใหญ่เพิ่งจะสิ้นสุด แต่มนุษย์ก็ไม่เคยหลุดพ้นจากความขัดแย้ง
ความขัดแย้งครั้งใหม่ ไม่ได้มีการรบกันไปทั่วโลกเหมือนครั้งก่อนๆ
แต่กลายเป็นการแข่งขัน ทั้งในด้านอุดมการณ์การเมือง เศรษฐกิจ และการสะสมอาวุธ
ไปจนถึงการใช้ “สงครามตัวแทน” ให้ประเทศในพันธมิตรรบกัน แทนประเทศผู้นํา
การแข่งขันที่เริ่มจากบนพื้นโลก แต่ลามไปถึงห้วงอวกาศอันไกลโพ้น
ความขัดแย้งครั้งนี้ ทุกคนรู้จักดี ในนาม
“สงครามเย็น”..
ตอนที่ 18 ทศวรรษแห่งสงคราม ค.ศ.1940-1949
คือประโยคขึ้นต้นของเพลงชาติเยอรมนีในยุคการปกครองของพรรคนาซี ประโยคนี้มีความหมายว่า “เยอรมนีเหนือทุกสรรพสิ่ง”
กองทัพเยอรมันบุกโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 ก่อนจะรุกรานไปยังดินแดนยุโรปอื่นๆ ทั้งยุโรปตะวันออก เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และฝรั่งเศส นำมาสู่การประกาศสงคราม ระหว่างกลุ่มประเทศที่เป็นพันธมิตรกันสองฝ่าย
ฝ่ายอักษะ ผู้นำประกอบไปด้วย เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น
ฝ่ายสัมพันธมิตร ผู้นำประกอบไปด้วย อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต
สงครามโลกครั้งที่ 2 ถือกำเนิดแล้ว..
ความชาตินิยมในเชื้อชาติเยอรมัน ซึ่งถูกปลุกระดมโดยผู้นำเผด็จการ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ นำมาสู่การพยายามขับไล่ผู้คนเชื้อชาติอื่นให้ออกไปจากแผ่นดินของชาวเยอรมันโดยเฉพาะ “ชาวยิว”ตั้งแต่พรรคนาซีก้าวขึ้นมามีอำนาจ ได้ออกกฎหมายหลายฉบับเพื่อจำกัดสิทธิของชาวยิว เช่น กฎหมายนูเรมเบิร์กที่จำกัดสิทธิการเป็นพลเมืองของชาวยิว
หรือกฎหมาย Aryanisation ที่มีเป้าหมายเพื่อยึดทรัพย์สินชาวยิว กองทัพเยอรมันบุกรุกประเทศอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อขยายดินแดน โดยเฉพาะ
ยุโรปตะวันออก ซึ่งมีชาวยิวอาศัยอยู่จำนวนไม่ต่ำกว่า 3 ล้านคน
เรื่องนี้นำมาสู่การจัดตั้ง “ค่ายกักกัน” เพื่อรวบรวมชาวยิวจากทั่วยุโรปในปีค.ศ. 1941 แต่เมื่อผู้ถูกกักกันมีจำนวนมากขึ้น ท้ายที่สุด จึงนำมาสู่การสังหารด้วยวิธีต่างๆ ทั้งรมแก๊สพิษ และบังคับ
ใช้แรงงานจนเสียชีวิตนับเป็นการสังหารล้างเผ่าพันธุ์ที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ซึ่งมีขาวยิวเสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้กว่า 6 ล้านคน
เหตุการณ์สังหารหมู่เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในทวีปยุโรป
เพราะอีกซีกโลกหนึ่ง พันธมิตรฝ่ายอักษะอีกประเทศหนึ่งก็กำลังกระทำเช่นเดียวกันในทวีปเอเชีย กองทัพญี่ปุ่นซึ่งยึดครองคาบสมุทรเกาหลี เกาะไต้หวัน และจีนบางส่วนโดยเฉพาะในนานกิง ปี ค.ศ. 1937 ทหารญี่ปุ่นได้สังหารหมู่ชาวจีนในเมืองนานกิงกว่า 4 แสนคน การกระทำอันอุกอาจนี้ ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจีนกับญี่ปุ่นยัง
คงย่ำแย่มาจนถึงปัจจุบัน
แสนยานุภาพของกองทัพทำให้จักรวรรดิญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเอเชีย กองทัพญี่ปุ่นได้บุกยึดครองดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบทั้งหมด ทั้งฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รวมถึงบังคับให้รัฐบาลสยามยอมให้เป็นทางผ่านไปยังพม่า
