ช่วงปลายปีถือเป็นเวลาทองของการ “วางแผนภาษี” สำหรับมนุษย์เงินเดือน เพื่อรู้ว่าเงินเดือนที่ได้รับกลายเป็น “เงินได้สุทธิ” เท่าไร และต้องเสียภาษีจริงกี่บาท บทความนี้ชวนทำความเข้าใจวิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบขั้นบันได พร้อมตัวอย่างเปรียบเทียบจากรายได้ต่างระดับ และเทคนิคใช้สิทธิลดหย่อนเพื่อลดภาระภาษีอย่างถูกต้อง
ช่วงปลายปีถือเป็น “ฤดูกาลทอง” ของการวางแผนภาษีสำหรับมนุษย์เงินเดือน เพื่อให้การยื่นภาษีประจำปี 2568 เป็นไปอย่างถูกต้อง และไม่ต้องจ่ายเกินกว่าที่ควรจะเป็น
โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ประจำ ควรเริ่มต้นจากการเข้าใจหลักพื้นฐานของการ “คำนวณเงินได้สุทธิ” ก่อนจะหาวิธีลดหย่อนเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพชัดว่าต้องเสียภาษีเท่าไหร่ และวางแผนใช้สิทธิต่าง ๆ ได้ตรงจุด
เข้าใจระบบ “อัตราก้าวหน้า” ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ประเทศไทยใช้ระบบคำนวณภาษีแบบ “อัตราก้าวหน้า” หรือ “ขั้นบันได” หมายความว่า ภาษีจะถูกคำนวณตามช่วงของรายได้สุทธิ ยิ่งรายได้สูงขึ้น อัตราภาษีก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
อัตราภาษีปี 2568
0 -150,000 บาท : ได้รับการยกเว้นภาษี
150,001 – 300,000 บาท : อัตราภาษี 5%
300,001 – 500,000 บาท : อัตราภาษี 10%
500,001 – 750,000 บาท : อัตราภาษี 15%
750,001 -1,000,000 บาท : อัตราภาษี 20%
1,000,001 – 2,000,000 บาท : อัตราภาษี 25%
2,000,001 -5,000,000 บาท : อัตราภาษี 30%
5,000,001 บาทขึ้นไป : อัตราภาษี 35%
สูตรคำนวณภาษีเบื้องต้น
เงินได้สุทธิ = รายได้ทั้งปี – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน
เมื่อได้ตัวเลข “เงินได้สุทธิ” แล้ว จึงนำมาคำนวณภาษีตามขั้นบันไดข้างต้น
สิทธิพื้นฐานที่ใช้ได้ทุกคน
ผู้มีรายได้จากเงินเดือน (เงินได้ประเภทที่ 1) สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ตามนี้
หักค่าใช้จ่าย แบบเหมา 50% ของรายได้ทั้งปี แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
รวมสิทธิลดหย่อนพื้นฐาน = 160,000 บาท
ตัวอย่างคำนวณภาษีจากรายได้ต่างระดับ
เงินเดือนต่อเดือนรายได้ต่อปีเงินได้สุทธิหลังหัก 160,000 บาทภาษีที่ต้องเสียโดยประมาณ
15,000 บาท180,000 บาท20,000 บาทยกเว้นภาษี
35,000 บาท420,000 บาท260,000 บาท5,500 บาท
50,000 บาท600,000 บาท440,000 บาท21,500 บาท
60,000 บาท720,000 บาท560,000 บาท36,500 บาท
100,000 บาท1,200,000 บาท1,040,000 บาท125,000 บาท
 
จะเห็นได้ว่า ยิ่งรายได้มากเท่าใด ภาษีที่ต้องชำระก็เพิ่มขึ้นตามขั้นบันได ดังนั้น การใช้สิทธิลดหย่อนเพิ่มเติม เช่น กองทุน RMF, SSF, ประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ หรือการบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดภาระภาษีลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักวางแผนการเงินแนะนำว่า การวางแผนภาษีควรเริ่มตั้งแต่กลางปีหรือต้นไตรมาส 4 ของทุกปี เพื่อให้มีเวลาจัดสรรการลงทุนหรือลดหย่อนต่าง ๆ ได้ครบถ้วน ไม่ต้องรีบตัดสินใจในช่วงสิ้นปีที่หลายกองทุนอาจมียอดเต็ม
การรู้จักคำนวณ “เงินได้สุทธิ” อย่างถูกต้อง คือก้าวแรกของการบริหารภาษีอย่างมืออาชีพ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้จ่ายภาษีน้อยลง แต่ยังทำให้เข้าใจโครงสร้างรายได้ของตนเองได้ชัดเจนขึ้น
