หลังจากที่ แค้น เกมรักทรยศ และ ทิชา ประสบความสำเร็จ ก็เดาได้ไม่ยากว่า ช่องทีวี น่าจะทำละคร หรือ ซีรีส์แนวนี้ออกมาให้ได้ชมอีก
ซึ่งจริงๆก็เป็นแนวที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยในหน้าละครไทย ช่วงยุคก่อนหน้านี้
และสัปดาห์นี้ ละคร/ซีรีส์ แนว psychological drama / thriller ก็ปล่อยพร้อมกันทีเดียวสองเรื่อง จากสองช่องบ้านใกล้เรือนเคียง
ความเหมือน ไม่ได้มีแค่ genre เท่านั้น แต่มันมีความคล้ายกันในบางจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้กำกับ
ซึ่งก็คือ พี่กู่ เอกสิทธิ์ คนเดียวกับที่กำกับ ทิชา ซึ่งก็เป็น ซีรีส์ใน genre เดียวกัน
และยังมีความบังเอิญที่สองเรื่องนี้ถ่ายในช่วงเวลาเดียวกัน และได้ออนในสัปดาห์เดียวกัน
นอกจากนี้ ทั้งสองเรื่องยังมาด้วยรูปแบบเดียวกัน คือ มีตัวละครที่มีปม ที่เดินเขาหา ตัวละครหลักอีกตัวด้วยจุดประสงค์บางอย่าง
ซึ่งจิตสะกดแค้นได้เปิดออกมาแล้วว่า ตัวละครตัวนี้ต้องการทำอะไร เพราะอะไร
ในขณะที่เพื่อนสนิทพิษสหาย จุดประสงค์ของตัวละครยังคงเป็นปริศนาต่อไป
และยังมีตัวละครที่ ดูจิตๆ ทั้งสองเรื่อง เพื่อให้สมกับความเป็น psychological drama / thriller
(โอ้แล้วอีกอย่าง พี่เฟรช อริศรา ดูเหมือนจะเล่นทั้งสองเรื่องเลยด้วยแหะ)
แต่.... วิธีการดำเนินเรื่องคือสิ่งที่ทำให้ พล็อตที่ดูเหมือนจะคล้ายกัน กลับต่างกันได้
จิดสะกดแค้น...
ด้วยความที่เรื่องนี้คือละคร การทำบทที่น่าจะดูยากและเครียด ให้ดูง่ายแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ดูถูกคนดู และดูสนุก เลยเป็นโจทย์สำคัญ
นั่นทำให้เรื่องนี้มีตัวละครฝั่งขาวและฝั่งดำที่ค่อนข้างชัดเจน เห็นได้จากโทนสีที่เหลือใช้ทั้งในโปสเตอร์ ไตเติ้ล หรือแม้กระทั่งการเกรดสี
และมีตัวละครที่ถูกเลือกให้เป็นจุดเบรคอารมณ์คนดู อยู่ในเรื่อง
ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ความกระชับในการเล่าเรื่องหายไป แต่ในขณะเดียวกันมันกลับเสริมให้เรื่องนี้ดูมีมิติมากขึ้นได้ดี
และที่สำคัญเลย ตัวละครที่เป็นตัวจุดชนวนและทำให้เกิดเรื่องราว กับตัวละครที่เป็นคนพาเรื่องดำเนินคือคนๆเดียว
นั่นก็คือ ตัวของนางเอก ศรา (ณิชา) ที่ใช้การสะกดจิต เป็นเครื่องมือช่วยในการแก้แค้น
ดังนั้นโจทย์สำคัญที่คนเขียนบทและผู้กำกับ ให้คนดูติดตามคือ ศราจะใช้วิธีไหนบ้างในการแก้แค้น จะโดนอะไรบ้างและจะเอาคืนแบบไหน
พูดง่ายๆคือ ศราคือจุดโฟกัสของเรื่องที่จะพาให้คนดูชวนเอาใจช่วยไปกับตัวละคร และตามเรื่องต่อไปจนจบ
เพื่อนสนิทพิษสหาย...
