“เปา iHAVECPU” ทำธุรกิจเพราะอยากรวย ยอมขายวิญญาณให้แบรนด์ให้คนจดจำ

KEY POINTS
แนวคิดธุรกิจฉบับ “เปา iHAVECPU” ทำเพราะอยากรวย ใช้ Personal Branding เป็นจุดแข็ง เปรียบเหมือน "ขายวิญญาณ" ให้กับแบรนด์

ไม่สนแข่งราคา เพราะเหมือนแข่งกันดำน้ำ ใครกลั้นหายใจได้นานกว่าก็อยู่ได้

ย้ำเป็น CEO ต้องขยันที่สุดในองค์กร ถ้าไม่ขยันสุด ธุรกิจก็ไม่มีวันไปถึงสุดได้เหมือนกัน

การเริ่มต้นธุรกิจของ เปา-พีรดนย์ เหมยากร ผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท ไอ แฮฟ ซีพียู จำกัด (iHAVECPU) หรือที่คนรู้จักในชื่อ “เปา iHAVECPU” ไม่ต่างจากคนทำธุรกิจทั่วไปนัก เพราะเริ่มจากความอยากรวย และมีอยากมีอิสรภาพทางการเงิน ด้วยความที่เขาชอบคอมพิวเตอร์ ธุรกิจขายคอมจึงเกิดขึ้นโดยที่เขาคือพนักงานคนแรก และคนเดียวในช่วงแรกของการก่อตั้งธุรกิจ ที่มีการแข่งขันสูง เป็น Red Ocean และ Margin บาง ดังนั้นโจทย์ของเขาคือจะทำอย่างไรที่คอมพิวเตอร์เหมือนกัน แต่วิธีขายไม่เหมือนกัน 
 

โพสต์ทูเดย์มีโอกาสได้ฟังมุมมองของเขาในงาน BITKUB SUMMIT 2025 เมื่อไม่นานผ่านมาร่วมกับ พชร จิราธิวัฒน์ Potato Corner, นัทธมน พิศาลกิจวนิช สุกี้ตี๋น้อย ,วริษฐา สืบพันธ์วงศ์ MizuMi ซึ่งได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ 
 

แต่ในมุมของเปา-พีรดนย์ ค่อนข้างต่างตรงที่ เขาเองทุ่มสุดตัวให้กับแบรนด์ ด้วยการสร้าง Personal Branding ให้คนจดจำตัวของเขาจนกลายเป็นทั้งอินฟลูเอนเซอร์ และเอนเตอร์เทนเนอร์ ด้วยบุคลิกกวนๆ ฮาๆ จึงได้ใจคนที่ชอบในเรื่องเดียวกัน 
 

“จุดเริ่มต้นของผมง่ายมากครับ ผมอยากรวย”
 

เปา -พีรดนย์ เล่าถึงที่มาของ iHAVECPU ว่า เขาก็เหมือนคนทั่วไป ที่ตอนเริ่มต้นไม่มีอะไรเลย นอกจากอยากมีเงิน อยากมีอิสระทางการเงิน พอคิดได้แบบนั้น ก็เริ่มถามตัวเองว่า “จะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร?” เราต้องมีเครื่องมืออะไรบ้าง และเราชอบอะไรเป็นพิเศษ
 

“ผมเป็นคนชอบประกอบของ ชอบคอมพิวเตอร์ เลยเริ่มจากการประกอบคอมขาย ซึ่งตอนนั้นตลาดคอมยังไม่มีเครื่องที่ประกอบสำเร็จพร้อมใช้งาน ส่วนใหญ่คนต้องไปเลือกชิ้นส่วนเองตามพันทิป  CPU, การ์ดจอ, RAM อะไรแบบนั้น ผมเลยคิดต่าง ทำคอมพิวเตอร์ที่ “พร้อมใช้” เหมือน Instant Product ลูกค้าซื้อกลับไปก็เปิดใช้งานได้เลย ไม่ต้องมานั่งประกอบเอง จุดนี้แหละครับที่ทำให้ iHAVECPU เริ่มขึ้น”

