วันนี้พี่หมอฝั่งธน..จะมาให้ความรู้
รู้ทันโรคนิ่วในถุงน้ำดี ก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อนอันตราย
โรคนิ่วในถุงน้ำดี (Gallstones) คือ ภาวะที่มี “ก้อนนิ่ว” หรือผลึกแข็งของคอเลสเตอรอลและสารต่าง ๆ
ไปสะสมอยู่ในถุงน้ำดี ซึ่งเป็นอวัยวะเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ตับ ทำหน้าที่เก็บและส่งน้ำดีไปช่วยย่อยไขมัน
เมื่อเกิดนิ่วภายในถุงน้ำดี อาจทำให้ทางเดินน้ำดีอุดตัน เกิดอาการปวด แน่น หรืออักเสบ
ซึ่งหากปล่อยไว้นาน อาจลุกลามจนเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้

สาเหตุหลักเกิดจาก
ความไม่สมดุลของสารเคมีในน้ำดี โดยเฉพาะคอเลสเตอรอล
ซึ่งเมื่อมากเกินไปจะตกผลึกและกลายเป็น “นิ่ว”
ปัจจัยเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสเกิดโรคนิ่วในถุงน้ำดี ได้แก่เพศหญิง (ฮอร์โมนเอสโตรเจนส่งผลต่อการสร้างคอเลสเตอรอลในน้ำดี)
อายุ 40 ปีขึ้นไป ภาวะอ้วน หรือการลดน้ำหนักรวดเร็ว
การตั้งครรภ์หลายครั้ง การรับประทานอาหารไขมันสูง
พันธุกรรมในครอบครัว โรคเบาหวาน หรือภาวะไขมันในเลือดสูง
“4F” คือกลุ่มเสี่ยงสำคัญของโรคนิ่วในถุงน้ำดี
Female (ผู้หญิง), Fat (อ้วน), Forty (อายุเกิน 40), Fertile (มีลูกหลายคน)
อาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี
ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการเลย (เรียกว่า “นิ่วในถุงน้ำดีชนิดไม่มีอาการ”)
แต่เมื่อมีการอุดตันในท่อน้ำดี มักพบอาการต่อไปนี้
อาการเริ่มต้น ปวดแน่นบริเวณชายโครงขวา หรือใต้ลิ้นปี่
อาการปวดมักเกิดขึ้นหลังกินอาหารมัน ๆ ปวดร้าวไปไหล่ขวาหรือกลางหลัง คลื่นไส้ อาเจียน
อาการรุนแรง หรือมีภาวะแทรกซ้อน มีไข้ หนาวสั่น (อาจเกิดการอักเสบของถุงน้ำดี)
ตัวเหลือง ตาเหลือง (นิ่วอุดตันทางเดินน้ำดี) ปวดท้องรุนแรงติดต่อกันนานหลายชั่วโมง
หากมีอาการปวดท้องร่วมกับไข้หรือดีซ่าน ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที
เพราะอาจเป็นภาวะถุงน้ำดีอักเสบรุนแรง (Acute Cholecystitis)
การวินิจฉัยโรคนิ่วในถุงน้ำดีแพทย์จะเริ่มจากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และใช้การตรวจทางภาพถ่ายเพื่อยืนยันการวินิจฉัย ได้แก่
อัลตราซาวนด์ช่องท้อง (Ultrasound): เป็นวิธีที่นิยมที่สุด
CT Scan / MRI: ใช้ในกรณีที่อัลตราซาวนด์ไม่ชัดเจน
การตรวจเลือด: เพื่อดูค่าการทำงานของตับและสัญญาณการอักเสบ
วิธีการรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดีแนวทางการรักษาขึ้นอยู่กับ อาการและขนาดของนิ่ว โดยแพทย์จะพิจารณาเป็นรายบุคคล
1. การรักษาแบบไม่ผ่าตัด ใช้ในกรณีที่นิ่วยังเล็ก และผู้ป่วยไม่มีอาการรุนแรง
ปรับพฤติกรรมการกิน เช่น ลดอาหารมัน ใช้ยาละลายนิ่วในบางราย (แต่ใช้เวลานาน และอาจกลับมาเป็นซ้ำได้)
2. การรักษาด้วยการผ่าตัด เป็นวิธีมาตรฐานที่ให้ผลดีที่สุดในระยะยาว
การผ่าตัดถุงน้ำดีแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Cholecystectomy)
เจ็บน้อย แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว พักฟื้นเพียง 1–2 วัน ลดความเสี่ยงการติดเชื้อและแผลเป็น
การผ่าตัดแบบเปิด (Open Surgery)ใช้ในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อนหรืออักเสบรุนแรง
แพทย์จะประเมินเป็นรายกรณี
การดูแลหลังการรักษาและป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีหลังผ่าตัด ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยควรปฏิบัติดังนี้
รับประทานอาหารไขมันต่ำ
หลีกเลี่ยงการอดอาหารหรือการลดน้ำหนักเร็วเกินไป
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อประเมินการทำงานของตับและระบบย่อยอาหาร
โรคนิ่วในถุงน้ำดี อาจดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่หากปล่อยทิ้งไว้จนเกิดภาวะอักเสบหรืออุดตันทางเดินน้ำดี
อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การตรวจสุขภาพและพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการผิดปกติ
คือหนทางที่ดีที่สุดในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงค่ะ
รู้ทันโรคนิ่วในถุงน้ำดี ก่อนเกิดภาวะแทรกซ้อนอันตราย
แต่เมื่อมีการอุดตันในท่อน้ำดี มักพบอาการต่อไปนี้
แพทย์จะประเมินเป็นรายกรณี