ญี่ปุ่นก่อสงครามหลายครั้งในมหาสมุทรแปซิฟิก และทิ้งระเบิดฐานทัพสหรัฐฯ ณ อ่าวเพิร์ล หมู่เกาะฮาวาย ในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ. 1941
เรื่องนี้เป็นเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้สหรัฐอเมริกาตัดสินใจเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งนี้
ภายใต้ฝุ่นควันของสงครามความกดดันบีบคั้น นำมาสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เทคโนโลยีที่เคยอยู่บนแผ่นกระดาษทั้งหลาย ต่างถูกนำมาสานต่อเพื่อ
การทําลายล้าง..
ระบบเรดาร์ (Radar) คือ ระบบที่ใช้คลื่นวิทยุเป็นเครื่องมือในการระบุระยะทาง ความสูง ทิศทาง
และความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุ แม้องค์ความรู้ด้านเรดาร์จะถูกค้นพบมาก่อนหลายสิบปี แต่การพัฒนาเพื่อการทหารในช่วงระหว่างสงครามโลก
ครั้งที่ 2 ก็ทำให้ระบบเรดาร์ถูกนำมาใช้ในการตรวจหา และติดตามทั้งเรือและเครื่องบิน
เครื่องยนต์ไอพ่น (Jet Engine) เพื่อต่อกรกับเครื่องบินรบของเยอรมัน กองทัพอังกฤษจึงพัฒนาเครื่องบินรบ“Gloster Meteor” ซึ่งมีการใช้เครื่องยนต์ที่ต้องอาศัยอากาศมาทำการอัดทำให้เกิดแรงดันสูง ส่งไปด้านหลัง และทำให้เครื่องบินเคลื่อนที่ไปทางด้านหน้าด้วยความเร็วทะลุเวหา
Colossus Computer เพื่อถอดรหัสการสื่อสารระหว่างฮิตเลอร์ และเหล่านายพลเยอรมัน
นำมาสู่การรวมตัวของเหล่านักคณิตศาสตร์ใน “Bletchley Park" กรุงลอนดอน เพื่อสร้างเครื่อง Colossus Computer ซึ่งนับได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์
เครื่องแรกของโลก
อาวุธนิวเคลียร์ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว ผู้อพยพหนีภัยการสังหารล้าง
เผ่าพันธุ์มายังสหรัฐอเมริกา และเป็นผู้เผยแพร่ทฤษฎีสัมพัทธภาพ หลังจากที่สหรัฐอเมริกา ประกาศเข้าร่วมสงครามโลก ประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี. โรสเวลต์ได้จัดตั้งโครงการแมนฮัตตัน
(Manhattan Project) และนำทฤษฎีของไอน์สไตน์มาพัฒนาเป็นอาวุธนิวเคลียร์
ซึ่งท้ายที่สุด ก็เป็นอาวุธนิวเคลียร์นี้เอง ที่เป็นผู้ปิดฉากสงครามโลกที่ยืดเยื้อมานานกว่า 6 ปี
เมื่อกองทัพสหรัฐฯ ตัดสินใจทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ลงใจกลางเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 1945 สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่คร่าชีวิตผู้คนกว่า 50 ล้านคน ก็ถึงคราวสิ้นสุดลง
หลังสงครามสิ้นสุด เทคโนโลยีที่เคยถูกพัฒนาเพื่อการทำลายล้าง ถูกนำมาใช้ในทางสร้างสันติ
ระบบเรดาร์กลายมาเป็นองค์ประกอบสำคัญของการควบคุมการจราจรทางอากาศ เครื่องยนต์ไอพ่นถูกนำมาใช้ในวิศวกรรมการบิน ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากคอมพิวเตอร์เครื่องแรก และองค์ความรู้ด้านฟิสิกส์นิวเคลียร์ถูกนำมาใช้ในทางปรมาณูเพื่อสันติ
ภายหลังสงคราม
