ผมขอสอบถามความคิดเห็นและขอคำแนะนำเกี่ยวกับปัญหาการค้ำประกันเงินกู้ร่วมกลุ่มที่คุณพ่อของผมประสบอยู่ครับ
💼 ที่มาของปัญหา (การเข้าร่วมกองทุนฟื้นฟูฯ)
คุณพ่อของผมมีหนี้กับธนาคารที่มีดอกเบี้ยสูงมาก จึงได้เข้าร่วมโครงการ กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือลดภาระหนี้ โดยมีการชำระหนี้มาอย่างต่อเนื่องและล่าสุดผมได้ช่วยคุณพ่อไปปิดยอดหนี้ส่วนของคุณพ่อทั้งหมดแล้ว
🚨 สิ่งที่น่าตกใจเมื่อไปชำระหนี้
เมื่อไปชำระหนี้ที่ กฟก. เจ้าหน้าที่แจ้งว่า:
การกู้เงินของคุณพ่อเป็นการกู้แบบ กลุ่ม โดยมีสมาชิก 4 คน และมีการ ค้ำประกันซึ่งกันและกัน
ตอนนี้ 3 ใน 4 คน ได้ชำระและปิดยอดหนี้ส่วนของตนเองเรียบร้อยแล้ว
แต่ยังมี สมาชิกอีก 1 คน ที่ยังไม่ยอมจ่ายและผิดนัดชำระหนี้อยู่บ่อยครั้ง
เจ้าหน้าที่ขอให้คุณพ่อของผมช่วยไป ติดตามทวงให้สมาชิกคนดังกล่าวมาชำระหนี้
⚠️ ความกังวลและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ผมสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า "ถ้าสมาชิกคนนั้นไม่ยอมจ่าย จะเกิดอะไรขึ้น?" คำตอบคือ "ผู้ค้ำร่วมกันต้องช่วยกันชำระหนี้" ทำให้ผมกังวลอย่างมากว่าคุณพ่อจะต้องรับภาระหนี้ของผู้อื่น
ผมพยายามบอกให้คุณพ่อไปแจ้งเตือนสมาชิกคนนั้น แต่คุณพ่อก็เกรงใจและไม่ยอมทวง จนเวลาล่วงเลยมาเป็นปี
ทราบภายหลังว่าสมาชิกคนดังกล่าว ป่วยเป็นมะเร็งระยะเริ่มต้น และกำลังรักษาตัวอยู่ (คุณพ่อบอกว่าคิดว่าภรรยาเขาน่าจะช่วยจ่าย)
วันนี้ทราบข่าวว่าภรรยาของสมาชิกคนนั้นเสียชีวิตแล้ว ซึ่งทำให้ความกังวลเพิ่มขึ้นไปอีกว่าเขาจะสามารถรับผิดชอบหนี้ได้หรือไม่
🤔 ข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎหมายผู้ค้ำประกัน
เท่าที่ผมเข้าใจสำหรับกรณีผู้ค้ำประกัน มีประเด็นดังนี้ (ไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือไม่):
หากผู้กู้เงินไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำต้องเป็นผู้จ่าย
ลูก ของผู้กู้ที่ไม่ชำระหนี้ ไม่ต้องจ่าย หนี้แทนพ่อแม่ (ไม่เป็นความผิดของลูก)
กองทุน (กฟก.) ไม่สามารถยึดทรัพย์ ของผู้กู้ได้โดยง่าย (หรือในทางปฏิบัติ)
คำถาม: ข้อ 1-3 ข้างต้นที่ผมเข้าใจ ถูกต้องหรือไม่ครับ?
❓ สิ่งที่ผมต้องการคำแนะนำ
ผมไม่ต้องการให้คุณพ่อต้องไปรับภาระหนี้ของสมาชิกคนอื่นที่ควรรับผิดชอบเอง และดูเหมือนคุณพ่อก็เกรงใจจนไม่กล้าทวง ผมควรทำอย่างไรได้บ้างในสถานการณ์นี้ เพื่อให้หนี้ก้อนนี้ถูกจัดการโดยผู้รับผิดชอบหลัก โดยที่ไม่ต้องให้คุณพ่อผมต้องไปชำระแทน?
การที่เจ้าหน้าที่ขอให้ผู้ค้ำไปทวงหนี้เอง ถือเป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมแล้วหรือไม่? และทาง กฟก. ควรติดตามทวงหนี้อย่างจริงจังกว่านี้หรือไม่?
