จ่ายเงินซื้อ “ลดหย่อน” หรือ “ยอมจ่ายภาษี” ดีกว่ากัน “รายได้สูง” จนต้อง “เสียภาษี” เรื่องน่ายินดี...ที่ต้องจัดการให้เหมาะสม
.
สำหรับมนุษย์เงินเดือน ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของกิจการที่รายได้เริ่มเข้าสู่เกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี (ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าดีใจ เพราะแสดงว่าเรามีรายได้ที่สูงขึ้น)
.
การลังเลว่าจะ "ซื้อลดหย่อน" หรือ "ยอมจ่ายภาษี" นั้นไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกคนล้วนต้องการทางเลือกที่เหมาะสม และคุ้มค่ากับตัวเองทั้งนั้น
.
แต่ต้องบอกว่า การตัดสินใจว่าจะใช้เงินซื้อตัวช่วยลดหย่อนภาษีเพิ่มหรือไม่นั้น อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ "ความรู้สึกเสียดายเงิน" แต่ต้องคิดและคำนวณให้รอบด้าน ซึ่งเบื้องต้นสามารถเช็กได้จาก 4 คำถาม ดังนี้
.
➡️1. "ปีนี้เราเสียภาษี” เยอะแค่ไหน?
.
สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการประเมินสถานการณ์รายได้ของตัวเองให้ชัดเจน อย่าดูแค่ "ภาษีที่เราต้องจ่ายเพิ่ม" เท่านั้น แต่ให้ดู "ภาษีทั้งหมด" ที่ได้จากการคำนวณภาษี ซึ่งรวมถึงภาษีที่เราโดนหัก ณ ที่จ่ายไปแล้วตลอดทั้งปีด้วย
.
หากคำนวณออกมาแล้วพบว่า ภาษีที่ต้องจ่ายทั้งปีเพียงหลักพันบาท การไม่ซื้อตัวช่วยลดหย่อนภาษีเพิ่มก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร แต่ถ้าตัวเลขที่เราต้องจ่ายนั้นสูงจนน่าเสียดาย นั่นคือสัญญาณว่าเราอาจจะต้องไปต่อในข้อที่ 2
.
➡️2. ใช้ลดหย่อนภาษีที่ “ไม่ต้องเสียเงิน” หมดแล้วหรือยัง?
.
ก่อนจะควักกระเป๋าจ่ายเงิน ให้ถามตัวเองก่อนว่าเราได้ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีที่ควรจะได้แบบฟรีๆ ครบถ้วนแล้วหรือยัง? เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนคู่สมรส ค่าลดหย่อนบุตร ค่าลดหย่อนพ่อแม่ หรือค่าลดหย่อนผู้พิการที่อยู่ในอุปการะ เป็นต้น
.
ค่าลดหย่อนเหล่านี้เป็นสิทธิ์ที่เราได้มาโดยไม่ต้องใช้เงินซื้อเพิ่ม ดังนั้น หากมีสิทธิ์และเข้าเงื่อนไข ให้เลือกใช้สิทธิ์เหล่านี้ก่อนเป็นอันดับแรก
.
➡️3. “ลดหย่อนภาษี” ที่จะเสียเงินซื้อเพิ่ม ลดภาษีได้เท่าไหร่?
.
ข้อนี้เป็นจุดที่คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดมากที่สุด เช่น การที่เราจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 20,000 บาท ไม่ได้หมายความว่าเราลดภาษีที่ต้องจ่ายได้ 20,000 บาทเท่ากับเงินที่จ่ายไป
.
แต่การลดภาษีได้มากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับ "ฐานภาษี" ที่เงินได้สุทธิของเราขึ้นไปแตะ เช่น ถ้าเงินได้สุทธิของเราแตะ ฐานภาษี 20% ภาษีที่จะลดได้จากการซื้อประกัน 20,000 บาท คือ 20% ของ 20,000 บาท นั่นเท่ากับว่า จะประหยัดภาษีได้จริงๆ 4,000 บาท เท่านั้น
.
เชื่อว่า เมื่อรู้ตัวเลขอย่างนี้แล้ว เราจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าเงิน 20,000 บาทที่จ่ายออกไปนั้น แลกกับเงินคืนภาษี 4,000 บาท คุ้มค่าพอที่จะซื้อหรือไม่ (หากไม่นับรวมผลประโยชน์หลักของสินค้านั้น)
.
➡️4. “ควรใช้ประกัน” และ/หรือ “กองทุนรวม” เป็นเครื่องมือ?
.
เมื่อคำนวณตัวเลขและใช้สิทธิ์ฟรีๆ จนหมดแล้ว แต่ยังเสียดายภาษีที่ต้องจ่ายในอัตราที่สูง คราวนี้ก็ถึงเวลาพิจารณาตัวช่วย เช่น ประกัน หรือ RMF, Thai ESG
.
ซึ่งคำถามสำคัญที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจข้อนี้ได้คือ…
.
(1) เรามี "รูรั่ว" ที่เป็นความเสี่ยงในชีวิตที่ต้องการจะปิดหรือไม่?
.