เยอรมนีในฐานะผู้พ่ายแพ้ ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรแบ่งประเทศออกเป็นสองส่วน
เยอรมนีตะวันตก ยึดครองโดย สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และฝรั่งเศส
เยอรมนีตะวันออก ยึดครองโดย สหภาพโซเวียต
ส่วนจักรวรรดิญี่ปุ่นผู้ร่วมชะตากรรมแห่งความพ่ายแพ้ ถูกควบคุมโดยกองทัพสหรัฐฯ
นอกจากจะสูญเสียดินแดนในครอบครองทั้งหมดแล้วยังถูกสหรัฐอเมริกาควบคุมในเรื่องกองกำลังทหาร การปกครอง ไปจนถึงระบบเศรษฐกิจ
แต่น่าแปลกใจที่บริษัทระดับโลกที่ก่อตั้งในยุคนี้ ส่วนใหญ่เป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งก่อตั้งหลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2
Sony ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1946
เริ่มจากเป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในห้างสรรพสินค้าในกรุงโตเกียว แล้วพัฒนามาเป็นผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์วิทยุทรานซิสเตอร์
Casio ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1946
สินค้าตัวแรกของบริษัท คือบริษัทที่เริ่มจากการเป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรและชิ้นส่วนกลไกต่างๆและมีสินค้าตัวแรกเป็น แหวนที่สามารถใช้ถือบุหรี่ได้
Honda ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1947
บริษัทยานยนต์ที่ก่อตั้งจากความรักที่มีต่อภรรยา
ภายหลังสงครามจบลง ประเทศญี่ปุ่นประสบปัญหาขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก ผู้คนส่วนใหญ่ต้องสัญจรด้วยการเดินหรือปั่นจักรยาน คุณโซอิจิโร ฮอนดะ จึงได้ประดิษฐ์เครื่องยนต์ขนาดเล็กมาติดกับจักรยานให้แก่ภรรยาและกลายเป็นสิ่งที่เรียกกันต่อมาว่า “มอเตอร์ไซค์”
Nissin Foods ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1948
นอกจากขาดแคลนน้ำมัน ญี่ปุ่นยังประสบปัญหากับภาวะขาดแคลนอาหารอย่างมาก รัฐบาลจึงสนับสนุนให้คนญี่ปุ่นกินขนมปังซึ่งนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา ทดแทนการกินบะหมี่ที่คุ้นเคยกันมานาน คุณโมะโมะฟุกุ อันโด จึงได้ตัดสินใจก่อตั้งบริษัทที่จะพัฒนาบะหมี่ในรูปแบบใหม่ขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้
ไม่ใช่เพียงแค่จักรวรรดิของญี่ปุ่น การสิ้นสุดสงครามโลกครั้งนี้ทำให้ลัทธิจักรวรรดินิยมทั่วโลกล่มสลาย ประเทศอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ ต่างแยกตัวเป็นเอกราช นำโดยอินเดียและปากีสถาน ในปี ค.ศ. 1947 รวมถึงอาณานิคมอีกหลายแห่งในทวีปแอฟริกาทั้งของจักรวรรดิอังกฤษ และฝรั่งเศส
ประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1949
สาธารณรัฐประชาชนจีน 544 ล้านคน
อินเดีย 355 ล้านคน
สหภาพโซเวียต 178 ล้านคน
สหรัฐอเมริกา 150 ล้านคน
ญี่ปุ่น 80.2 ล้านคน
เมื่อมหาอำนาจในยุโรป ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ต่างบอบช้ำจากสงคราม จึงเป็นโอกาสให้สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำโลกโดยเฉพาะทาง