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : 
https://www.prachachat.net/finance/news-1913623
Cr. รูปจาก FB 
Money Buffalo																															 
						
รู้วิธีคำนวณ “เงินได้สุทธิ” ก่อนยื่นภาษี 2568
ช่วงปลายปีถือเป็น “ฤดูกาลทอง” ของการวางแผนภาษีสำหรับมนุษย์เงินเดือน เพื่อให้การยื่นภาษีประจำปี 2568 เป็นไปอย่างถูกต้อง และไม่ต้องจ่ายเกินกว่าที่ควรจะเป็น
โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้ประจำ ควรเริ่มต้นจากการเข้าใจหลักพื้นฐานของการ “คำนวณเงินได้สุทธิ” ก่อนจะหาวิธีลดหย่อนเพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพชัดว่าต้องเสียภาษีเท่าไหร่ และวางแผนใช้สิทธิต่าง ๆ ได้ตรงจุด
เข้าใจระบบ “อัตราก้าวหน้า” ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ประเทศไทยใช้ระบบคำนวณภาษีแบบ “อัตราก้าวหน้า” หรือ “ขั้นบันได” หมายความว่า ภาษีจะถูกคำนวณตามช่วงของรายได้สุทธิ ยิ่งรายได้สูงขึ้น อัตราภาษีก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
อัตราภาษีปี 2568
0 -150,000 บาท : ได้รับการยกเว้นภาษี
150,001 – 300,000 บาท : อัตราภาษี 5%
300,001 – 500,000 บาท : อัตราภาษี 10%
500,001 – 750,000 บาท : อัตราภาษี 15%
750,001 -1,000,000 บาท : อัตราภาษี 20%
1,000,001 – 2,000,000 บาท : อัตราภาษี 25%
2,000,001 -5,000,000 บาท : อัตราภาษี 30%
5,000,001 บาทขึ้นไป : อัตราภาษี 35%
สูตรคำนวณภาษีเบื้องต้น
เงินได้สุทธิ = รายได้ทั้งปี – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน
เมื่อได้ตัวเลข “เงินได้สุทธิ” แล้ว จึงนำมาคำนวณภาษีตามขั้นบันไดข้างต้น
สิทธิพื้นฐานที่ใช้ได้ทุกคน
ผู้มีรายได้จากเงินเดือน (เงินได้ประเภทที่ 1) สามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้ตามนี้
หักค่าใช้จ่าย แบบเหมา 50% ของรายได้ทั้งปี แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
รวมสิทธิลดหย่อนพื้นฐาน = 160,000 บาท
ตัวอย่างคำนวณภาษีจากรายได้ต่างระดับ
เงินเดือนต่อเดือนรายได้ต่อปีเงินได้สุทธิหลังหัก 160,000 บาทภาษีที่ต้องเสียโดยประมาณ
15,000 บาท180,000 บาท20,000 บาทยกเว้นภาษี
35,000 บาท420,000 บาท260,000 บาท5,500 บาท
50,000 บาท600,000 บาท440,000 บาท21,500 บาท
60,000 บาท720,000 บาท560,000 บาท36,500 บาท
100,000 บาท1,200,000 บาท1,040,000 บาท125,000 บาท
จะเห็นได้ว่า ยิ่งรายได้มากเท่าใด ภาษีที่ต้องชำระก็เพิ่มขึ้นตามขั้นบันได ดังนั้น การใช้สิทธิลดหย่อนเพิ่มเติม เช่น กองทุน RMF, SSF, ประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ หรือการบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยลดภาระภาษีลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักวางแผนการเงินแนะนำว่า การวางแผนภาษีควรเริ่มตั้งแต่กลางปีหรือต้นไตรมาส 4 ของทุกปี เพื่อให้มีเวลาจัดสรรการลงทุนหรือลดหย่อนต่าง ๆ ได้ครบถ้วน ไม่ต้องรีบตัดสินใจในช่วงสิ้นปีที่หลายกองทุนอาจมียอดเต็ม
การรู้จักคำนวณ “เงินได้สุทธิ” อย่างถูกต้อง คือก้าวแรกของการบริหารภาษีอย่างมืออาชีพ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้จ่ายภาษีน้อยลง แต่ยังทำให้เข้าใจโครงสร้างรายได้ของตนเองได้ชัดเจนขึ้น
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1913623
Cr. รูปจาก FB Money Buffalo