กระแสตีกลับ! คนมาเลเซียเข้าข้างไทย ไม่พอใจ "อันวาร์" ปมสื่อรัฐอ้างระเบิดเก่า
.
.
นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง เผยกระแสตีกลับ! คนมาเลเซียเข้าข้างไทย ไม่พอใจ "อันวาร์" ปมสื่อรัฐรายงานอ้างเป็นระเบิดเก่า
.
จากกรณีสื่อมาเลเซียรายงานว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของประเทศมาเลเซีย ได้รับรายงานจากคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน หรือ คณะAOT จากทั้งสองฝ่าย ระบุว่าเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบกับระเบิดบริเวณห้วยตามาเรีย จ.ศรีสะเกษ ไม่ใช่ระเบิดใหม่ แต่ภายหลังมีการออกมาแก้ข่าวว่าเป็นระเบิดใหม่นั้น
.
ล่าสุด อ.ทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ให้สัมภาษณ์ในรายการคุยข้ามช็อตถึงข้อสังเกตเรื่องดังกล่าว ว่า ส่วนตัวเชื่อว่า ไม่ใช่การรายงานผิดพลาด
.
ก่อนจะอธิบายว่า ขณะนี้ตัวนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ประชาชนในประเทศเสื่อมศรัทธาเช่นกัน เนื่องจากเคยประกาศว่าจะปฏิรูปทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง แต่ทุกวันนี้ไม่ได้ทำสักอย่าง เพราะการเมืองภายในก็เป็นรัฐบาลผสมที่เรียกว่า อยู่ในภาวะง่อยแง่น มองว่าการเข้ามาพยายามเป็นตัวกลางให้ไทยและกัมพูชา มีวาระซ่อนเร้น เพื่อหวังสร้างเครดิตให้ตัวเองในเวทีสากล และบอกคนในบ้านตัวเอง
.
แต่พอมีการรายงานข่าวผิดว่า เบอร์นามา ที่เป็นสื่อของรัฐ รายงานข่าวผิด ทำให้คนไทยไม่น้อยแสดงความไม่พอใจมาเลเซีย คนมาเลเซียเองก็ไม่พอใจอันวาร์เช่นกัน ทำให้เป็นกระแสตีกลับ จนมีการพูดกันว่า ถ้าอันวาร์ ทำให้ประเทศไทยโกรธ โดยใช้พยานหลักฐานที่เป็นเท็จ เราจะมีศักดิ์ศรีอะไรในการเป็นประธานของอาเซียน และอย่าลืมว่ามาเลเซียกับไทยอยู่ร่วมกันโดยสันติ ถ้าไม่รวมปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้
.
.
สส.พรรคประชาชน เรียกร้องเลขา สปสช. ปรับปรุงระบบใบส่งตัว - ระบบบริการสุขภาพ กทม.
.
สส.กทม.พรรคประชาชน ยื่นเลขา สปสช. ปรับปรุงระบบใบส่งตัว - ระบบบริการสุขภาพ กทม. เชื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความแออัดของผู้ใช้บริการหน้าคลินิก เรียกร้องรมว.สาธารณสุข เปิดตารับรู้ปัญหา
.
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568 สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน เข้ายื่นหนังสือถึงเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เกี่ยวกับข้อเสนอการแก้ไขปัญหากรณีระบบการส่งตัวผู้ป่วยจากคลินิกชุมชนอบอุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร และปัญหาอื่นๆ ของ สปสช. ที่สร้างภาระแก่ผู้ใช้บริการ
.
โดย น.ส.ปวิตรา จิตตกิจ สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน ระบุว่าปัจจุบันมีประชาชนผู้ใช้สิทธิบัตรทองได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างจากการบริหารของ สปสช. เช่น ระบบส่งตัว ที่ผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยต้องพบคลินิกปฐมภูมิใกล้บ้านเพื่อขอรับใบส่งตัว มีความยุ่งยากและซับซ้อน เพื่อนำใบส่งตัวไปพบกับแพทย์ที่โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิ หากประชาชนมีความเจ็บป่วยมากกว่าหนึ่งโรคก็ต้องขอใบส่งตัวตามจำนวนโรค เพื่อที่จะได้รับใบส่งตัวตามจำนวนอาการเจ็บป่วย และหากเกินเวลารักษา 90 วันแล้วยังไม่หาย ก็ต้องเดินทางซ้ำซ้อนกลับไปขอใบส่งตัวใหม่ รวมทั้งเรื่องยาที่เดิมไม่มีค่าใช้จ่ายและได้รับเต็มจำนวน กลับกลายมาเป็นได้รับไม่เต็มจำนวน ที่เหลือผู้รับบริการต้องหาเอาเอง เป็นต้น
.