ด้านเศรษฐกิจประเทศที่มีขนาด GDP มากที่สุด 5 อันดับแรก ในปี ค.ศ. 1949 เมื่อเทียบเป็นมูลค่าในปี ค.ศ. 2018
สหรัฐอเมริกา 81.6 ล้านล้านบาท
สหภาพโซเวียต 28.4 ล้านล้านบาท
สหราชอาณาจักร 21.3 ล้านล้านบาท
สาธารณรัฐประชาชนจีน 14.9 ล้านล้านบาท
อินเดีย 13.5 ล้านล้านบาท
การก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาทำให้ในปี ค.ศ. 1944 ซึ่งเป็นช่วงใกล้สิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการจัดประชุมร่วมกัน 44 ประเทศ ที่เมือง Bretton Woods ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อหาแนวทางในการจัดระเบียบการเงินระหว่างประเทศ มีการลงนามในข้อตกลง Bretton Woods ซึ่งมีสาระสำคัญ 2 ประการ คือ...
1. สมาชิกต้องยินยอมที่จะยกเลิกการกำหนดค่าเงินของตนเองแล้วหันไปผูกติดอัตราแลกเปลี่ยนกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นเงินสกุลเดียวที่มีทองคําหนุนหลัง
2. ให้มีการก่อตั้งองค์การการเงินระหว่างประเทศขึ้นมาใหม่ 2 แห่งคือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และ ธนาคารเพื่อการบูรณะและพัฒนา (IBRD) ซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นธนาคารโลก (World Bank)
ข้อตกลงนี้ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้ดูแล “กติกาการเงินโลก”และ ดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็นสกุลเงินหลักของโลกตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
แต่การเป็นผู้นำในด้านเศรษฐกิจและการเงิน ไม่อาจทำให้เป็นมหาอำนาจโดยสมบูรณ์ ต้องมีทั้งด้านการเมือง และการทหารด้วย
ซึ่งคู่แข่งสำคัญของสหรัฐอเมริกา กลับกลายเป็นประเทศที่เป็นผู้นำด้านคอมมิวนิสต์อย่าง สหภาพโซเวียตและเพื่อป้องกันการแผ่ขยายของลัทธิคอมมิวนิสต์จากสหภาพโซเวียต
สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้นำในด้านทุนนิยมเสรีจึงตั้งแผนการมาร์แชลล์
เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กลุ่มประเทศพันธมิตรในยุโรปตะวันตก
ทำให้ประเทศเหล่านี้สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่สหภาพโซเวียตก็ให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่กลุ่มประเทศ
พันธมิตรของตัวเองในยุโรปตะวันออก
สำหรับประเทศจีน ชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์ภายใต้การนำของ เหมา เจ๋อตุง ในปี ค.ศ. 1949
ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนให้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ เช่นเดียวกับสหภาพโซเวียต
แม้สงครามใหญ่เพิ่งจะสิ้นสุด แต่มนุษย์ก็ไม่เคยหลุดพ้นจากความขัดแย้ง
ความขัดแย้งครั้งใหม่ ไม่ได้มีการรบกันไปทั่วโลกเหมือนครั้งก่อนๆ
แต่กลายเป็นการแข่งขัน ทั้งในด้านอุดมการณ์การเมือง เศรษฐกิจ และการสะสมอาวุธ
ไปจนถึงการใช้ “สงครามตัวแทน” ให้ประเทศในพันธมิตรรบกัน แทนประเทศผู้นํา
การแข่งขันที่เริ่มจากบนพื้นโลก แต่ลามไปถึงห้วงอวกาศอันไกลโพ้น
ความขัดแย้งครั้งนี้ ทุกคนรู้จักดี ในนาม
“สงครามเย็น”..