วันนี้อยากจะมาชวนคุย ชวนรีวิวหนังรักโรแมนติกสุดคลาสสิกเรื่องนี้กันแบบยาวๆ ครับ ge of Adaline บอกเลยว่าเป็นหนังที่ไม่ได้มีดีแค่พระเอกหล่อ นางเอกสวย (ซึ่งสวยมากกกก สวยแบบตะโกน) แต่เนื้อหาของมันลึกซึ้งและจี๊ดใจเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ
หนังเริ่มต้นด้วยเสียงบรรยายที่เหมือนกำลังเล่านิทานปรัมปราให้เราฟัง พาเราไปรู้จัก "อดาไลน์ โบว์แมน" (รับบทโดย Blake Lively ที่เหมือนเกิดมาเพื่อบทนี้) ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่เกิดในวันที่ 1 มกราคม ปี 1908 ชีวิตเธอก็เหมือนคนทั่วไป เติบโต แต่งงาน มีลูกสาวที่น่ารัก 1 คน จนกระทั่งคืนหนึ่งในปี 1937 ที่ชีวิตของเธอพลิกผันไปตลอดกาล อดาไลน์ประสบอุบัติเหตุรถตกสะพานลงไปในแม่น้ำที่เย็นเยียบในคืนที่อากาศหนาวเหน็บและมีพายุฟ้าคะนอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของปาฏิหาริย์
ร่างกายของเธอเย็นจนหัวใจหยุดเต้น แต่แล้วปาฏิหาริย์ (หรือคำสาป?) ก็เกิดขึ้น เมื่อสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่ซากรถของเธอในจังหวะที่หัวใจหยุดเต้นพอดี กระแสไฟฟ้ามหาศาลปลุกเธอให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา พร้อมกับ "ของแถม" สุดพิเศษที่วิทยาศาสตร์ในยุคหน้ายังอธิบายไม่ได้คือ...ร่างกายของเธอจะหยุดอายุไว้ที่ 29 ปีตลอดกาล
ฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่ในความเป็นจริง มันคือคำสาปที่ขมขื่นที่สุด อดาไลน์ต้องทนเห็นลูกสาวของตัวเอง "เฟลมมิ่ง" ค่อยๆ เติบโต แก่ชราลงไปต่อหน้าต่อตา ในขณะที่เธอยังคงสาวสะพรั่งเหมือนเดิม เธอต้องเจ็บปวดกับการถูกตั้งคำถาม ถูกตำรวจเรียกสอบสวนเพราะรูปในใบขับขี่ไม่ตรงกับตัวจริง เธอไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับใครได้ เพราะกลัวว่าความลับจะแตก กลัวการถูกมองเป็นตัวประหลาด หรือที่แย่ที่สุด คือการถูกจับไปทดลองวิทยาศาสตร์
เธอจึงต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ย้ายที่อยู่ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนตัวตนทุกๆ 10 ปี วนเวียนอยู่แบบนี้มาเกือบ 80 ปี... หัวใจของเธอถูกแช่แข็งไปพร้อมกับกาลเวลา สัตว์เลี้ยงเพียงตัวเดียวที่เธอรัก (สุนัขพันธุ์คาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียล) ก็ตายจากไปตามอายุขัยรุ่นแล้วรุ่นเล่า เหลือเพียงเฟลมมิ่ง (รับบทโดย Ellen Burstyn) ที่ตอนนี้กลายเป็นคุณยาย แต่ยังคงเป็นลูกสาวที่คอยปลอบโยนแม่ผู้เป็นอมตะ
ตัดภาพมาที่ซานฟรานซิสโกยุคปัจจุบัน อดาไลน์ในชื่อ "เจนนี่" ทำงานอย่างเงียบๆ ในหอจดหมายเหตุ เธอกำลังเตรียมตัวที่จะย้ายหนีอีกครั้งตามวงจรชีวิตของเธอ แต่แล้วในงานปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โชคชะตาก็เล่นตลก เมื่อเธอได้พบกับ "เอลลิส โจนส์" (รับบทโดย Michiel Huisman) หนุ่มหล่อใจบุญผู้มีเสน่ห์เหลือร้าย เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็นและพยายามจะทลายกำแพงน้ำแข็งที่เธอสร้างไว้รอบตัวลงให้ได้
