ขรก.ท้องถิ่นเฮ! แก้กฎหมายดึง 'บำเหน็จตกทอด' ค้ำประกันกู้เงินแบงก์ได้

KEY POINTS
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น แก้ไขกฎหมายบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงินได้

การแก้ไขกฎหมายนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้รับบำนาญที่ประสบปัญหาทางการเงิน เนื่องจากบำนาญรายเดือนและบำเหน็จดำรงชีพเดิมไม่เพียงพอต่อการครองชีพ

ผู้รับบำนาญปกติและผู้รับบำนาญพิเศษเหตุทุพพลภาพสามารถใช้สิทธินี้ได้ โดยหากผู้กู้เสียชีวิตหรือผิดสัญญา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะชำระหนี้ให้สถาบันการเงินจากเงินบำเหน็จตกทอดนั้น

แหล่งข่าวจากกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ได้แก้ไขพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2500 มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้สามารถนำสิทธิบำเหน็จตกทอดนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงิน ได้ ล่าสุดได้ยกร่าง พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น ฉบับใหม่ และเปิดรับฟังความคิดเห็นแล้ว

ทั้งนี้ที่ผ่านมา พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น ฉบับเดิม ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2551 บัญญัติให้ผู้รับบำนาญมีสิทธินำบำเหน็จดำรงชีพมาใช้ได้ก่อนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและเพื่อให้ผู้รับบำนาญสามารถดำรงชีพอยู่ได้โดยเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ แต่การดำเนินการดังกล่าวสามารถช่วยเหลือผู้รับบำนาญได้เพียงบางส่วน 

อีกทั้งปรากฏว่ายังมีผู้รับบำนาญอีกจำนวนมากที่ได้รับบำนาญรายเดือนในอัตราต่ำทำให้ได้รับบำเหน็จดำรงชีพในอัตราที่ไม่เพียงพอต่อการครองชีพ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไป ผู้รับบำนาญจำนวนมากประสบปัญหาทางการเงิน การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย จึงมีความจำเป็นเพื่อให้ผู้รับบำนาญสามารถนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงินได้

สาระสำคัญของการแก้ไขร่าง พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น มีดังนี้
1. กำหนดให้ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพสามารถนำสิทธิบำเหน็จตกทอดนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงินได้ 

2. กรณีที่ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพนำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินกับสถาบันการเงินถึงแก่ความตายหรือผิดสัญญากู้เงิน จนต้องบังคับเอากับสิทธิในบำเหน็จตกทอดนั้น ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจ่ายเงินให้สถาบันการเงินเท่ากับจำนวนที่ถูกบังคับแต่ไม่เกินจำนวนสิทธิในบำเหน็จตกทอดที่นำไปเป็นหลักทรัพย์ ทั้งนี้ ให้จ่ายจากงบประมาณที่ตั้งไว้สำหรับการเบิกจ่ายบำเหน็จตกทอด

3. กรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจ่ายเงินแก่สถาบันการเงินไปแล้วตามข้อ 2 ให้ราชการส่วนท้องถิ่นหักจำนวนเงินนั้นออกจากสิทธิในบำเหน็จตกทอดเท่ากับจำนวนที่ราชการส่วนท้องถิ่นได้จ่ายให้แก่สถาบันการเงิน กรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่อาจหักได้ ให้เรียกเงินคืนจากผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพหรือจากกองมรดกของผู้นั้นแทน

4. กรณีที่ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพได้นำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงินแล้ว ภายหลังได้กลับมารับราชการใหม่และใช้สิทธินับเวลาราชการในการคำนวณบำเหน็จบำนาญในครั้งก่อนต่อเนื่องกับการรับราชการในครั้งหลังนี้
เมื่อออกจากราชการในครั้งหลังได้เลือกรับบำเหน็จ ให้จ่ายบำเหน็จแก่ผู้นั้นตามสิทธิ แต่ต้องไม่เกินจำนวนที่เหลือจากสิทธิในบำเหน็จตกทอดที่นำไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงิน โดยให้กันเงินจำนวนดังกล่าวไว้ หากสัญญาสิ้นสุดลงแล้วจึงจะคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้

5. กำหนดให้กรณีที่ผู้รับบำนาญปกติหรือผู้รับบำนาญพิเศษเพราะเหตุทุพพลภาพได้นำสิทธิในบำเหน็จตกทอดไปเป็นหลักทรัพย์ในการประกันการกู้เงิน หากสัญญากู้เงินสิ้นสุดลงโดยไม่มีการบังคับเอากับสิทธิในบำเหน็จตกทอดนั้น ให้ทายาทมีสิทธิได้รับบำเหน็จตกทอดเต็มตามจำนวนที่มีสิทธิ แต่หากมีการบังคับเอากับสิทธิดังกล่าว ให้มีสิทธิได้รับเท่าจำนวนที่เหลือหลังจากหักจำนวนเงินที่จ่ายให้แก่สถาบันการเงินแล้ว


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่