น.ส.ปวิตรา ระบุด้วยว่า ระบบของกรุงเทพมหานครมีปัญหาอยู่เยอะมาก ล่าสุดประชาชนไปขอรับยาก็ได้รับแจ้งว่ารัฐไม่ได้จ่ายเงินให้ทางคลินิกจึงไม่สามารถจ่ายยาให้ได้ ประชาชนก็กลายเป็นผู้ที่ต้องรอคอย ส่วนการเพิ่มรอบและจำนวนนั้นอยู่ที่ระบบการจัดการ ซึ่งตนเชื่อว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะมีแนวทางในการบริหารจัดการและพิจารณาได้ดีกว่านี้
.
พร้อมเห็นว่าระบบการบริหารในปัจจุบันนี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาความแออัดของผู้ใช้บริการที่หน้าคลินิก บางที่กำหนดให้ออกใบส่งตัวได้แค่ 10 ใบต่อคลินิกเท่านั้น หมายความว่าคนที่อยู่ที่ลำดับที่ 11 ต้องต่อคิวใหม่ในวันรุ่งขึ้น กลายเป็นความยุ่งยากซับซ้อนหลายประการ อันเป็นผลมาจากการบริหาร ซึ่งตนได้เคยตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และเพื่อนสมาชิกก็ได้ใช้กลไกของสภาสอบถามไปหลายครั้งแล้ว
.
ประเด็นปัญหาการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อลดปัญหาการส่งตัว คำตอบที่ได้รับกลับมาจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข คือจะมีการใช้ซุปเปอร์แอปในการพัฒนาและแก้ปัญหา ซึ่งตนขอตั้งข้อสงสัยว่าขณะนี้ประเทศไทยมีแอปพลิเคชันเกี่ยวกับสาธารณสุขอยู่มากมาย อาทิ หมอพร้อม คลิกนิก เป๋าตัง ทางรัฐ แอปฯ ที่กล่าวมายังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริงหรือ และตอนนี้เฉพาะชาวกรุงเทพฯ ที่ใช้บริการโรงพยาบาลสังกัด กทม. ก็ต้องโหลดแอปฯ “หมอ กทม.” มาเพิ่มอีกหนึ่งแอปฯ เพื่ออำนวยความสะดวกในการหาหมอ ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัยว่าสรุปแล้วซุปเปอร์แอปคือการรวมแอปพลิเคชันให้ใช้งานง่าย หรือคือการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเยอะๆ แต่ระบบก็ยังยุ่งยากเหมือนเดิมกันแน่
.
น.ส.ปวิตรา กล่าวต่อไปว่าตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเคยสื่อสารว่าระบบ สปสช. ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องมีการปฏิรูปใดๆ ตนขอแนะนำให้รัฐมนตรีเข้ากระทรวงและดูข่าวมากกว่านี้ แล้วจะได้เห็นว่ามีปัญหาอยู่มากมาย หากบริหารแบบปิดตาข้างเดียวแบบนี้ ปัญหาก็จะยังคงถูกซุกอยู่ใต้พรม และคนที่ได้รับความเดือดร้อนก็คือประชาชน สส.พรรคประชาชน จึงได้ยื่นหนังสือ ข้อเสนอเพื่อให้ทาง สปสช. ได้พิจารณาถึงประโยชน์ต่อสาธารณะ และเพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
.
.
กกล.บูรพา ชี้วิถีกระสุนกัมพูชา มุ่งสังหารทหารไทย ย้ำ ทุกอย่างพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์.
.
ผบ.ฉก.12 ชี้วิถีกระสุน ‘กัมพูชา’ มุ่งสังหารกำลังพล ยืนยันทุกสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ขณะที่ปักหมุดชั่วคราว 17 พ.ย. ยังคงตามเดิม
.
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.อ.ชัยณรงค์ กาสี ผบ.ฉก.12 กองกำลังบูรพา ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ภายหลัง คณะ AOT หรือคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ลงพื้นที่สำรวจตรวจสอบบังเกอร์ทหารไทย ที่ถูกทหารฝ่ายกัมพูชายิงเข้ามา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ซึ่งอยู่ใกล้กับ จต.ส.34 ถนนศรีเพ็ญ ระหว่างหลักเขตแดนที่ 42-43 บ้าน ว่า การลงพื้นที่ของคณะ AOT ในวันนี้ เราชี้ให้เห็นวิถีกระสุนที่ฝ่ายกัมพูชายิงเข้ามา ซึ่งทุกอย่างสามารถตรวจสอบด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์ได้ นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าทิศทางกระสุนที่ทหารไทยยิงตอบโต้กลับไปนั้น ไม่มีบ้านเรือนของพลเรือนกัมพูชาอยู่แต่อย่างใด
.