พาร์ทนี้คือความโรแมนติกที่หนังจัดเต็มมากครับ เคมีของพระนางมันดีงาม ชวนให้เรายิ้มตามและเอาใจช่วยสุดๆ เราจะเห็นการ "รุก" ของเอลลิสที่ทั้งฉลาดและจริงใจ เขาไม่ใช่แค่หลงในความสวย แต่เขาหลงในความรอบรู้และความลึกลับของเธอ ฉากที่เขาตามเธอไปถึงที่ทำงาน (ห้องสมุด) และใช้ "หนังสือ" เป็นสื่อรักก็น่าประทับใจมาก เขาพยายามทำทุกทางให้เธอเปิดใจ
เราจะเห็นความลังเลในแววตาของอดาไลน์ ด้านหนึ่งคือหัวใจที่โหยหาความรักและอยากจะหยุดวิ่งหนีเสียที แต่อีกด้านคือความกลัวที่ฝังรากลึกมาเกือบศตวรรษ หนังฉลาดมากที่ตัดสลับภาพแฟลชแบ็กให้เราเห็นความเจ็บปวดในอดีตของเธอ เห็นผู้ชายที่เธอเคยรักและต้องจำใจทิ้งไป มันทำให้เราเข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงกลัวการเริ่มต้นใหม่ขนาดนี้ กลัวที่จะต้องเจ็บปวดจากการสูญเสียอีกครั้ง กลัวที่จะต้องทิ้งใครสักคนไป...อีกแล้ว
แต่เฟลมมิ่ง ลูกสาววัยชราของเธอ กลับเป็นคนที่คอยกระตุ้นเตือนว่า "มันนานพอแล้วนะแม่" เธอไม่อยากเห็นแม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป คำพูดนี้เองที่ทำให้อดาไลน์ตัดสินใจเสี่ยงครั้งสำคัญ เธอตกลงที่จะไปงานฉลองครบรอบแต่งงาน 40 ปีของพ่อแม่เอลลิส ซึ่งจัดขึ้นที่บ้านนอกเมือง
และแล้วหนังก็พาเราไปสู่จุดไคลแม็กซ์ที่ทำเอาคนดูต้องอ้าปากค้าง เมื่อเอลลิสพาอดาไลน์ไปถึงบ้านและเธอก็ได้พบกับ "วิลเลียม โจนส์" (รับบทโดยนักแสดงรุ่นใหญ่ในตำนานอย่าง Harrison Ford) พ่อของเอลลิส
วินาทีที่วิลเลียมเห็นหน้าอดาไลน์...โลกทั้งใบของเขาก็หยุดหมุน เขาเผลอเรียกชื่อ "อดาไลน์" ออกมาเบาๆ อดาไลน์ที่กำลังช็อก พยายามแก้ต่างว่านั่นคือชื่อ "แม่" ของเธอ และเธอกับแม่หน้าเหมือนกันมาก วิลเลียมดูเหมือนจะยอมรับ แต่แววตาของเขามันเต็มไปด้วยความสับสนตลอดเวลา
ฉากนี้คือที่สุดของหนังจริงๆ ครับ การแสดงของ Harrison Ford ที่ถ่ายทอดความช็อก ความสับสน ความรัก และความคิดถึงออกมาผ่านทางสายตา มันทรงพลังจนเราแทบจะหยุดหายใจตามไปด้วย มันคือโมเมนต์ที่อดีตที่อดาไลน์พยายามวิ่งหนีมาตลอดชีวิต ได้วิ่งไล่ตามมาทันเธอในรูปแบบที่ไม่คาดฝันที่สุด
ความตึงเครียดมันค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นครับ ตลอดช่วงเวลาที่เธออยู่ที่บ้านหลังนั้น วิลเลียมเริ่มสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่มัน "ใช่" เกินไป โดยเฉพาะ "รอยแผลเป็น" ที่มือซ้ายของอดาไลน์ ซึ่งเป็นแผลที่เขาจำได้ดีว่าเกิดขึ้นตอนที่พวกเขาไปปีนเขาด้วยกันเมื่อหลายสิบปีก่อน
จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อวิลเลียมไปรื้อกล่องเก่าๆ และเจอรูปถ่ายของเขาในวัยหนุ่มกับผู้หญิงที่หน้าตาเหมือน "เจนนี่" ไม่ผิดเพี้ยน เขารู้ทันทีว่านี่คือ "อดาไลน์" คนเดียวกันผู้หญิงที่เขาเคยรักสุดหัวใจเมื่อ 40-50 ปีก่อน คนที่เขากำลังจะขอแต่งงาน แต่เธอกลับหายตัวไปจากชีวิตเขาอย่างปริศนา
การเผชิญหน้าระหว่างวิลเลียมกับอดาไลน์มันบีบหัวใจมากครับ วิลเลียมไม่ได้โกรธแต่เขาสับสนและอยากได้คำอธิบายอดาไลน์รู้ตัวว่าเธออยู่ต่อไม่ได้แล้ว ความลับแตกแล้ว เธอทำลายครอบครัวนี้ไม่ได้เธอเลือกทำในสิ่งที่เธอทำมาตลอด 80 ปี...นั่นคือ "วิ่งหนี"
เธอขับรถหนีออกมากลางดึก ทิ้งเอลลิสที่กำลังงุนงงและหัวใจสลายไว้ข้างหลัง ในขณะที่เธอกำลังขับรถฝ่าความมืดและหิมะที่เริ่มตก เธอกำลังโทรศัพท์สารภาพรักกับเอลลิสผ่านมือถือเป็นครั้งแรก...และโชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง รถบรรทุกคันหนึ่งเสียหลักพุ่งเข้าชนรถของเธออย่างจัง
ร่างของอดาไลน์กระเด็นออกมาจากรถ เธอแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางหิมะที่หนาวเหน็บ อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว...หัวใจของเธอหยุดเต้นอีกครั้ง มันคือสภาวะเดียวกับที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อ 80 ปีก่อนเป๊ะๆ
เสียงผู้บรรยายกลับมาอีกครั้ง อธิบายว่าในขณะที่รถพยาบาลมาถึงและทีมกู้ภัยใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (Defibrillator) เพื่อช่วยชีวิตเธอ กระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ช็อตเข้าที่ร่างของเธอในสภาวะอุณหภูมิต่ำสุดขีดนั้น ได้ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสายฟ้าฟาดในอดีต...มัน "รีเซ็ต" ร่างกายของเธอ ปลดล็อกคำสาปให้เธอกลับมาแก่ชราได้เหมือนคนปกติ
อดาไลน์ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล โดยมีเอลลิสเฝ้าอยู่ข้างเตียง เฟลมมิ่งรีบตามมา และในที่สุด อดาไลน์ก็ตัดสินใจ "หยุดวิ่ง" เธอเล่าความจริงทั้งหมดให้เอลลิสฟัง และด้วยความรักที่เขามีให้เธอ เขาก็พร้อมที่จะเชื่อและอยู่เคียงข้างเธอ
หนังปิดท้ายด้วยฉากที่อบอุ่นหัวใจในอีก 1 ปีต่อมา อดาไลน์กับเอลลิสกำลังเตรียมตัวไปงานปาร์ตี้ปีใหม่ด้วยกัน ขณะที่เธอกำลังส่องกระจก เธอสังเกตเห็นบางอย่างบนขมับของเธอ... "ผมหงอก" เส้นแรกในชีวิต อดาไลน์ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา มันคือสัญญาณว่าปาฏิหาริย์ (หรือคำสาป) ได้สิ้นสุดลงแล้ว เธอสามารถใช้ชีวิตและ "แก่" ไปพร้อมกับคนที่เธอรักได้เสียที
เสน่ห์ของหนังที่ไม่ได้มีแค่ความรัก
นอกเหนือจากพล็อตเรื่องที่แข็งแรงและโรแมนติกสุดๆ แล้ว "The Age of Adaline" ยังมีเสน่ห์ในด้านอื่นอีกเพียบครับ