ขอขอบพระคุณสำหรับทุกความคิดเห็นและข้อแนะนำล่วงหน้าครับ
🙏 ขอคำแนะนำ: ปัญหาการค้ำประกันเงินกู้ร่วมกลุ่ม และภาระหนี้ที่ตามมากรณีผู้กู้ในกลุ่มไม่ยอมชำระหนี้
💼 ที่มาของปัญหา (การเข้าร่วมกองทุนฟื้นฟูฯ)
คุณพ่อของผมมีหนี้กับธนาคารที่มีดอกเบี้ยสูงมาก จึงได้เข้าร่วมโครงการ กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (กฟก.) ซึ่งเป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือลดภาระหนี้ โดยมีการชำระหนี้มาอย่างต่อเนื่องและล่าสุดผมได้ช่วยคุณพ่อไปปิดยอดหนี้ส่วนของคุณพ่อทั้งหมดแล้ว
🚨 สิ่งที่น่าตกใจเมื่อไปชำระหนี้
เมื่อไปชำระหนี้ที่ กฟก. เจ้าหน้าที่แจ้งว่า:
การกู้เงินของคุณพ่อเป็นการกู้แบบ กลุ่ม โดยมีสมาชิก 4 คน และมีการ ค้ำประกันซึ่งกันและกัน
ตอนนี้ 3 ใน 4 คน ได้ชำระและปิดยอดหนี้ส่วนของตนเองเรียบร้อยแล้ว
แต่ยังมี สมาชิกอีก 1 คน ที่ยังไม่ยอมจ่ายและผิดนัดชำระหนี้อยู่บ่อยครั้ง
เจ้าหน้าที่ขอให้คุณพ่อของผมช่วยไป ติดตามทวงให้สมาชิกคนดังกล่าวมาชำระหนี้
⚠️ ความกังวลและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ผมสอบถามเจ้าหน้าที่ว่า "ถ้าสมาชิกคนนั้นไม่ยอมจ่าย จะเกิดอะไรขึ้น?" คำตอบคือ "ผู้ค้ำร่วมกันต้องช่วยกันชำระหนี้" ทำให้ผมกังวลอย่างมากว่าคุณพ่อจะต้องรับภาระหนี้ของผู้อื่น
ผมพยายามบอกให้คุณพ่อไปแจ้งเตือนสมาชิกคนนั้น แต่คุณพ่อก็เกรงใจและไม่ยอมทวง จนเวลาล่วงเลยมาเป็นปี
ทราบภายหลังว่าสมาชิกคนดังกล่าว ป่วยเป็นมะเร็งระยะเริ่มต้น และกำลังรักษาตัวอยู่ (คุณพ่อบอกว่าคิดว่าภรรยาเขาน่าจะช่วยจ่าย)
วันนี้ทราบข่าวว่าภรรยาของสมาชิกคนนั้นเสียชีวิตแล้ว ซึ่งทำให้ความกังวลเพิ่มขึ้นไปอีกว่าเขาจะสามารถรับผิดชอบหนี้ได้หรือไม่
🤔 ข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎหมายผู้ค้ำประกัน
เท่าที่ผมเข้าใจสำหรับกรณีผู้ค้ำประกัน มีประเด็นดังนี้ (ไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือไม่):
หากผู้กู้เงินไม่ชำระหนี้ ผู้ค้ำต้องเป็นผู้จ่าย
ลูก ของผู้กู้ที่ไม่ชำระหนี้ ไม่ต้องจ่าย หนี้แทนพ่อแม่ (ไม่เป็นความผิดของลูก)
กองทุน (กฟก.) ไม่สามารถยึดทรัพย์ ของผู้กู้ได้โดยง่าย (หรือในทางปฏิบัติ)
คำถาม: ข้อ 1-3 ข้างต้นที่ผมเข้าใจ ถูกต้องหรือไม่ครับ?
❓ สิ่งที่ผมต้องการคำแนะนำ
ผมไม่ต้องการให้คุณพ่อต้องไปรับภาระหนี้ของสมาชิกคนอื่นที่ควรรับผิดชอบเอง และดูเหมือนคุณพ่อก็เกรงใจจนไม่กล้าทวง ผมควรทำอย่างไรได้บ้างในสถานการณ์นี้ เพื่อให้หนี้ก้อนนี้ถูกจัดการโดยผู้รับผิดชอบหลัก โดยที่ไม่ต้องให้คุณพ่อผมต้องไปชำระแทน?
การที่เจ้าหน้าที่ขอให้ผู้ค้ำไปทวงหนี้เอง ถือเป็นแนวปฏิบัติที่เหมาะสมแล้วหรือไม่? และทาง กฟก. ควรติดตามทวงหนี้อย่างจริงจังกว่านี้หรือไม่?
ขอขอบพระคุณสำหรับทุกความคิดเห็นและข้อแนะนำล่วงหน้าครับ