เช่น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ใครจะดูแลครอบครัว? เรามีค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉินพอหรือไม่? ถ้ามีความกังวลเรื่องเหล่านี้ แสดงว่าคุณ “ควรมีประกัน” (ยังไม่พูดถึงเรื่องลดหย่อนภาษี เพราะแม้จะไม่ได้ใช้ลดหย่อนภาษี ก็ควรมีสิ่งนี้)
.
(2) เราต้องการให้เงินเติบโตเพื่อเป้าหมายระยะกลาง-ยาวหรือไม่? เช่น ต้องเงินเกษียณ เงินดาวน์บ้านในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าใช่ การลงทุนผ่านกองทุนรวมลดหย่อนภาษีจะเป็น "คำตอบ"
.
และที่สำคัญที่สุด aomMONEY ขอเน้นย้ำว่า “ให้ผลประโยชน์ของการได้ลดหย่อนภาษีเป็นเรื่องรอง เป็นเพียงผลพลอยได้” จงเลือกซื้อเครื่องมือทางการเงินที่ตอบโจทย์ชีวิตก่อนเสมอ
.
สุดท้ายแล้ว คำตอบที่ดีที่สุดว่า "ควรจ่ายเงินซื้อลดหย่อนภาษี" หรือ "ยอมจ่ายภาษีไป" นั้น ไม่มีสูตรลับตายตัวสำหรับทุกคน แต่จะขึ้นอยู่กับการวางแผนของแต่ละบุคคล
.
หากคุณเป็นคนที่ต้องเสียภาษีในอัตราสูง (เช่น 20% ขึ้นไป) และกำลังมองหาเครื่องมือทางการเงินที่ช่วย ปิดความเสี่ยงชีวิต หรือ สร้างความมั่งคั่งในระยะยาว อยู่แล้ว การใช้เงินซื้อผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษีก็เหมือนการ "ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว" เพราะเราได้ทั้งการวางแผนชีวิตและการลดภาระภาษีไปพร้อมๆ กัน
.
แต่ถ้าเราเสียภาษีเพียงเล็กน้อย หรือยังไม่พร้อมที่จะผูกพันกับตัวช่วยทางการเงินเหล่านั้น การยอมจ่ายภาษีไปตามจริงก็อาจเป็นทางเลือกที่สะดวกและเหมาะสมกว่าก็ได้ครับ
.
เขียนโดย: วัฒนา มะสันเทียะ AFPT™
CR
https://www.facebook.com/share/17ceCya7Uw/?mibextid=wwXIfr
จ่ายเงินซื้อ “ลดหย่อน” หรือ “ยอมจ่ายภาษี” ดีกว่ากัน “รายได้สูง” จนต้อง “เสียภาษี”
.
สำหรับมนุษย์เงินเดือน ฟรีแลนซ์ หรือเจ้าของกิจการที่รายได้เริ่มเข้าสู่เกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี (ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าดีใจ เพราะแสดงว่าเรามีรายได้ที่สูงขึ้น)
.
การลังเลว่าจะ "ซื้อลดหย่อน" หรือ "ยอมจ่ายภาษี" นั้นไม่ใช่เรื่องผิด เพราะทุกคนล้วนต้องการทางเลือกที่เหมาะสม และคุ้มค่ากับตัวเองทั้งนั้น
.
แต่ต้องบอกว่า การตัดสินใจว่าจะใช้เงินซื้อตัวช่วยลดหย่อนภาษีเพิ่มหรือไม่นั้น อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่ "ความรู้สึกเสียดายเงิน" แต่ต้องคิดและคำนวณให้รอบด้าน ซึ่งเบื้องต้นสามารถเช็กได้จาก 4 คำถาม ดังนี้
.
➡️1. "ปีนี้เราเสียภาษี” เยอะแค่ไหน?
.
สิ่งแรกที่เราต้องทำคือการประเมินสถานการณ์รายได้ของตัวเองให้ชัดเจน อย่าดูแค่ "ภาษีที่เราต้องจ่ายเพิ่ม" เท่านั้น แต่ให้ดู "ภาษีทั้งหมด" ที่ได้จากการคำนวณภาษี ซึ่งรวมถึงภาษีที่เราโดนหัก ณ ที่จ่ายไปแล้วตลอดทั้งปีด้วย
.
หากคำนวณออกมาแล้วพบว่า ภาษีที่ต้องจ่ายทั้งปีเพียงหลักพันบาท การไม่ซื้อตัวช่วยลดหย่อนภาษีเพิ่มก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร แต่ถ้าตัวเลขที่เราต้องจ่ายนั้นสูงจนน่าเสียดาย นั่นคือสัญญาณว่าเราอาจจะต้องไปต่อในข้อที่ 2
.
➡️2. ใช้ลดหย่อนภาษีที่ “ไม่ต้องเสียเงิน” หมดแล้วหรือยัง?
.
ก่อนจะควักกระเป๋าจ่ายเงิน ให้ถามตัวเองก่อนว่าเราได้ใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีที่ควรจะได้แบบฟรีๆ ครบถ้วนแล้วหรือยัง? เช่น ค่าลดหย่อนส่วนตัว ค่าลดหย่อนคู่สมรส ค่าลดหย่อนบุตร ค่าลดหย่อนพ่อแม่ หรือค่าลดหย่อนผู้พิการที่อยู่ในอุปการะ เป็นต้น
.