งานภาพและแฟชั่น นี่คือสวรรค์ของคนรักแฟชั่นเลยก็ว่าได้ หนังพาเราย้อนยุคไปดูสไตล์การแต่งตัวของผู้หญิงตั้งแต่ยุค 20s, 30s, 40s... มาจนถึงปัจจุบันผ่านตัวของอดาไลน์ ซึ่ง Blake Lively ก็เอาอยู่ทุกลุคจริงๆ สวยสง่า คลาสสิกแบบไร้ที่ติ บวกกับงานภาพสวยๆ บรรยากาศละมุนๆ ของเมืองซานฟรานซิสโก ทำให้หนังเรื่องนี้ดูเพลินตาเพลินใจมาก
การเล่าเรื่องที่อบอุ่น ถึงแม้พล็อตจะมีความเป็นแฟนตาซีเหนือจริง แต่หนังกลับเล่ามันออกมาได้อย่างนุ่มนวลและน่าเชื่อถือ มีเสียงผู้บรรยายที่คอยอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนเรากำลังฟังนิทานเรื่องหนึ่ง มันทำให้เรารู้สึกอินและผูกพันกับตัวละครอดาไลน์ได้ง่ายขึ้น
ข้อคิดที่ทิ้งไว้ให้เรา หนังตั้งคำถามสำคัญกับเราว่า "อะไรคือความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิต?" การมีชีวิตยืนยาวเป็นนิรันดร์ แต่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว มันมีความสุขจริงหรือ? หรือความงดงามของชีวิตมันอยู่ที่การได้ "แก่ลงไปพร้อมกับคนที่เรารัก" ได้ใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดร่วมกัน สร้างความทรงจำดีๆ แม้จะรู้ว่าวันหนึ่งต้องจากลากันก็ตาม
ทำไมต้องดูหนังเรื่องนี้?
"The Age of Adaline" ไม่ใช่แค่หนังรักหวานเลี่ยนทั่วไป แต่มันคือหนังรักที่พาเราไปสำรวจความหมายของเวลา ความรัก และการสูญเสียได้อย่างลึกซึ้งและสวยงาม มันเป็นหนังที่ฟีลกู๊ด อบอุ่นหัวใจ แต่ในขณะเดียวกันก็แอบมีมุมเศร้าๆ ที่ทำให้เราน้ำตาซึมได้เหมือนกัน
ถ้าคุณกำลังมองหาหนังรักดีๆ สักเรื่องที่พล็อตไม่ธรรมดา มีความคลาสสิก ดูแล้วอิ่มใจ และได้ข้อคิดดีๆ กลับไปนอนคิดต่อ...เรื่องนี้คือคำตอบที่ใช่เลยครับ มันเป็นหนังที่จะทำให้คุณหันกลับมารักและเห็นคุณค่าของ "เวลา" ที่คุณมีอยู่กับคนที่คุณรักมากขึ้นแน่นอน
เอาเป็นว่า...เตรียมป๊อปคอร์นให้พร้อม แล้วไปร่วมลุ้นกันว่าปาฏิหาริย์ของกาลเวลา จะนำพาอดาไลน์ไปพบกับบทสรุปแบบไหน รับรองว่าคุณจะตกหลุมรักเธอและหนังเรื่องนี้แบบไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ
แนะนำตัวละครหลัก
อดาไลน์ โบว์แมน (Adaline Bowman) / เจนนี่ ลาร์สสัน (Jenny Larsson) (รับบทโดย Blake Lively) หญิงสาวผู้ประสบอุบัติเหตุในปี 1937 ทำให้เธอมีอายุ 29 ปีตลอดกาล เธอต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและหลบหนีมาเกือบ 80 ปี เพื่อปกปิดความลับของตัวเอง
เอลลิส โจนส์ (Ellis Jones) (รับบทโดย Michiel Huisman) หนุ่มหล่อเสน่ห์แรงผู้มั่งคั่งและจิตใจดี เขาตกหลุมรักอดาไลน์และพยายามทำทุกอย่างเพื่อทลายกำแพงในใจเธอ
วิลเลียม โจนส์ (William Jones) (รับบทโดย Harrison Ford) พ่อของเอลลิส นักดาราศาสตร์ผู้ใจดีและอบอุ่น เขากลับกลายเป็นคนรักเก่าในอดีตของอดาไลน์เมื่อ 40 กว่าปีก่อน