แม้ธุรกิจที่เขาทำอยู่จะมีคู่แข่งในตลาดแน่นมาก ทั้งยังมีแบรนด์ใหญ่ระดับหมื่นล้าน เขาบอกว่า 
 

“ผมสู้ได้ ก็ต้องสู้ด้วยตัวเอง ผมรู้ว่าถ้าอยากให้คนเชื่อมั่นในแบรนด์ เราต้องเริ่มจากสร้าง ความเชื่อถือ ให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะผ่านคอนเทนต์ ไลฟ์สด หรือช่องทางไหนก็ตาม ทุกอย่างต้องสะท้อนให้เห็นว่าเราจริงใจและเข้าใจสิ่งที่เราทำ"
 

จากจุดนั้น จึงเริ่มมองเห็นช่องว่างทางธุรกิจ ว่าจะทำอย่างไรให้คอมพิวเตอร์มีเรื่องราวและความน่าเชื่อถืออยู่ด้วย จึงเริ่มทำคอนเทนต์ ไลฟ์สดโชว์เทสต์เครื่อง พูดคุยกับลูกค้าแบบตรงไปตรงมา พอทำบ่อย ๆ คนเริ่มจำได้ กลายเป็นว่าไม่ได้เป็นแค่ “ร้านขายคอม” แต่เป็นทั้ง influencer และ entertainer ในเวลาเดียวกัน จนกลายเป็นเอกลักษณ์
 

“ผมไม่ต้องพยายามเป็นใคร ผมจะ บ้า ๆ บอ ๆ ก็ได้ เป็นตัวของตัวเองเต็มที่ นั่นแหละคือเสน่ห์ของ iHAVECPU เราไม่ได้แค่ขายของ แต่สร้างคอมมูนิตี้ของคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน”
 

ขายอย่างไรให้คนจำได้
“Personal Branding สำหรับผม มันคือจุดต่างที่ทำให้ iHAVECPU อยู่ได้”
 

เขาเล่าต่อว่า ตอนเริ่มต้น iHAVECPU เป็นทั้งเจ้าของและพนักงานคนเดียว ทุกอย่างต้องทำเองหมด เลยคิดว่า ถ้าอยากให้แบรนด์แตกต่างจากร้านอื่น ๆ ที่ขายของเหมือนกัน สิ่งเดียวที่ทำได้คือ “ขายตัวเอง” เพราะสินค้าคอมพิวเตอร์เหมือนกันหมด สเปกเหมือนกัน ผลิตจากที่เดียวกัน จะต่างก็ตรง “คนขาย” ว่าจะขายอย่างไรให้คนจำได้
 

“ผมอยากให้ลูกค้ารู้สึกว่าคุณไม่ได้แค่ซื้อคอมพิวเตอร์ แต่คุณซื้อจาก iHAVECPU ซื้อจากคนที่เขาเชื่อใจและรู้จักจริง ๆ ไม่ใช่แค่ร้านหนึ่งในตลาด เพราะสุดท้ายแล้วคอมมันเหมือนกันหมด แต่สิ่งที่ทำให้ไม่เหมือนคือ ประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับ ผมเลยเริ่มสร้างคอนเทนต์ ทั้งเทสต์เครื่อง รีวิว สอนประกอบ หรือเล่าเบื้องหลังแบบจริงใจ เพื่อเพิ่ม Valueให้แบรนด์”

ขายวิญญาณให้กับ iHAVECPU
เปา-พีรดนย์ บอกว่า ถ้าไม่สร้าง Personal Branding iHAVECPU ไม่มีวันถึงยอดขาย 2,700 ล้านแน่นอน พร้อมกับบอกว่า เชื่อแบบนั้น 100% เลย ถ้าวันนั้นไม่เลือกออกมาขายเอง ไม่สร้างตัวตนของ “เปา iHAVECPU” ขึ้นมาก็คงอยู่แค่ในระดับเดิม ไม่มีวันโตมาถึงวันนี้ได้
 

“แต่มันคือสิ่งที่ต้อง แลกผมยอมขายวิญญาณให้กับ iHAVECPU ไปแล้ว เพราะทุกอย่างที่ผมพูด ทุกอย่างที่ผมทำ มันคือการขายตัวเองให้แบรนด์ วันนี้ถ้าไม่มีผม iHAVECPU ก็อาจจะสั่นคลอนได้จริง แต่ผมยอมแลกตรงนั้นไปแล้ว”
 

บางคนถามว่า “ถ้าวันหนึ่งไม่มีพี่เปาแล้ว iHAVECPU จะทำยังไง?”
 

