ทำไมนิพพานเลยไม่ได้ ทำไมผมต้องเข้ามาเกิดในโลก(วัฏสงสาร)ก่อนแล้วจึงปฏิบัติธรรมแล้วนิพพานได้

ทำไมนิพพานเลยไม่ได้ ทำไมผมต้องเข้ามาเกิดในโลก(วัฏสงสาร)ก่อนแล้วจึงปฏิบัติธรรมแล้วนิพพานได้
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 30
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้อย่างไร


          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งก่อนแต่การตรัสรู้ เมื่อเรายังไม่ได้ตรัสรู้ ยังเป็น โพธิสัตว์อยู่ ความปริวิตกอันนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า 

          สัตว์โลกนี้หนอ ถึงแล้วซึ่งความ ยากเข็ญ ย่อมเกิด ย่อมแก่ ย่อมตาย ย่อมจุติ และย่อมอุบัติ 
ก็เมื่อสัตว์โลกไม่รู้จักอุบายเครื่องออกไปพ้นจากทุกข์ คือชรามรณะแล้ว
➡️➡️  การออกจากทุกข์คือ ชรามรณะ  นี้จักปรากฏขึ้น ได้อย่างไร

          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชรามรณะ จึงได้มี  เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ ดังนี้

          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจ โดยแยบคาย ได้เกิดขึ้น แก่เราว่า
➡️➡️  เพราะ ชาติ นั่นแล มีอยู่ ชรามรณะ จึงได้มี  เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ ดังนี้

เพราะ ภพ นั่นแลมีอยู่ ชาติ จึงได้มี  เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ดังนี้
เพราะ อุปาทาน นั่นแลมีอยู่ ภพจึงได้มี  เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ดังนี้
เพราะ ตัณหา นั่นแลมีอยู่ อุปาทานจึงได้มี  เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ดังนี้
เพราะ เวทนา นั่นแลมีอยู่ ตัณหาจึงได้มี  เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ดังนี้
เพราะ ผัสสะ นั่นแลมีอยู่ เวทนาจึงได้มี  เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ดังนี้
เพราะ สฬายตนะ นั่นแลมีอยู่ ผัสสะจึงได้มี  เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ดังนี้
เพราะ นามรูป นั่นแลมีอยู่ สฬายตนะจึงได้มี  เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ดังนี้
เพราะ วิญญาณ นั่นแลมีอยู่ นามรูปจึงได้มี  เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ดังนี้

          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉงนนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณจึงได้มี  เพราะมีอะไรเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ” ดังนี้

          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้แจ้งอย่างยิ่งด้วยปัญญา เพราะการทำในใจโดย แยบคาย ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า

➡️➡️ เพราะนามรูปนั่นแล มีอยู่  วิญญาณ จึงได้มี
➡️➡️ เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย  จึงมีวิญญาณ ดังนี้

          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า
➡️➡️ วิญญาณนี้  ย่อมเวียนกลับ  จากนามรูป  ย่อมไม่เลยไปอื่น    (- ไม่มี วิญญาณ  ข้ามภพข้ามชาติ)
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกนี้ พึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติบ้าง
ข้อนี้ได้แก่การที่
➡️➡️ เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ   (-  นามรูปและวิญญาณ  เป็นปัจจัยซึ่งกันและกันในการเกิดขึ้น)
➡️➡️ เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงเกิดขึ้นครบถ้วน
➡️➡️  ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้  ย่อมมีด้วยอาการ อย่างนี้


          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ดวงตา เกิดขึ้นแล้ว
ญาณ เกิดขึ้นแล้ว
ปัญญา เกิดขึ้นแล้ว
วิชชา เกิดขึ้นแล้ว
แสงสว่าง เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาแต่ก่อนว่า
ความเกิดขึ้น พร้อม (สมุทโย) ความเกิดขึ้นพร้อม (สมุทโย) ดังนี้


ภิกษุทั้งหลาย
เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มีอยู่  ชราและ มรณะจึงไม่มี  เพราะอะไรดับชราและมรณะจึงดับ
เพราะการทำในใจโดยแยบคาย ของเรานั้น จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า
➡️➡️ เมื่อชาตินั่นแหละไม่มี  ชราและมรณะจึงไม่มี   เพราะความดับแห่งชาติ จึงมีความดับแห่งชราและมรณะ.