เฟลมมิ่ง เพรสคอตต์ (Flemming Prescott) (รับบทโดย Ellen Burstyn) ลูกสาวของอดาไลน์ ที่ตอนนี้กลายเป็นคุณยายวัย 80 กว่า แต่ยังคงเป็นที่พึ่งพิงทางใจเพียงหนึ่งเดียวของแม่ผู้ไม่แก่ชรา
รา
[CR] รีวิวหนังเก่า แบบสปอยล์ นิด ๆ Age of Adaline
หนังเริ่มต้นด้วยเสียงบรรยายที่เหมือนกำลังเล่านิทานปรัมปราให้เราฟัง พาเราไปรู้จัก "อดาไลน์ โบว์แมน" (รับบทโดย Blake Lively ที่เหมือนเกิดมาเพื่อบทนี้) ผู้หญิงธรรมดาๆ ที่เกิดในวันที่ 1 มกราคม ปี 1908 ชีวิตเธอก็เหมือนคนทั่วไป เติบโต แต่งงาน มีลูกสาวที่น่ารัก 1 คน จนกระทั่งคืนหนึ่งในปี 1937 ที่ชีวิตของเธอพลิกผันไปตลอดกาล อดาไลน์ประสบอุบัติเหตุรถตกสะพานลงไปในแม่น้ำที่เย็นเยียบในคืนที่อากาศหนาวเหน็บและมีพายุฟ้าคะนอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของปาฏิหาริย์
ร่างกายของเธอเย็นจนหัวใจหยุดเต้น แต่แล้วปาฏิหาริย์ (หรือคำสาป?) ก็เกิดขึ้น เมื่อสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาที่ซากรถของเธอในจังหวะที่หัวใจหยุดเต้นพอดี กระแสไฟฟ้ามหาศาลปลุกเธอให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา พร้อมกับ "ของแถม" สุดพิเศษที่วิทยาศาสตร์ในยุคหน้ายังอธิบายไม่ได้คือ...ร่างกายของเธอจะหยุดอายุไว้ที่ 29 ปีตลอดกาล
ฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่ในความเป็นจริง มันคือคำสาปที่ขมขื่นที่สุด อดาไลน์ต้องทนเห็นลูกสาวของตัวเอง "เฟลมมิ่ง" ค่อยๆ เติบโต แก่ชราลงไปต่อหน้าต่อตา ในขณะที่เธอยังคงสาวสะพรั่งเหมือนเดิม เธอต้องเจ็บปวดกับการถูกตั้งคำถาม ถูกตำรวจเรียกสอบสวนเพราะรูปในใบขับขี่ไม่ตรงกับตัวจริง เธอไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับใครได้ เพราะกลัวว่าความลับจะแตก กลัวการถูกมองเป็นตัวประหลาด หรือที่แย่ที่สุด คือการถูกจับไปทดลองวิทยาศาสตร์
เธอจึงต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยว ย้ายที่อยู่ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนตัวตนทุกๆ 10 ปี วนเวียนอยู่แบบนี้มาเกือบ 80 ปี... หัวใจของเธอถูกแช่แข็งไปพร้อมกับกาลเวลา สัตว์เลี้ยงเพียงตัวเดียวที่เธอรัก (สุนัขพันธุ์คาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียล) ก็ตายจากไปตามอายุขัยรุ่นแล้วรุ่นเล่า เหลือเพียงเฟลมมิ่ง (รับบทโดย Ellen Burstyn) ที่ตอนนี้กลายเป็นคุณยาย แต่ยังคงเป็นลูกสาวที่คอยปลอบโยนแม่ผู้เป็นอมตะ
ตัดภาพมาที่ซานฟรานซิสโกยุคปัจจุบัน อดาไลน์ในชื่อ "เจนนี่" ทำงานอย่างเงียบๆ ในหอจดหมายเหตุ เธอกำลังเตรียมตัวที่จะย้ายหนีอีกครั้งตามวงจรชีวิตของเธอ แต่แล้วในงานปาร์ตี้ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ โชคชะตาก็เล่นตลก เมื่อเธอได้พบกับ "เอลลิส โจนส์" (รับบทโดย Michiel Huisman) หนุ่มหล่อใจบุญผู้มีเสน่ห์เหลือร้าย เขาตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็นและพยายามจะทลายกำแพงน้ำแข็งที่เธอสร้างไว้รอบตัวลงให้ได้