เรื่องนี้เป็นซีรีส์ ดังนั้นข้อจำกัดในเรื่องของ ต้องทำให้คนดูดูง่ายก็จะลดน้อยลงไป บวกกับสถานการณ์ที่เลือกใช้
ที่เซ็ทให้เรื่องเกิดขึ้นตอนที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ทำให้เรื่องนี้มีความเป็นธรรมชาติของมนุษย์จริงๆ ที่จับต้องได้ ปนอยู่
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เรื่องนี้ต่างจากจิตสะกดแค้น แต่สิ่งที่ทำให้ต่างจริงๆเลยคือ การเลือกตัวนำเรื่องและตัวดำเนินเรื่อง
เรื่องที่เราเห็นก่อนหน้า เช่นแค้น ทิชา หรือแม้กระทั่ง จิตสะกดแค้น
ตัวที่นำเรื่องและตัวดำเนินเรื่อง คือตัวเดียวกันนั่นก็คือ นางเอก ที่พกความแค้นมาและต้องการแก้แค้นตัวละครอีกตัว
แต่เรื่องนี้ต่างออกไป ถ้าใครได้ดูไตเติ้ลเปิดเรื่อง จะเห็นว่า ชื่อนักแสดงนำหญิงสองคนขึ้นพร้อมกัน
คนที่เป็นตัวพาเรื่องดำเนินไป หรือก็คือตัวที่กล้องจะพาคนดูเดินไปพร้อมๆกัน และให้คนดูพร้อมเอาใจช่วย คือตัวทิวลิป (เอมี่)
แต่ตัวนำจริงๆที่เป็นตัวจุดชนวนและทำให้เรื่องดำเนินไป คือ ใบข้าว (แพต) ซึ่งแบกบทที่ค่อนข้างหนักเอาไว้
ทุกอย่างเกี่ยวกับใบข้าวเป็นปริศนาสำหรับคนดู ซึ่งจะต่างจากวิธีการดำเนินเรื่องของจิตสะกดแค้นที่แบ ออกมาหมด
คนดูจะเดินตามทิวลิป แต่จริงๆก็คือ คนดูกำลังดูสิ่งที่ใบข้าวกำลังจะทำ และสงสัยขึ้นเรื่อยๆว่าทำไปทำไม และกลายเป็นหนูน้อยนักสืบกันไป
กลายเป็นว่าจริงๆแล้วคนดูตามดูใบข้าว ผ่านเส้นเรื่องและสายตาของทิวลิป
จาก genre แก้แค้น กลายเป็นผสมสีบสวน ที่ปน thriller เพราะความจิตของตัวละครไป
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้บอกว่า วิธีไหนดึงคนดูได้มากกว่า หรือ ดีกว่า หรือ สนุกกว่ากัน
เพราะจริงๆต่างคนก็ต่างความคิด และเรื่องราวมันก็น่าจะมีเยอะกว่านี้อีกมาก เพราะนี้ก็เพิ่ง อีพี 1-2 กันอยู่เลย
แต่แค่ รู้สึกว่าวิธีที่เลือกใช้มาเล่า ทั้งสองแบบน่าสนใจ บนพล็อตที่มีพื้นฐานมาแบบเดียวกัน
และมันทำให้คิดเล่นๆได้ว่า ถ้าสมมติว่าจะรีเมคละครซักเรื่อง ลองเปลี่ยนมุมมองการเล่าเรื่องจากตัวนึงไปอีกตัวนึง คงทำให้ละครน่าสนใจได้ไม่น้อย
จิตสะกดแค้น - เพื่อนสนิทพิษสหาย ความเหมือนที่แตกต่าง
ซึ่งจริงๆก็เป็นแนวที่ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยในหน้าละครไทย ช่วงยุคก่อนหน้านี้
และสัปดาห์นี้ ละคร/ซีรีส์ แนว psychological drama / thriller ก็ปล่อยพร้อมกันทีเดียวสองเรื่อง จากสองช่องบ้านใกล้เรือนเคียง
ความเหมือน ไม่ได้มีแค่ genre เท่านั้น แต่มันมีความคล้ายกันในบางจุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้กำกับ
ซึ่งก็คือ พี่กู่ เอกสิทธิ์ คนเดียวกับที่กำกับ ทิชา ซึ่งก็เป็น ซีรีส์ใน genre เดียวกัน
และยังมีความบังเอิญที่สองเรื่องนี้ถ่ายในช่วงเวลาเดียวกัน และได้ออนในสัปดาห์เดียวกัน
นอกจากนี้ ทั้งสองเรื่องยังมาด้วยรูปแบบเดียวกัน คือ มีตัวละครที่มีปม ที่เดินเขาหา ตัวละครหลักอีกตัวด้วยจุดประสงค์บางอย่าง
ซึ่งจิตสะกดแค้นได้เปิดออกมาแล้วว่า ตัวละครตัวนี้ต้องการทำอะไร เพราะอะไร
ในขณะที่เพื่อนสนิทพิษสหาย จุดประสงค์ของตัวละครยังคงเป็นปริศนาต่อไป
และยังมีตัวละครที่ ดูจิตๆ ทั้งสองเรื่อง เพื่อให้สมกับความเป็น psychological drama / thriller
(โอ้แล้วอีกอย่าง พี่เฟรช อริศรา ดูเหมือนจะเล่นทั้งสองเรื่องเลยด้วยแหะ)
แต่.... วิธีการดำเนินเรื่องคือสิ่งที่ทำให้ พล็อตที่ดูเหมือนจะคล้ายกัน กลับต่างกันได้
จิดสะกดแค้น...