ค่าลดหย่อนเหล่านี้เป็นสิทธิ์ที่เราได้มาโดยไม่ต้องใช้เงินซื้อเพิ่ม ดังนั้น หากมีสิทธิ์และเข้าเงื่อนไข ให้เลือกใช้สิทธิ์เหล่านี้ก่อนเป็นอันดับแรก
.
➡️3. “ลดหย่อนภาษี” ที่จะเสียเงินซื้อเพิ่ม ลดภาษีได้เท่าไหร่?
.
ข้อนี้เป็นจุดที่คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดมากที่สุด เช่น การที่เราจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 20,000 บาท ไม่ได้หมายความว่าเราลดภาษีที่ต้องจ่ายได้ 20,000 บาทเท่ากับเงินที่จ่ายไป
.
แต่การลดภาษีได้มากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับ "ฐานภาษี" ที่เงินได้สุทธิของเราขึ้นไปแตะ เช่น ถ้าเงินได้สุทธิของเราแตะ ฐานภาษี 20% ภาษีที่จะลดได้จากการซื้อประกัน 20,000 บาท คือ 20% ของ 20,000 บาท นั่นเท่ากับว่า จะประหยัดภาษีได้จริงๆ 4,000 บาท เท่านั้น
.
เชื่อว่า เมื่อรู้ตัวเลขอย่างนี้แล้ว เราจะตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าเงิน 20,000 บาทที่จ่ายออกไปนั้น แลกกับเงินคืนภาษี 4,000 บาท คุ้มค่าพอที่จะซื้อหรือไม่ (หากไม่นับรวมผลประโยชน์หลักของสินค้านั้น)
.
➡️4. “ควรใช้ประกัน” และ/หรือ “กองทุนรวม” เป็นเครื่องมือ?
.
เมื่อคำนวณตัวเลขและใช้สิทธิ์ฟรีๆ จนหมดแล้ว แต่ยังเสียดายภาษีที่ต้องจ่ายในอัตราที่สูง คราวนี้ก็ถึงเวลาพิจารณาตัวช่วย เช่น ประกัน หรือ RMF, Thai ESG
.
ซึ่งคำถามสำคัญที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจข้อนี้ได้คือ…
.
(1) เรามี "รูรั่ว" ที่เป็นความเสี่ยงในชีวิตที่ต้องการจะปิดหรือไม่?
.
เช่น หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ใครจะดูแลครอบครัว? เรามีค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉินพอหรือไม่? ถ้ามีความกังวลเรื่องเหล่านี้ แสดงว่าคุณ “ควรมีประกัน” (ยังไม่พูดถึงเรื่องลดหย่อนภาษี เพราะแม้จะไม่ได้ใช้ลดหย่อนภาษี ก็ควรมีสิ่งนี้)
.
(2) เราต้องการให้เงินเติบโตเพื่อเป้าหมายระยะกลาง-ยาวหรือไม่? เช่น ต้องเงินเกษียณ เงินดาวน์บ้านในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าใช่ การลงทุนผ่านกองทุนรวมลดหย่อนภาษีจะเป็น "คำตอบ"
.
และที่สำคัญที่สุด aomMONEY ขอเน้นย้ำว่า “ให้ผลประโยชน์ของการได้ลดหย่อนภาษีเป็นเรื่องรอง เป็นเพียงผลพลอยได้” จงเลือกซื้อเครื่องมือทางการเงินที่ตอบโจทย์ชีวิตก่อนเสมอ
.
สุดท้ายแล้ว คำตอบที่ดีที่สุดว่า "ควรจ่ายเงินซื้อลดหย่อนภาษี" หรือ "ยอมจ่ายภาษีไป" นั้น ไม่มีสูตรลับตายตัวสำหรับทุกคน แต่จะขึ้นอยู่กับการวางแผนของแต่ละบุคคล
.
หากคุณเป็นคนที่ต้องเสียภาษีในอัตราสูง (เช่น 20% ขึ้นไป) และกำลังมองหาเครื่องมือทางการเงินที่ช่วย ปิดความเสี่ยงชีวิต หรือ สร้างความมั่งคั่งในระยะยาว อยู่แล้ว การใช้เงินซื้อผลิตภัณฑ์ลดหย่อนภาษีก็เหมือนการ "ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว" เพราะเราได้ทั้งการวางแผนชีวิตและการลดภาระภาษีไปพร้อมๆ กัน
.
แต่ถ้าเราเสียภาษีเพียงเล็กน้อย หรือยังไม่พร้อมที่จะผูกพันกับตัวช่วยทางการเงินเหล่านั้น การยอมจ่ายภาษีไปตามจริงก็อาจเป็นทางเลือกที่สะดวกและเหมาะสมกว่าก็ได้ครับ
.
เขียนโดย: วัฒนา มะสันเทียะ AFPT™
CR https://www.facebook.com/share/17ceCya7Uw/?mibextid=wwXIfr