"พระสุโขทัยไตรมิตร" เป็นพระพุทธรูปทองคำที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการบันทึกในหนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ พระพุทธรูปทองคำองค์นี้มีหน้าตั้งกว้าง 3.01 เมตร สูง 3.91 เมตร องค์พระสามารถถอดได้ 9 องค์ จากฐานองค์พระขึ้นไปเนื้อทองบริสุทธิ์ 40% พระพักตร์มีเนื้อทอง 80% ส่วนพระเกศมีน้ำหนัก 45 กิโลกรัม เป็นเนื้อทองบริสุทธิ์ 99.99%

สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยสุโขทัย ปางมารวิชัย เข้าใจว่า เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ไปอัญเชิญพระพุทธรูปมาจากเมืองเหนือเพื่อนำมาประดิษฐานยังวัดสำคัญ พระพุทธรูปที่เชิญมามีจำนวนมาก ทำให้ดูแลไม่ทั่วถึง ขุนนางผู้หนึ่งจึงแอบเอาปูนไล้พระพุทธรูปทองคำแล้วนำมาไว้ยังวัดที่ตนสร้าง จนได้อัญเชิญมาไว้ที่วัดพระยาไกร (วัดโชติการาม) ต่อมาบริษัท อี๊สต์เอเชียติ๊ก ได้ขอเช่าที่วัด (ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้างแล้ว) เป็นโรงเลื่อยจักร จึงได้อัญเชิญไว้ที่ข้างพระเจดีย์และปลูกเพิงสังกะสีมุงเป็นหลังคากั้นไว้อย่างหยาบ ๆ หลังจากนั้นเป็นเวลาเกือบ 20 ปี เมื่อพระอุโบสถและพระวิหารหลังใหม่สร้างเสร็จจึงได้อัญเชิญขึ้นประดิษฐาน แต่ในระหว่างการเคลื่อนย้ายปูนที่หุ้มองค์พระกระเทาะออก จึงทำให้เห็นองค์พระข้างในเป็นทองคำ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2498
วัดพระยาไกรตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก ทางทิศใต้ของกรุงเทพมหานคร การอัญเชิญพระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากรมาประดิษฐยังวัดนี้ในสมัยรัชกาลที่ 3 คงใช้วิธีเดียวกันกับการเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปขนาดใหญ่อื่นๆ ตามที่ปรากฎหลักฐานในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ คือ บรรทุกแพจากหัวเมืองล่องมาตามแม่น้ำ เมื่อขึ้นท่าแล้ว ตั้งบนตะเฆ่ชักลากเข้าสู่วิหาร
ตะเฆ่ที่ใช้ในการชักลากพระพุทธรูปขนาดใหญ่สมัยโบราณ สร้างขึ้นโดยใช้ไม้ทำเป็นแม่สะดึง (โครงตะเฆ่) แล้วปูพื้นกระดานบนแม่สะดึงเป็นที่ตั้งพระ ส่วนล้อใช้ท่อนไม้ที่กลึงให้กลมรองไว้ข้างใต้ตะเฆ่หลายๆ ท่อน ชักลากใช้เชือกผูกกับตะเฆ่แล้วอาศัยแรงคนดึง เมื่อตะเฆ่เคลื่อนไปด้านหน้าจนท่อนไม้กลมท่อนหนึ่งหลุดออกมาทางด้านหลัง ก็นำไปรอรับทางด้านหน้าแล้วชักลากตะเฆ่ต่อ ทำเช่นนี้ไปจนถึงที่หมาย

การอัญเชิญพระพุทธรูปขนาดใหญ่จากวัดพระยาไกรสู่วัดไตรมิตรวิทยาราม เมื่อ พ.ศ.2478 เป็นไปอย่างราบรื่น บริษัทอีสต์เอเชียติ๊ก ได้จัดรถบรรทุกให้ 1 คัน เคลื่อนย้ายองค์พระมาตามถนนเจริญกรุง โดยเชิญรูปพระอริยสาวกที่อยู่ในพระวิหารมาด้วยกัน คือ พระโมคคัลลา และพระสารีบุตร บนรถต้องมีคนถือไม้ง่ามไว้คอยค้ำสายไฟฟ้าและสายรถรางให้พ้นพระเกตุมาลาเป็นระยะ ในตอนนั้นมีชาวบ้านแถบวัดพระยาไกรส่วนหนึ่งพากันเดินตามมาส่ง และระหว่างทางมีคนสนใจมุงดูกันมาก เมื่อถึงวัดไตรมิตรวิทยาราม ได้อัญเชิญประดิษฐานไว้ข้างพระเจดีย์เป็นการชั่วคราว โดยทางวัดสร้างเพิงสังกะสีกันแดดกันฝนถวาย เนื่องจากสถานที่อื่นภายในวัดมีสภาพทรุดโทรม กำลังรอการบูรณะปรับปรุง ระหว่างนั้นชาวบ้านนิยมเรียกพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "หลวงพ่อวัดพระยาไกร" และมีวัดอื่นขอไปประดิษฐานที่วัดของตนหลายครั้ง แต่ก็เปลี่ยนใจทุกครั้ง พระพุทธรูปองค์นี้จึงยังคงอยู่ ณ วัดไตรมิตรวิทยารามสืบมา
บนรถต้องมีคนถือไม้ง่ามไว้คอยค้ำสายไฟฟ้าและสายรถรางให้พ้นพระเกตุมาลาเป็นระยะ ในตอนนั้นมีชาวบ้านแถบวัดพระยาไกรส่วนหนึ่งพากันเดินตามมาส่ง และระหว่างทางมีคนสนใจมุงดูกันมาก
ชาวบ้านแถบวัดพระยาไกรส่วนหนึ่งพากันเดินตามมาส่ง และระหว่างทางมีคนสนใจมุงดูกันมาก
ชิ้นส่วนปูนที่กะเทาะหลุดออกจากองค์พระ
โพสต์จาก Rimtangstory เรื่องเล่าริมทาง
ข้อมูลจากป้ายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดง วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร
หลวงพ่อทองคำ วัดไตรมิตร ; ประวัติความเป็นมา และการเคลื่อนย้ายจากวัดพระยาไกรไปประดิษฐานยังวัดไตรมิตร
ตะเฆ่ที่ใช้ในการชักลากพระพุทธรูปขนาดใหญ่สมัยโบราณ สร้างขึ้นโดยใช้ไม้ทำเป็นแม่สะดึง (โครงตะเฆ่) แล้วปูพื้นกระดานบนแม่สะดึงเป็นที่ตั้งพระ ส่วนล้อใช้ท่อนไม้ที่กลึงให้กลมรองไว้ข้างใต้ตะเฆ่หลายๆ ท่อน ชักลากใช้เชือกผูกกับตะเฆ่แล้วอาศัยแรงคนดึง เมื่อตะเฆ่เคลื่อนไปด้านหน้าจนท่อนไม้กลมท่อนหนึ่งหลุดออกมาทางด้านหลัง ก็นำไปรอรับทางด้านหน้าแล้วชักลากตะเฆ่ต่อ ทำเช่นนี้ไปจนถึงที่หมาย