"ผมก็บอกว่า แล้วจะคิดไปทำไม ในเมื่อผมยังอยู่ ยังไม่ตาย ผมไม่คิดเรื่องวันนั้นเลยครับ เพราะผมเชื่อว่า ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง iHAVECPU จะต้องแข็งแรงพอที่จะยืนด้วยตัวเองได้แน่นอน ตอนนี้ผมยังอยู่ ผมยังพร้อมลุย ผมยังมีไฟ 100%หน้าที่ของผมคือสร้างให้มันสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้”
 

ลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง
เปา-พีรดนย์ บอกว่า เขาใช้หลักคิดง่าย ๆ ลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเองไม่ต้องจ้างใครให้พูดแทน ไม่ต้องใช้งบเยอะลงทุนกับตัวเอง
 

“ผมชอบวิธีนี้มาก เพราะใช้เงินน้อยแต่ Impact สูงการเทสต์เครื่อง การพูด การทำคอนเทนต์ มันอาจจะเสียเวลา เสียน้ำลายนิดหน่อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันคุ้มมากผมจะไม่กลัวผิด ไม่กลัวโดนด่า ไม่กลัวตกเก้าอี้ เพราะสุดท้ายสิ่งที่เวิร์ก ผมก็ทำต่อ สิ่งไหนไม่เวิร์ก ผมหยุดทันที”
 

ไม่ลงสนามที่โอกาสชนะแค่ 50-50
เราวิเคราะห์คู่แข่งตลอด ว่าวันนี้แต่ละเจ้ามีจุดแข็ง–จุดอ่อนตรงไหน ถ้าเขาแข็งแรงในเรื่องใด จะไม่ไปแข่งตรงนั้น แต่ถ้ามีจุดที่เขายังไม่มี เราจะเข้าไปเติมตรงนั้นให้เป็น “จุดแข็งของเรา”
 

“ผมไม่ลงสนามที่โอกาสชนะแค่ 50-50 ผมจะลงเฉพาะสนามที่ผมมั่นใจว่าชนะ 100% เท่านั้น นั่นแหละครับ หลักคิดของผม ไม่ใช่แค่การทำธุรกิจ แต่มันคือ การใช้ชีวิตแบบเปา iHAVECPU”
 

ไม่แข่งกันตัดราคา 
ถ้าในเรื่องราคา เปา-พีรดนย์ บอกว่า เขาไม่แข่งเรื่องราคา เพราะมันเหนื่อยและไม่ยั่งยืน เขาเปรียบเทียบว่า “การตัดราคาเหมือนแข่งดำน้ำ” ใครกลั้นหายใจได้นานกว่าก็อยู่ได้ แต่สุดท้ายทุกคนก็ขาดอากาศตายเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นเขาเลือกจะไม่ดำน้ำ แต่เลือกจะว่ายน้ำเหนือน้ำให้คนเห็นชัด ๆ 
 

“ผมเห็นคนขาดใจตายเพราะแข่งราคาเยอะแล้วเพราะฉะนั้นผมตั้ง ปณิธาน เลยว่า iHAVECPU จะไม่มีวันลงไปแข่งที่เรื่องราคาเด็ดขาด เพราะเมื่อไหร่ที่เราแข่งราคา เราก็ลงไปเล่นในสนามเดียวกับคู่แข่งโดยตรง ซึ่งมันคือ Red Ocean สุดท้ายไม่มีใครชนะจริง ๆ” 
 