พาร์ทนี้คือความโรแมนติกที่หนังจัดเต็มมากครับ เคมีของพระนางมันดีงาม ชวนให้เรายิ้มตามและเอาใจช่วยสุดๆ เราจะเห็นการ "รุก" ของเอลลิสที่ทั้งฉลาดและจริงใจ เขาไม่ใช่แค่หลงในความสวย แต่เขาหลงในความรอบรู้และความลึกลับของเธอ ฉากที่เขาตามเธอไปถึงที่ทำงาน (ห้องสมุด) และใช้ "หนังสือ" เป็นสื่อรักก็น่าประทับใจมาก เขาพยายามทำทุกทางให้เธอเปิดใจ
เราจะเห็นความลังเลในแววตาของอดาไลน์ ด้านหนึ่งคือหัวใจที่โหยหาความรักและอยากจะหยุดวิ่งหนีเสียที แต่อีกด้านคือความกลัวที่ฝังรากลึกมาเกือบศตวรรษ หนังฉลาดมากที่ตัดสลับภาพแฟลชแบ็กให้เราเห็นความเจ็บปวดในอดีตของเธอ เห็นผู้ชายที่เธอเคยรักและต้องจำใจทิ้งไป มันทำให้เราเข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงกลัวการเริ่มต้นใหม่ขนาดนี้ กลัวที่จะต้องเจ็บปวดจากการสูญเสียอีกครั้ง กลัวที่จะต้องทิ้งใครสักคนไป...อีกแล้ว
แต่เฟลมมิ่ง ลูกสาววัยชราของเธอ กลับเป็นคนที่คอยกระตุ้นเตือนว่า "มันนานพอแล้วนะแม่" เธอไม่อยากเห็นแม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป คำพูดนี้เองที่ทำให้อดาไลน์ตัดสินใจเสี่ยงครั้งสำคัญ เธอตกลงที่จะไปงานฉลองครบรอบแต่งงาน 40 ปีของพ่อแม่เอลลิส ซึ่งจัดขึ้นที่บ้านนอกเมือง
และแล้วหนังก็พาเราไปสู่จุดไคลแม็กซ์ที่ทำเอาคนดูต้องอ้าปากค้าง เมื่อเอลลิสพาอดาไลน์ไปถึงบ้านและเธอก็ได้พบกับ "วิลเลียม โจนส์" (รับบทโดยนักแสดงรุ่นใหญ่ในตำนานอย่าง Harrison Ford) พ่อของเอลลิส
วินาทีที่วิลเลียมเห็นหน้าอดาไลน์...โลกทั้งใบของเขาก็หยุดหมุน เขาเผลอเรียกชื่อ "อดาไลน์" ออกมาเบาๆ อดาไลน์ที่กำลังช็อก พยายามแก้ต่างว่านั่นคือชื่อ "แม่" ของเธอ และเธอกับแม่หน้าเหมือนกันมาก วิลเลียมดูเหมือนจะยอมรับ แต่แววตาของเขามันเต็มไปด้วยความสับสนตลอดเวลา
ฉากนี้คือที่สุดของหนังจริงๆ ครับ การแสดงของ Harrison Ford ที่ถ่ายทอดความช็อก ความสับสน ความรัก และความคิดถึงออกมาผ่านทางสายตา มันทรงพลังจนเราแทบจะหยุดหายใจตามไปด้วย มันคือโมเมนต์ที่อดีตที่อดาไลน์พยายามวิ่งหนีมาตลอดชีวิต ได้วิ่งไล่ตามมาทันเธอในรูปแบบที่ไม่คาดฝันที่สุด
ความตึงเครียดมันค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นครับ ตลอดช่วงเวลาที่เธออยู่ที่บ้านหลังนั้น วิลเลียมเริ่มสังเกตเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่มัน "ใช่" เกินไป โดยเฉพาะ "รอยแผลเป็น" ที่มือซ้ายของอดาไลน์ ซึ่งเป็นแผลที่เขาจำได้ดีว่าเกิดขึ้นตอนที่พวกเขาไปปีนเขาด้วยกันเมื่อหลายสิบปีก่อน