ด้วยความที่เรื่องนี้คือละคร การทำบทที่น่าจะดูยากและเครียด ให้ดูง่ายแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ดูถูกคนดู และดูสนุก เลยเป็นโจทย์สำคัญ
นั่นทำให้เรื่องนี้มีตัวละครฝั่งขาวและฝั่งดำที่ค่อนข้างชัดเจน เห็นได้จากโทนสีที่เหลือใช้ทั้งในโปสเตอร์ ไตเติ้ล หรือแม้กระทั่งการเกรดสี
และมีตัวละครที่ถูกเลือกให้เป็นจุดเบรคอารมณ์คนดู อยู่ในเรื่อง
ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ความกระชับในการเล่าเรื่องหายไป แต่ในขณะเดียวกันมันกลับเสริมให้เรื่องนี้ดูมีมิติมากขึ้นได้ดี
และที่สำคัญเลย ตัวละครที่เป็นตัวจุดชนวนและทำให้เกิดเรื่องราว กับตัวละครที่เป็นคนพาเรื่องดำเนินคือคนๆเดียว
นั่นก็คือ ตัวของนางเอก ศรา (ณิชา) ที่ใช้การสะกดจิต เป็นเครื่องมือช่วยในการแก้แค้น
ดังนั้นโจทย์สำคัญที่คนเขียนบทและผู้กำกับ ให้คนดูติดตามคือ ศราจะใช้วิธีไหนบ้างในการแก้แค้น จะโดนอะไรบ้างและจะเอาคืนแบบไหน
พูดง่ายๆคือ ศราคือจุดโฟกัสของเรื่องที่จะพาให้คนดูชวนเอาใจช่วยไปกับตัวละคร และตามเรื่องต่อไปจนจบ
เพื่อนสนิทพิษสหาย...
เรื่องนี้เป็นซีรีส์ ดังนั้นข้อจำกัดในเรื่องของ ต้องทำให้คนดูดูง่ายก็จะลดน้อยลงไป บวกกับสถานการณ์ที่เลือกใช้
ที่เซ็ทให้เรื่องเกิดขึ้นตอนที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ทำให้เรื่องนี้มีความเป็นธรรมชาติของมนุษย์จริงๆ ที่จับต้องได้ ปนอยู่
แต่นี่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เรื่องนี้ต่างจากจิตสะกดแค้น แต่สิ่งที่ทำให้ต่างจริงๆเลยคือ การเลือกตัวนำเรื่องและตัวดำเนินเรื่อง
เรื่องที่เราเห็นก่อนหน้า เช่นแค้น ทิชา หรือแม้กระทั่ง จิตสะกดแค้น
ตัวที่นำเรื่องและตัวดำเนินเรื่อง คือตัวเดียวกันนั่นก็คือ นางเอก ที่พกความแค้นมาและต้องการแก้แค้นตัวละครอีกตัว
แต่เรื่องนี้ต่างออกไป ถ้าใครได้ดูไตเติ้ลเปิดเรื่อง จะเห็นว่า ชื่อนักแสดงนำหญิงสองคนขึ้นพร้อมกัน
คนที่เป็นตัวพาเรื่องดำเนินไป หรือก็คือตัวที่กล้องจะพาคนดูเดินไปพร้อมๆกัน และให้คนดูพร้อมเอาใจช่วย คือตัวทิวลิป (เอมี่)
แต่ตัวนำจริงๆที่เป็นตัวจุดชนวนและทำให้เรื่องดำเนินไป คือ ใบข้าว (แพต) ซึ่งแบกบทที่ค่อนข้างหนักเอาไว้
ทุกอย่างเกี่ยวกับใบข้าวเป็นปริศนาสำหรับคนดู ซึ่งจะต่างจากวิธีการดำเนินเรื่องของจิตสะกดแค้นที่แบ ออกมาหมด
คนดูจะเดินตามทิวลิป แต่จริงๆก็คือ คนดูกำลังดูสิ่งที่ใบข้าวกำลังจะทำ และสงสัยขึ้นเรื่อยๆว่าทำไปทำไม และกลายเป็นหนูน้อยนักสืบกันไป
กลายเป็นว่าจริงๆแล้วคนดูตามดูใบข้าว ผ่านเส้นเรื่องและสายตาของทิวลิป
จาก genre แก้แค้น กลายเป็นผสมสีบสวน ที่ปน thriller เพราะความจิตของตัวละครไป
ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้บอกว่า วิธีไหนดึงคนดูได้มากกว่า หรือ ดีกว่า หรือ สนุกกว่ากัน
เพราะจริงๆต่างคนก็ต่างความคิด และเรื่องราวมันก็น่าจะมีเยอะกว่านี้อีกมาก เพราะนี้ก็เพิ่ง อีพี 1-2 กันอยู่เลย
แต่แค่ รู้สึกว่าวิธีที่เลือกใช้มาเล่า ทั้งสองแบบน่าสนใจ บนพล็อตที่มีพื้นฐานมาแบบเดียวกัน
และมันทำให้คิดเล่นๆได้ว่า ถ้าสมมติว่าจะรีเมคละครซักเรื่อง ลองเปลี่ยนมุมมองการเล่าเรื่องจากตัวนึงไปอีกตัวนึง คงทำให้ละครน่าสนใจได้ไม่น้อย