เครื่องบินขับไล่ F-16 ตัวเอกสมรภูมิ 5 วันไทย VS กัมพูชา
พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกขณะลงพื้นที่ภูมะเขือวันที่ 22 สิงหาคมพ.ศ.2568
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้ผู้เขียนเชื่อว่าทุกท่านรอดูการตอบสนองจากกองทัพไทยว่าจะเป็นไปในทิศทางใดกับการรับมือหากกองทัพกัมพูชาต้องเปิดศึกหนักกับเราอีกรอบ ช่วงนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจได้ตรงกับคำพูดที่ทหารหรือชาวบ้านหลายๆท่านพูดกันว่าเขมรไว้ใจไม่ได้ เรื่องราวนี้ที่ผู้เขียนจะนำเสนอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านได้อ่านกันจะเป็นเช่นไร ไปติดตามกันครับ
มีอดีตทหารพรานท่านหนึ่งคืออาสาสมัครทหารพรานกรกต เกตุแก้ว ได้กล่าวถึงสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ว่า มาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เนื่องจาก สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้เปิด “ไฟเขียว” ให้กองทัพไทยสามารถปฏิบัติการทางทหารเพื่อปกป้องอธิปไตยได้อย่างเต็มที่แล้ว นี่คือโอกาสทองอย่างแท้จริง ที่กองทัพภาคที่ 2 ภายใต้การนำของพลโทวีรยุทธ รักศิลป์ จะต้องเร่งแสดงแสนยานุภาพและใช้กำลังทหารอันเกรียงไกรกอบกู้ผืนแผ่นดินไทย ที่ถูกกัมพูชารุกล้ำและยึดครองอยู่
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กัมพูชาได้ทำลาย สันติภาพมาอย่างต่อเนื่อง และไม่เคยปฏิบัติตามสัญญาหยุดยิงหรือปฏิญญาใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีล่าสุดที่มีทหารไทยคือจ่าจ่าสิบเอกเทิดศักดิ์ สมาพงษ์ที่เพิ่งไดรับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิดที่ห้วยตามาเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในแผ่นดินไทย
นี่เป็นขาที่ 7 ที่ทหารไทยต้องสูญเสียไปนับตั้งแต่มีการตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2568 เป็นต้นมา
ในส่วนเป้าหมายสำคัญทางยุทธศาสตร์ของทหารเขมรคือการเข้ายึดภูมะเขือ ที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นเนินสูงที่มีความสำคัญทางการทหารและเหมาะสมกับการเข้าวางกำลังของข้าศึกที่ห้วยตามาเรีย ดังนั้นนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จะบุกรุกไปสู่ภูมะเขือให้ได้
อีกทั้งทางการเขมรพยายามกล่าวอ้างว่าระเบิดที่ตรวจพบเป็นเพียงระเบิดเก่ายุคสงครามเย็น แต่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ทหารไทยรู้ว่ามันไม่ใช่ระเบิดรุ่นปู่รุ่นย่า เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่าฝ่ายเราได้มีการเก็บกู้ระเบิดชนิด PMN-2 ที่ยังใหม่และเขียวไม่ขึ้นสนิมอยู่หลายลูก ซึ่งบ่งชี้ถึงความตั้งใจในการทำลายกำลังกายและกำลังใจทหารไทยโดยตรง
หมัดต่อหมัด! โอกาสทองของกองทัพไทยในการปะทะกับเขมรรอบ 2
เครื่องบินขับไล่ F-16 ตัวเอกสมรภูมิ 5 วันไทย VS กัมพูชา
พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกขณะลงพื้นที่ภูมะเขือวันที่ 22 สิงหาคมพ.ศ.2568
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน ช่วงนี้ผู้เขียนเชื่อว่าทุกท่านรอดูการตอบสนองจากกองทัพไทยว่าจะเป็นไปในทิศทางใดกับการรับมือหากกองทัพกัมพูชาต้องเปิดศึกหนักกับเราอีกรอบ ช่วงนี้สถานการณ์ไม่น่าไว้ใจได้ตรงกับคำพูดที่ทหารหรือชาวบ้านหลายๆท่านพูดกันว่าเขมรไว้ใจไม่ได้ เรื่องราวนี้ที่ผู้เขียนจะนำเสนอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านได้อ่านกันจะเป็นเช่นไร ไปติดตามกันครับ
มีอดีตทหารพรานท่านหนึ่งคืออาสาสมัครทหารพรานกรกต เกตุแก้ว ได้กล่าวถึงสถานการณ์แนวชายแดนไทย-กัมพูชาในขณะนี้ว่า มาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด เนื่องจาก สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ได้เปิด “ไฟเขียว” ให้กองทัพไทยสามารถปฏิบัติการทางทหารเพื่อปกป้องอธิปไตยได้อย่างเต็มที่แล้ว นี่คือโอกาสทองอย่างแท้จริง ที่กองทัพภาคที่ 2 ภายใต้การนำของพลโทวีรยุทธ รักศิลป์ จะต้องเร่งแสดงแสนยานุภาพและใช้กำลังทหารอันเกรียงไกรกอบกู้ผืนแผ่นดินไทย ที่ถูกกัมพูชารุกล้ำและยึดครองอยู่
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กัมพูชาได้ทำลาย สันติภาพมาอย่างต่อเนื่อง และไม่เคยปฏิบัติตามสัญญาหยุดยิงหรือปฏิญญาใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีล่าสุดที่มีทหารไทยคือจ่าจ่าสิบเอกเทิดศักดิ์ สมาพงษ์ที่เพิ่งไดรับบาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นระเบิดที่ห้วยตามาเรีย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ในแผ่นดินไทย
นี่เป็นขาที่ 7 ที่ทหารไทยต้องสูญเสียไปนับตั้งแต่มีการตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ.2568 เป็นต้นมา
ในส่วนเป้าหมายสำคัญทางยุทธศาสตร์ของทหารเขมรคือการเข้ายึดภูมะเขือ ที่อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นเนินสูงที่มีความสำคัญทางการทหารและเหมาะสมกับการเข้าวางกำลังของข้าศึกที่ห้วยตามาเรีย ดังนั้นนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่จะบุกรุกไปสู่ภูมะเขือให้ได้
อีกทั้งทางการเขมรพยายามกล่าวอ้างว่าระเบิดที่ตรวจพบเป็นเพียงระเบิดเก่ายุคสงครามเย็น แต่ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว ทหารไทยรู้ว่ามันไม่ใช่ระเบิดรุ่นปู่รุ่นย่า เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่าฝ่ายเราได้มีการเก็บกู้ระเบิดชนิด PMN-2 ที่ยังใหม่และเขียวไม่ขึ้นสนิมอยู่หลายลูก ซึ่งบ่งชี้ถึงความตั้งใจในการทำลายกำลังกายและกำลังใจทหารไทยโดยตรง