ภิกษุทั้งหลาย
เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เมื่ออะไรหนอไม่มีอยู่ ชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ
เพราะการทำในใจโดยแยบคายของเรานั้น จึงได้รู้แจ้ง ด้วยปัญญาว่า
เมื่อภพนั่นแหละไม่มี  ชาติจึงไม่มี   เพราะมีความดับแห่งภพ  จึงมีความดับแห่งชาติ.
… เมื่ออุปาทานนั่นแหละไม่มี  ภพจึงไม่มี   เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน  จึงมีความดับแห่งภพ.
… เมื่อตัณหานั่นแหละไม่มี  อุปาทานจึงไม่มี   เพราะมีความดับแห่งตัณหา  จึงมีความดับอุปาทาน.
… เมื่อเวทนานั่นแหละไม่มี ตัณหาจึงไม่มี  เพราะมีความดับแห่งเวทนา  จึงมีความดับแห่งตัณหา.
… เมื่อผัสสะนั่นแหละไม่มี เวทนาจึงไม่มี  เพราะมีความดับแห่งผัสสะ  จึงมีความดับแห่งเวทนา.
… เมื่อสฬายตนะนั่นแหละไม่มี ผัสสะจึงไม่มี   เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ  จึงมีความดับแห่งผัสสะ.
… เมื่อนามรูปนั่นแหละไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี  เพราะมีความดับแห่งนามรูป  จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ.

ภิกษุทั้งหลาย
เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า  เมื่ออะไรหนอไม่มี  นามรูปจึงไม่มี   เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ
เพราะการทำในใจโดยแยบคายของเรานั้น  จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า
➡️➡️  เมื่อวิญญาณนั่นแหละไม่มี   นามรูปจึงไม่มี   (- วิญญาณไม่มี  นามรูปไม่มี)
➡️➡️  เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ   จึงมีความดับแห่งนามรูป.  (- วิญญาณดับ  นามรูปดับ)

ภิกษุทั้งหลาย
เรานั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า  เมื่ออะไรหนอไม่มี  วิญญาณจึงไม่มี  เพราะอะไรดับ  วิญญาณจึงดับ
เพราะการทำในใจโดยแยบคายของเรานั้น  จึงได้รู้แจ้งด้วยปัญญาว่า
➡️➡️  เมื่อนามรูปนั่นแหละไม่มี  วิญญาณจึงไม่มี   เพราะมีความดับแห่งนามรูป  จึงมีความดับแห่งวิญญาณ.

ภิกษุทั้งหลาย
➡️➡️  ความรู้แจ้งนี้ได้เกิดขึ้นแก่เราว่า  หนทางเพื่อการตรัสรู้นี้  เราได้บรรลุแล้ว  ได้แก่สิ่งเหล่านี้ คือ
➡️➡️  เพราะมีความดับแห่งนามรูป  จึงมีความดับแห่งวิญญาณ
➡️➡️  เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ  จึงมีความดับแห่งนามรูป
เพราะมีความดับแห่งนามรูป  จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ
เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ  จึงมีความดับแห่งผัสสะ
เพราะมีความดับแห่งผัสสะ  จึงมีความดับแห่งเวทนา
เพราะมีความดับแห่งเวทนา  จึงมีความดับแห่งตัณหา
เพราะมีความดับแห่งตัณหา  จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน  จึงมีความดับแห่งภพ
เพราะมีความดับแห่งภพ  จึงมีความดับแห่งชาติ
เพราะมีความดับแห่งชาตินั่นแล ชรามรณะ โสกะปริเทวะ
ทุกขะโทมนัสอุปายาสะทั้งหลาย จึงดับสิ้น
➡️➡️  ความดับลงแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้  ย่อมมีได้ด้วยอาการ อย่างนี้.

ภิกษุทั้งหลาย
จักษุ  ญาณ  ปัญญา  วิชชา  แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา  ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า
ความดับ (นิโรธ) ความดับ (นิโรธ) ดังนี้ …

-บาลี นิทาน. สํ. ๑๖/๑๒๖/๒๕๐.


⬆️ ⬆️
 
ปฏิจจสมุปบาท  ที่ทรงแสดง ก็คือ  การเกิดขึ้นและดับไปของทุกข์  
เป็นการเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายโดยอาศัยกัน  สัมพันธ์เนื่องกันไป
เป็นการแสดงศาสตร์หรือระบบวิชชาที่ทรงตรัสรู้  เรื่องแห่งเหตุปัจจัยของความทุกข์ที่เกิดขึ้น และดับลง
พระศาสดาทรงแสดง  แจกแจง  ลำดับการเกิดขึ้น และดับไปของวงจรทุกข์ แต่ละอาการโดบละเอียดอย่างนี้
เพื่อให้เราศึกษาและสามารถทำลายวงจรแห่งทุกข์นั้นได้  เมื่อเข้าใจการเกิดและการดับของเหตุปัจจัยครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่