จุดแตกหักเกิดขึ้นเมื่อวิลเลียมไปรื้อกล่องเก่าๆ และเจอรูปถ่ายของเขาในวัยหนุ่มกับผู้หญิงที่หน้าตาเหมือน "เจนนี่" ไม่ผิดเพี้ยน เขารู้ทันทีว่านี่คือ "อดาไลน์" คนเดียวกันผู้หญิงที่เขาเคยรักสุดหัวใจเมื่อ 40-50 ปีก่อน คนที่เขากำลังจะขอแต่งงาน แต่เธอกลับหายตัวไปจากชีวิตเขาอย่างปริศนา
การเผชิญหน้าระหว่างวิลเลียมกับอดาไลน์มันบีบหัวใจมากครับ วิลเลียมไม่ได้โกรธแต่เขาสับสนและอยากได้คำอธิบายอดาไลน์รู้ตัวว่าเธออยู่ต่อไม่ได้แล้ว ความลับแตกแล้ว เธอทำลายครอบครัวนี้ไม่ได้เธอเลือกทำในสิ่งที่เธอทำมาตลอด 80 ปี...นั่นคือ "วิ่งหนี"
เธอขับรถหนีออกมากลางดึก ทิ้งเอลลิสที่กำลังงุนงงและหัวใจสลายไว้ข้างหลัง ในขณะที่เธอกำลังขับรถฝ่าความมืดและหิมะที่เริ่มตก เธอกำลังโทรศัพท์สารภาพรักกับเอลลิสผ่านมือถือเป็นครั้งแรก...และโชคชะตาก็เล่นตลกอีกครั้ง รถบรรทุกคันหนึ่งเสียหลักพุ่งเข้าชนรถของเธออย่างจัง
ร่างของอดาไลน์กระเด็นออกมาจากรถ เธอแน่นิ่งอยู่ท่ามกลางหิมะที่หนาวเหน็บ อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว...หัวใจของเธอหยุดเต้นอีกครั้ง มันคือสภาวะเดียวกับที่เกิดขึ้นกับเธอเมื่อ 80 ปีก่อนเป๊ะๆ
เสียงผู้บรรยายกลับมาอีกครั้ง อธิบายว่าในขณะที่รถพยาบาลมาถึงและทีมกู้ภัยใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (Defibrillator) เพื่อช่วยชีวิตเธอ กระแสไฟฟ้าแรงสูงที่ช็อตเข้าที่ร่างของเธอในสภาวะอุณหภูมิต่ำสุดขีดนั้น ได้ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสายฟ้าฟาดในอดีต...มัน "รีเซ็ต" ร่างกายของเธอ ปลดล็อกคำสาปให้เธอกลับมาแก่ชราได้เหมือนคนปกติ
อดาไลน์ฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาล โดยมีเอลลิสเฝ้าอยู่ข้างเตียง เฟลมมิ่งรีบตามมา และในที่สุด อดาไลน์ก็ตัดสินใจ "หยุดวิ่ง" เธอเล่าความจริงทั้งหมดให้เอลลิสฟัง และด้วยความรักที่เขามีให้เธอ เขาก็พร้อมที่จะเชื่อและอยู่เคียงข้างเธอ
หนังปิดท้ายด้วยฉากที่อบอุ่นหัวใจในอีก 1 ปีต่อมา อดาไลน์กับเอลลิสกำลังเตรียมตัวไปงานปาร์ตี้ปีใหม่ด้วยกัน ขณะที่เธอกำลังส่องกระจก เธอสังเกตเห็นบางอย่างบนขมับของเธอ... "ผมหงอก" เส้นแรกในชีวิต อดาไลน์ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา มันคือสัญญาณว่าปาฏิหาริย์ (หรือคำสาป) ได้สิ้นสุดลงแล้ว เธอสามารถใช้ชีวิตและ "แก่" ไปพร้อมกับคนที่เธอรักได้เสียที
เสน่ห์ของหนังที่ไม่ได้มีแค่ความรัก
นอกเหนือจากพล็อตเรื่องที่แข็งแรงและโรแมนติกสุดๆ แล้ว "The Age of Adaline" ยังมีเสน่ห์ในด้านอื่นอีกเพียบครับ
งานภาพและแฟชั่น นี่คือสวรรค์ของคนรักแฟชั่นเลยก็ว่าได้ หนังพาเราย้อนยุคไปดูสไตล์การแต่งตัวของผู้หญิงตั้งแต่ยุค 20s, 30s, 40s... มาจนถึงปัจจุบันผ่านตัวของอดาไลน์ ซึ่ง Blake Lively ก็เอาอยู่ทุกลุคจริงๆ สวยสง่า คลาสสิกแบบไร้ที่ติ บวกกับงานภาพสวยๆ บรรยากาศละมุนๆ ของเมืองซานฟรานซิสโก ทำให้หนังเรื่องนี้ดูเพลินตาเพลินใจมาก
