คลังจ่อรื้อ "ค่าลดหย่อน" ภาษีเงินได้ หวังเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ

“คลัง“ เดินหน้าปฏิรูปภาษี เล็งรื้อ "ค่าลดหย่อน" ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หวังเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บ คาดเริ่มบังคับใช้ปีภาษี 69

ตามที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงทีมงานศึกษาเรื่องการปรับเกณฑ์ค่าลดหย่อนต่างๆ เนื่องจากระบบการลดหย่อนในปัจจุบันค่อนข้างกระจัดกระจายและไม่มีกรอบที่ชัดเจน รัฐบาลอาจจำเป็นต้องกำหนดเพดาน (Ceiling) ของวงเงินลดหย่อน เพื่อให้มีความชัดเจนว่าแต่ละปีไม่ควรเกินเท่าไร

ทั้งนี้ การปฏิรูประบบลดหย่อนภาษีนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการปัญหาด้านวินัยทางการคลัง โดยเป็นการดูเรื่องรายได้ของรัฐบาล และคาดว่าการปรับลดหย่อนจะช่วยให้ฐานภาษีของประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างมาก หากมีการบังคับใช้ระบบดิจิทัลในการจัดเก็บภาษี ซึ่งคาดว่าจะกำหนดกรอบการทำงานให้ชัดเจนภายในเดือนพ.ย.นี้

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การดำเนินการปฏิรูปภาษีถือเป็นโอกาสดีที่จะเข้ามาดูเรื่องการบริหารงานจัดเก็บรายได้อย่างจริงจัง โดยเป้าหมายคือการสรุปผลแนวทางการปฏิรูปภาษีให้เสร็จสิ้นภายในปีนี้ 

นายลวรณ ระบุว่า ค่าลดหย่อนภาษีเป็นปัจจัยหนึ่งที่ ทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น หากมีการปรับปรุงเรื่องค่าลดหย่อน ก็จะช่วยให้เก็บภาษีได้มากขึ้น

โดยหากผู้เสียภาษีใช้สิทธิ์ลดหย่อนเต็มทุกรายการ วงเงินรวมที่สามารถลดหย่อนได้จะสูงถึงล้านกว่าบาทต่อคน รายการลดหย่อนที่มีวงเงินสูงมาก เช่น การซื้อกองทุน RMF สามารถลดหย่อนได้ 500,000 บาทต่อคน และ SSF อีก 300,000 บาท นอกจากนี้ยังมีประกันชีวิต ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ ค่าลดหย่อนส่วนตัว และอื่นๆ การใช้สิทธิ์ลดหย่อนเหล่านี้ทำให้การจัดเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น


สำหรับกรอบเวลาการบังคับใช้ นายลวรณระบุว่า การปฏิรูปอาจไม่ทันสำหรับเงินได้ปี 2568 ที่จะยื่นในปี 2569 เนื่องจากต้องมีการแก้ไขกฎหมายบางเรื่อง แต่เงินได้ปี 2569 ที่จะยื่นในปี 2570 นั้น มีโอกาสที่จะใช้เกณฑ์ใหม่ได้

“คาดว่าเมื่อนโยบายหลัก (Quick Big Win) มีความนิ่งแล้ว จะมีการลงมาดูเรื่องนี้อย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม การปรับลดหย่อนต้องมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน เพราะบางครั้งการให้ค่าลดหย่อนก็เป็นเครื่องมือในการส่งเสริมบางเรื่องที่รัฐบาลต้องการจูงใจให้ประชาชนทำ”

สำหรับภาพรวมปีงบประมาณ 2569 กระทรวงการคลังไม่ได้ตั้งเป้าหมายรายได้ให้สูงกว่าปี 2568 มากนัก โดยเชื่อว่า แม้ GDP ปี 2569 จะต่ำกว่าปี 2568 แต่เป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้ก็ยังอยู่ในวิสัยที่สามารถดำเนินการได้

เปิดผลจัดเก็บรายได้สรรพากรปี 68

รายงานจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรสำหรับปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 2567 - ก.ย. 2568) โดยกรมสรรพากรสามารถจัดเก็บรายได้รวมทั้งสิ้น 2,335,300 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 67,104 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.0% อย่างไรก็ตาม ยอดจัดเก็บรวมนี้ต่ำกว่าเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณ 37,200 ล้านบาท คิดเป็น 1.6%

รายงานระบุว่าในส่วนของรายได้ที่กรมสรรพากรได้รับมอบหมายให้จัดเก็บเองโดยตรง สามารถจัดเก็บได้รวม 1,873,404 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปีก่อนถึง 4.9% และอาจเรียกได้ว่าการจัดเก็บในส่วนนี้เก็บได้เท่ากับเป้าหมายตามเอกสารงบประมาณที่กรมได้รับ 1.874 ล้านล้านบาท โดยมีความแตกต่างเพียง 636 ล้านบาท หรือ 0.0004% เท่านั้น

ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนการจัดเก็บรายได้หลัก มาจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการบริโภคภายในประเทศ โดยยอดจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มรวมทุกประเภทอยู่ที่ 992,829 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายในเอกสารงบประมาณถึง 23,829 ล้านบาท หรือ 2.5% โดยธุรกิจสำคัญที่ชำระภาษีเพิ่มขึ้น ได้แก่ ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง ธุรกิจบริการทางการเงิน ธุรกิจไฟฟ้า ก๊าซ ไอน้ำ และธุรกิจโทรคมนาคม
ชี้รายได้นำเข้าและอสังหาริมทรัพย์ฉุดภาพรวม

ในขณะที่ ส่วนของภาษีที่หน่วยงานอื่นจัดเก็บแทนให้กรมสรรพากร จัดเก็บได้รวม 461,895 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าปีก่อนหน้า 20,217 ล้านบาท หรือ 4.2% และ ต่ำกว่าเป้าหมายถึง 36,565 ล้านบาท หรือ 7.3%
ทั้งนี้ สาเหตุหลักของการขาดเป้าหมายมาจากการจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการนำเข้า ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยจัดเก็บได้ 376,206 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายถึง 29,794 ล้านบาท หรือ 7.3% การลดลงนี้เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าและราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ภาษีอสังหาริมทรัพย์ที่จัดเก็บโดยกรมที่ดินก็ต่ำกว่าเป้าหมายเช่นกัน เนื่องจากกำลังซื้อที่อยู่อาศัยลดลง และสถาบันการเงินยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ แม้จะมีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จากภาครัฐแล้วก็ตาม
สำหรับประเภทภาษีสำคัญที่มีการจัดเก็บต่ำกว่าเป้าหมาย ได้แก่

1.ภาษีเงินได้นิติบุคคล จัดเก็บได้ 797,100 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 39,000 ล้านบาท หรือ 4.7%

2. ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม จัดเก็บได้ 27,414 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อนถึง 19.0% และต่ำกว่าเป้าหมายอย่างมากถึง 29.0%

3.ภาษีธุรกิจเฉพาะ จัดเก็บได้ 66,872 ล้านบาท ต่ำกว่าปีก่อน 2,471 ล้านบาหรือ 3.6% และต่ำกว่าเป้าหมาย 6,428 ล้านบาทหรือ 8.8%

4.ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จัดเก็บได้ 432,353 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมาย 3,547 ล้านบาท หรือ 0.8%


ที่มา https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1203038
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่