ระเบิดเวลาเศรษฐกิจ ติมอร์-เลสเต น้องใหม่อาเซียนคนล่าสุด /โดย ลงทุนแมน

ติมอร์-เลสเต คือประเทศล่าสุด ที่เข้าเป็นสมาชิกของอาเซียน

รู้ไหมว่า ประเทศเล็ก ๆ นี้ กลับพึ่งพาน้ำมันสูง จนกลายเป็นระเบิดเวลาที่ซ่อนอยู่ในเศรษฐกิจของประเทศ

https://www.facebook.com/share/p/1CiqNvMzds/?mibextid=wwXIfr


เรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร ?ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง

ติมอร์-เลสเต เป็นประเทศที่ต้องรอเวลากว่า 300 ปี
ถึงจะได้มีสิทธิ์ปกครองตัวเองอย่างแท้จริงสักที

เพราะถูกผนวกเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสมาตั้งแต่ปี
1702 ก่อนจะถูกเปลี่ยนมือไปมา ไล่ตั้งแต่ญี่ปุ่น
ไปจนถึงอินโดนีเซีย ที่เข้ามาปกครองในช่วงเวลาสั้น ๆ

จนในปี 2002 หลังจากสหประชาชาติเข้ามาจัดการให้ติมอร์-เลสเตเป็นอิสระ รัฐบาลของประเทศนี้ถึงสามารถจัดการนโยบายเศรษฐกิจได้ด้วยตัวเองสักที

ดังนั้น ถ้านับถึงปีปัจจุบันนี้ ติมอร์-เลสเตมีโอกาสพัฒนาเศรษฐกิจของตัวเองอย่างจริงจัง ก็แค่ราว 20 กว่าปีเท่านั้น

เรียกได้ว่า เป็นประเทศเกิดใหม่คงไม่ผิดนัก

ซึ่งการเป็นประเทศเกิดใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจให้ก้าวหน้าเลยในทันที แต่ประเทศนี้ ก็ยังมีสมบัติล้ำค่าจากทะเลให้ตัวเองได้ต่อยอด

สมบัติที่ว่านี้ นั่นคือ น้ำมัน ซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของรัฐบาลที่นำมาใช้ในการพัฒนาประเทศ

อย่างไรก็ตาม ติมอร์-เลสเตก็ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการผลิตน้ำมันของตัวเอง จึงกลายเป็นบริษัทต่างชาติส่วนใหญ่จากออสเตรเลีย เข้ามาขุดเจาะและผลิตน้ำมันแทน

ดูแค่นี้เหมือนว่า ติมอร์-เลสเต คงเสียประโยชน์ไปเลย
แต่รัฐบาลเลือกจัดตั้งกองทุนปิโตรเลียมในปี 2005 เพื่อหักส่วนแบ่งรายได้และภาษีจากบริษัทพวกนี้

ซึ่งเมื่อมีรายได้เข้ามา กองทุนปิโตรเลียมนี้ก็จะนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ แล้วรัฐบาลค่อยไปหักเงินออกมาใช้จ่ายเพื่อพัฒนาประเทศ

จากในปีแรกที่กองทุนนี้มีมูลค่าแค่ 6,400 ล้านบาท
มาวันนี้กองทุนเดียวกัน มีมูลค่าสูงถึง 582,000 ล้านบาท
ภายในเวลาแค่ 20 ปีเท่านั้น

เรื่องนี้ก็ฟังเหมือนดูดี เพราะรัฐบาลก็สามารถใช้กองทุนปิโตรเลียม มาสร้างรายได้เข้าประเทศ

แต่ปัญหาคือ กองทุนนี้กลับกลายเป็นแหล่งรายได้ที่ประเทศพึ่งพามากเกินไป..

ในทุก ๆ ปี รัฐบาลมีรายได้ราว 26,000 ล้านบาท ขณะที่มีรายจ่ายประมาณ 2 เท่าของรายได้ หรือราว 52,000 ล้านบาท

เมื่อรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย สิ่งที่รัฐบาลทำคือการหักส่วนแบ่งจากกองทุนปิโตรเลียมมาโปะชดเชย ซึ่งคิดเป็นประมาณ 90% ของส่วนต่างรายจ่ายที่เกิดขึ้น

ดังนั้น แปลว่าการพัฒนาประเทศของติมอร์-เลสเต จึงขึ้นอยู่กับชะตากรรมของการขุดเจาะน้ำมันแบบนี้ไปยาว ๆ

พูดอีกอย่างคือ ติมอร์-เลสเต ไม่ต่างอะไรจากการขายน้ำมันมาเลี้ยงคนทั้งประเทศอยู่ตอนนี้..

อย่างไรก็ตาม แม้ติมอร์-เลสเต จะมีน้ำมันในประเทศตัวเอง แต่ก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปราว 3,460 ล้านบาท

เหตุผลก็เพราะว่า ติมอร์-เลสเต ไม่มีโรงกลั่นในประเทศ จึงทำได้แค่ขุดเจาะน้ำมันดิบ ที่ยังเอามาใช้งานไม่ได้
เลยต้องส่งออกไปยังต่างประเทศแทน

เรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้ประเทศนี้พึ่งพารายได้จากน้ำมันมากขึ้นไปอีก ทั้งรายได้จากการส่งออกน้ำมันดิบ และส่วนแบ่งรายได้จากกองทุนปิโตรเลียม

คำถามคือ แล้วรัฐบาลติมอร์-เลสเต จัดการอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง ?