การเล่าเรื่องที่อบอุ่น ถึงแม้พล็อตจะมีความเป็นแฟนตาซีเหนือจริง แต่หนังกลับเล่ามันออกมาได้อย่างนุ่มนวลและน่าเชื่อถือ มีเสียงผู้บรรยายที่คอยอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ เหมือนเรากำลังฟังนิทานเรื่องหนึ่ง มันทำให้เรารู้สึกอินและผูกพันกับตัวละครอดาไลน์ได้ง่ายขึ้น
ข้อคิดที่ทิ้งไว้ให้เรา หนังตั้งคำถามสำคัญกับเราว่า "อะไรคือความหมายที่แท้จริงของการมีชีวิต?" การมีชีวิตยืนยาวเป็นนิรันดร์ แต่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว มันมีความสุขจริงหรือ? หรือความงดงามของชีวิตมันอยู่ที่การได้ "แก่ลงไปพร้อมกับคนที่เรารัก" ได้ใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดร่วมกัน สร้างความทรงจำดีๆ แม้จะรู้ว่าวันหนึ่งต้องจากลากันก็ตาม
ทำไมต้องดูหนังเรื่องนี้?
"The Age of Adaline" ไม่ใช่แค่หนังรักหวานเลี่ยนทั่วไป แต่มันคือหนังรักที่พาเราไปสำรวจความหมายของเวลา ความรัก และการสูญเสียได้อย่างลึกซึ้งและสวยงาม มันเป็นหนังที่ฟีลกู๊ด อบอุ่นหัวใจ แต่ในขณะเดียวกันก็แอบมีมุมเศร้าๆ ที่ทำให้เราน้ำตาซึมได้เหมือนกัน
ถ้าคุณกำลังมองหาหนังรักดีๆ สักเรื่องที่พล็อตไม่ธรรมดา มีความคลาสสิก ดูแล้วอิ่มใจ และได้ข้อคิดดีๆ กลับไปนอนคิดต่อ...เรื่องนี้คือคำตอบที่ใช่เลยครับ มันเป็นหนังที่จะทำให้คุณหันกลับมารักและเห็นคุณค่าของ "เวลา" ที่คุณมีอยู่กับคนที่คุณรักมากขึ้นแน่นอน
เอาเป็นว่า...เตรียมป๊อปคอร์นให้พร้อม แล้วไปร่วมลุ้นกันว่าปาฏิหาริย์ของกาลเวลา จะนำพาอดาไลน์ไปพบกับบทสรุปแบบไหน รับรองว่าคุณจะตกหลุมรักเธอและหนังเรื่องนี้แบบไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ
อดาไลน์ โบว์แมน (Adaline Bowman) / เจนนี่ ลาร์สสัน (Jenny Larsson) (รับบทโดย Blake Lively) หญิงสาวผู้ประสบอุบัติเหตุในปี 1937 ทำให้เธอมีอายุ 29 ปีตลอดกาล เธอต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและหลบหนีมาเกือบ 80 ปี เพื่อปกปิดความลับของตัวเอง
เอลลิส โจนส์ (Ellis Jones) (รับบทโดย Michiel Huisman) หนุ่มหล่อเสน่ห์แรงผู้มั่งคั่งและจิตใจดี เขาตกหลุมรักอดาไลน์และพยายามทำทุกอย่างเพื่อทลายกำแพงในใจเธอ
วิลเลียม โจนส์ (William Jones) (รับบทโดย Harrison Ford) พ่อของเอลลิส นักดาราศาสตร์ผู้ใจดีและอบอุ่น เขากลับกลายเป็นคนรักเก่าในอดีตของอดาไลน์เมื่อ 40 กว่าปีก่อน
เฟลมมิ่ง เพรสคอตต์ (Flemming Prescott) (รับบทโดย Ellen Burstyn) ลูกสาวของอดาไลน์ ที่ตอนนี้กลายเป็นคุณยายวัย 80 กว่า แต่ยังคงเป็นที่พึ่งพิงทางใจเพียงหนึ่งเดียวของแม่ผู้ไม่แก่ชรา
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้