พ.อ.ชัยณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่สื่อกัมพูชารายงานข่าว อ้างว่า พลเรือนของตนได้รับบาดเจ็บ-เสียชีวิต จากวิถีกระสุนของทหารไทยนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน เพราะทิศทางการยิงตอบโต้ของทหารไทย อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า เป็นพื้นที่ที่ไม่มีบ้านเรือนของพลเรือนกัมพูชาอาศัยอยู่แต่อย่างใด (เป็นพื้นที่ป่ารก) อย่างไรก็ตามอยากให้สื่อมวลชน และประชาชนชาวไทยตัดสินเองว่าสอดคล้องตามหลักวิทยาศาสตร์หรือไม่อย่างไร
.
พ.อ.ชัยณรงค์ กล่าวย้ำว่า วิถีกระสุนของฝ่ายกัมพูชาที่ยิงบังเกอร์ทหารไทยนั้น มีความชัดเจนว่า “ต้องการปลิดชีพทหารไทย” ไม่มีความประสงค์อื่นใด หากไม่มีบังเกอร์ทหารไทยอาจเสียชีวิตในวันดังกล่าวอย่างแน่นอน ส่วนบังเกอร์ทหารไทย พบร่องรอยกระสุน จำนวน 2 รอย ยืนยันว่า เป็นชนิด 5.56 มม. ส่วนบริเวณต้นไม้พบ ประมาณ 8 รอย (ยังไม่ยืนยัน) ทั้งนี้รอพิสูจน์หลักฐาน ชี้แจงเพื่อความชัดเจนและถูกต้อง
.
ในขณะที่คณะฯ และสื่อมวลชน ลงพื้นที่สำรวจบังเกอร์ดังกล่าว พบว่า มีทหารฝ่ายกัมพูชาโผล่มาสังเกตการณ์จริง ซึ่งมีการแต่งกายคล้ายพลเรือน (ทหารบ้าน) มีอาวุธ แต่ซ่อนไว้ โดยพื้นที่ดังกล่าว พลเรือนกัมพูชาอพยพออกจากพื้นที่ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 แล้ว
.
ทั้งนี้ การปักหมุดชั่วคราว ตั้งแต่หลักเขตแดนที่ 42 -47 พื้นที่ บ้านหนองหญ้าแก้ว และ บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ยังคงดำเนินการตามเดิม คือ วันที่ 17 พฤศจิกายน 2568
.
.
ทบ.ยังพบทุ่นระเบิดต่อเนื่อง! ล่าสุดพบอีก 2 ทุ่นในพื้นที่ช่องอานม้า
.
กองทัพบกยังคงตรวจพบทุ่นระเบิดต่อเนื่อง ล่าสุดในพื้นที่ช่องอานม้า พบอีก 2 ทุ่น ยืนยันเดินหน้ากวาดล้างทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนในเขตอธิปไตยไทย
.
วันที่ 14 พ.ย.2568 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่าปัจจุบันในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ยังคงมีการตรวจพบการใช้ทุ่นระเบิดของทหารกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง โดยวันนี้ในพื้นที่บริเวณเนิน 677 ช่องอานม้า ตำบลโซง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งอยู่ในเขตเส้นปฏิบัติการของไทย หน่วยทหารในพื้นที่ได้ตรวจพบทุ่นระเบิด จำนวน 2 ทุ่น
.
ซึ่งจากการพิสูจน์ทราบโดยชุดตรวจค้นทุ่นระเบิดพบว่าเป็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคล แบบ PMN-2 สภาพใหม่ แต่ยังไม่ได้ถอดสลักนิรภัยออก จึงได้ทำการเก็บกู้ และบันทึกหลักฐานเพื่อดำเนินการรายงานต่อคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน AOT ต่อไป
สำหรับทุ่นระเบิดที่ตรวจพบ 2 ทุ่น วางห่างกันระยะประมาณ 50 เมตร โดยจุดที่ 1 อยู่บริเวณ แนวลาดตระเวนของฝ่ายไทย และจุดที่ 2 อยู่ใกล้เคียงกับฐานปฏิบัติการเก่า บริเวณเนิน 677 ที่ฝ่ายไทยอยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่
JJNY : 5in1 กระแสตีกลับ! ไม่พอใจอันวาร์│สส.ปชน.ร้องเลขาสปสช.│กกล.บูรพาชี้วิถีกระสุนกัมพูชา│ทบ.พบอีก 2 ทุ่น│ฝายท่ากูบแตก
.