ถ้ารัฐบาลเอาเงินจากกองทุนปิโตรเลียมไปโปะรายจ่าย
ที่เกิดประโยชน์ในระยะยาว ก็คงเป็นเรื่องที่ดี

แต่ปัจจุบัน งบประมาณส่วนใหญ่ของประเทศถูกใช้ไปกับรายจ่ายข้าราชการราว 30-35%

รองลงมาคือ ถูกใช้ไปกับเงินช่วยเหลือหรืออุดหนุนรายจ่ายของคนในประเทศ เพราะปัจจุบันกว่า 42% ของคนในประเทศถูกจัดว่าเป็นกลุ่มคนยากจน

ในขณะที่เรื่องระยะยาวที่มีประโยชน์กลับถูกใช้จ่ายน้อย
เช่น ใช้เงินไปกับระบบสาธารณสุข 5-10% และการศึกษาแค่ 10-15% ของงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น

แปลว่า เงินที่ได้จากน้ำมันไม่ได้ถูกเอาไปใช้กับการพัฒนาประเทศระยะยาวมากพอ ทั้งที่เป็นการลงทุนกับคน ซึ่งเป็นสิ่งที่คุ้มค่ามากที่สุดในอนาคตของประเทศนั้น ๆ

เมื่อไม่ได้มีการพัฒนาคนในประเทศ สิ่งที่ตามมาคือ ภาคธุรกิจในประเทศ ไม่ได้แข็งแกร่งและเติบโตพอที่จะรองรับการจ้างงานส่วนใหญ่ในประเทศ

กลายเป็นว่ารัฐบาล จึงเป็นแหล่งจ้างงานสำคัญของคนในประเทศ ทั้งการจ้างงานโดยตรง หรือจ้างงานทางอ้อมผ่านโปรเจกต์ก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ในแต่ละปี

ส่วนคนที่เหลือ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ
ก็กระจายไปทำงานในภาคเกษตรกรรมแทน เช่น ปลูกข้าว กาแฟ ถั่ว มันสำปะหลัง เพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ

ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา ติมอร์-เลสเต เจอปัญหาภูมิอากาศโลกแปรปรวน ทำให้ผลผลิตที่ออกมาน้อยลง จนกระทบกับเกษตรกรที่ปลูกพืชเกษตรกรรมที่ว่าทั้งหมดนี้

ยิ่งทำให้เกษตรกรติมอร์-เลสเต ยากจนลงไปอีก

และเมื่อผลผลิตเกษตรกรรมในประเทศลดลง ติมอร์-เลสเต จึงจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าเกษตรมากขึ้น จนประเทศต้องขาดดุลการค้าหนักขึ้น

จากเดิมที่ต้องนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมาใช้ในประเทศอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งต้องนำเข้าอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม

จนในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศขาดดุลการค้าหนักอย่างต่อเนื่อง

- ปี 2022 ขาดดุลการค้า 14,900 ล้านบาท
- ปี 2023 ขาดดุลการค้า 24,100 ล้านบาท
- ปี 2024 ขาดดุลการค้า 25,400 ล้านบาท

ซึ่งจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่แค่การนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจนประเทศ
ขาดดุลการค้าหนักแค่อย่างเดียว แต่มีผลมาจากการส่งออกไปต่างประเทศที่ลดลงฮวบอีกด้วย

- ปี 2022 ส่งออก 15,200 ล้านบาท
- ปี 2023 ส่งออก 5,200 ล้านบาท
- ปี 2024 ส่งออก 2,900 ล้านบาท

ซึ่งการส่งออกที่หายไปเยอะขนาดนี้ เพราะน้ำมันในแหล่งผลิตหลักที่เริ่มหมดลง และกาแฟที่ผลิตได้ลดลงจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลก

แปลว่าระเบิดเวลาของติมอร์-เลสเต อาจมาเร็วกว่าที่คิด
เพราะน้ำมันที่คอยหล่อเลี้ยงประเทศ กำลังมาถึงจุดที่ร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ แล้ว

เรื่องนี้ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่า ติมอร์-เลสเต จะปลดชนวนระเบิดเวลาของประเทศตัวเองอย่างไร

ในวันที่น้ำมันไม่ใช่ความหวังหลักของตัวเองเหมือนในอดีตที่ผ่านมา

ซึ่งการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอาเซียน ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งประตูโอกาสของติมอร์-เลสเต ที่ช่วยให้ประเทศลดการพึ่งพาน้ำมันมากขึ้น และหันไปพึ่งพาการค้าอย่างอื่นแทน

แม้น้ำมันจะลดลง แต่ติมอร์-เลสเต ก็ยังมีความโชคดี ไม่เหมือนกับเวเนซุเอลา ตรงที่ยังมีกองทุนปิโตรเลียม
จากการเอาส่วนแบ่งรายได้น้ำมันไปลงทุนต่อยอด

ซึ่งโจทย์สำคัญก็คงอยู่ที่ว่า ติมอร์-เลสเต ต้องใช้เงินตรงนี้ให้คุ้มค่าในระยะยาว แม้วันนี้อาจยังไม่เห็นผลก็ตาม

โดยเฉพาะการลงทุนกับคน ที่เป็นรากฐานของประเทศทุกอย่าง ทั้งแรงงานผลิต การบริโภค และจ่ายภาษีให้รัฐบาล
ที่สร้างเม็ดเงินให้เศรษฐกิจต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่