สิ่งที่iHAVECPU เลือกทำคือ เพิ่มคุณค่า แทน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โปรโมชั่น การรีวิว การบริการ หรือประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับจากสถานที่จริง ทั้งหมดนี้คือการ Add Value ให้กับแบรนด์ เมื่อเราทำแบบนี้ น้ำหนักของราคา มันจะลดลงทันที
 

ลูกค้าจะไม่มองว่าร้านนี้แพงกว่าอีกนิดแต่จะรู้สึกว่าไม่เป็นไร เชื่อใจ iHAVECPU ได้เขาเชื่อว่าความเชื่อมั่น มันตีมูลค่าไม่ได้
 


เป็น CEO ต้องขยันกว่าใคร
เปา-พีรดนย์ยังกล่าวว่า เขาเองในฐานะเจ้าของ และเป็น CEO ที่ออกกล้องคนเดียวของบริษัท มั่นใจเลยว่า ตนเองนั้นขยันกว่าทุกคนในบริษัทแน่นอน เพราะเชื่อว่า ถ้า CEO ยังไม่ขยันสุด ธุรกิจก็ไม่มีวันไปถึงสุดได้เหมือนกัน
 

“CEO ต้องขยันที่สุด ผมเชื่อว่าคนเป็น CEO ต้องขยันที่สุดในองค์กรเพราะมันมีผลทั้ง ภายนอก และ ภายในในมุมของลูกค้า เขาจะรู้สึกมั่นใจ ถ้าเห็นว่าเจ้าของลงมือจริง ทำจริง พูดจริง ส่วนในมุมของทีม ถ้าลูกน้องเห็นว่า CEO ยังขยันขนาดนี้ เขาก็จะไม่กล้าขี้เกียจเอง”
 

เราต้องเป็นต้นแบบให้เห็น แล้วระบบมันจะขับเคลื่อนไปเองโดยอัตโนมัติ เขาบอกว่าเป็นคนทำงานหนักอยู่แล้ว และมองว่า “ความเชื่อมั่น” ที่สร้าง มันสามารถแปลงเป็นยอดขายได้จริง เพราะสุดท้ายแล้ว การขายคอมพิวเตอร์ของเขาคือ “การขายโดยไม่ขาย”
 

ผมไม่เคยไลฟ์สดแบบตะโกนขายของ เพราะสินค้าของเราไม่ได้มีราคาหลักร้อย แต่มันอยู่ในระดับหมื่น สองหมื่น สามหมื่น ลูกค้าจะไม่ซื้อเพราะเสียงเชียร์หรือความตลก แต่จะซื้อเพราะ ความรู้ ความเข้าใจ และความเชื่อมั่นสิ่งที่ผมทำคือ “ให้ก่อน”  ให้ความรู้ ให้ข้อมูล ให้ลูกค้าเห็นประสิทธิภาพ ความแรง ความแตกต่างของเครื่อง จนวันหนึ่ เมื่อเขาตัดสินใจจะซื้อคอมพิวเตอร์ เขาอาจจะไม่ได้ซื้อวันนี้ แต่เขาจะกลับมาซื้อกับเราแน่นอน เพราะเขารู้ว่า คนนี้แหละ ของจริง เชื่อถือได้
 

สุดท้ายแล้ว เปา-พีรดนย์เผยว่า อนาคตเขาก็คงอยู่ที่เดิมเพราะก็มีแค่สิ่งเดียวที่ทำได้ดีที่สุด ถ้าไม่มี iHAVECPU ก็คงไม่เหลืออะไรแล้ว
 

"แต่ขอชาติเดียวพอ ชาติหน้าไม่เอาแล้ว เหนื่อยเกินไปจริง ๆ ชาตินี้เต็มที่แล้ว ชาติหน้าถ้ามีจริง ผมไม่ขอเป็นเจ้าของธุรกิจอีกแล้ว เหนื่อย เหนื่อยมากจริง ๆ ขอหมดแค่ชาตินี้พอ" เขาทิ้งท้ายด้วยอารมณ์ขัน 


แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่