ถ้าถามว่าทำไมถึงมีเพียงโปรตุเกสชาติเดียว
ที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา ทั้งๆ ที่มหาอำนาจทางทะเลในช่วงนั้นมีทั้งสเปน และ โปรตุเกส
โปรตุเกส มีอิทธิพลต่อโลกมากแค่ไหนในเวลานั้น
หลังจากคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสผู้แทนของสเปนได้ค้นพบเส้นทางไปอินเดีย จากมหาสมุทรแอตแลนติก จนค้นพบหมู่เกาะ จึงตั้งชื่อว่า หมู่เกาะอินดิสตะวันตก และเรียกผู้คนที่อาศัยว่า ชาวอินเดียน
สิ่งที่โคลัมบัสนำากลับมายุโรปด้วย มีทั้งสับปะรด ยาสูบ และมะเขือเทศ แม้จะเป็นครั้งแรกที่ชาวยุโรปได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ แต่ก็สร้างความสงสัยอยู่ไม่น้อย
ไม่มีเครื่องเทศ..
ความสงสัยนี้ทำให้นักเดินเรือชาวยุโรปหลายคนพยายามค้นหาคำตอบจนนักเดินเรือชาวอิตาเลียน ชื่อว่า อเมริโก เวสปุสซี ได้เดินเรือสำรวจชายฝั่ง
ของดินแดนพิศวง แล้วพบว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่กั้นระหว่างทวีปยุโรปกับเอเชีย นอกจากผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของมหาสมุทรแอตแลนติกแล้วยังมีผืนแผ่นดินขนาดใหญ่ เป็นทวีปใหม่ที่กั้นอยู่อีกด้วย
แผนที่โลกที่ทำการพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1507 ซึ่งแสดงผืนแผ่นดินของทวีปแห่งนี้ด้วยจึงมีการตั้งชื่อทวีปใหม่นี้ว่า “อเมริกา”
สเปนไม่พบเครื่องเทศ แต่สำหรับโปรตุเกสนั้นไม่ใช่
วาสโก ดา กามา ชาวโปรตุเกสผู้เดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปจนถึงอินเดีย ได้ตั้งสถานีการค้าของโปรตุเกสที่เมืองกาลิกัต ชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย และบรรทุกพริกไทยดำกลับมาเต็มลำ
การขนส่งพริกไทยของดากามา สามารถทำกำไรได้ถึง 6,000% ด้วยผลกำไรอันมหาศาล ทำให้นักเดินเรือทั้งชาวโปรตุเกส และสเปนต่างพยายามออกเดินทางเพื่อค้นหาดินแดนแห่งใหม่
นักรบชาวสเปน บุกเข้าสู่ตอนกลาง และตอนใต้ของทวีปอเมริกาในขณะที่ชาวโปรตุเกส ค้นพบดินแดนทางตะวันออกของทวีปอเมริกาตอนใต้และใช้เป็นสถานที่ปลูกอ้อย ซึ่งปัจจุบันคือประเทศบราซิล
ด้วยประสิทธิภาพของอาวุธปืน ดาบเหล็กกล้า และเสื้อเกราะ ทำให้ทั้งโปรตุเกสและสเปนสามารถอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่ค้นพบเหนือชาวพื้นเมืองได้อย่างง่ายดาย
แต่เพื่อป้องกันความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศ
นำมาสู่การทำข้อตกลงเพื่อแบ่งเขตอิทธิพลบนโลกใบนี้เรียกว่า สนธิสัญญาตอร์เดซิยัส (Treaty of Tordesillas) ที่แบ่งโลกที่อยู่นอกทวีปยุโรป ออกเป็น 2 ส่วน ตามเส้นสมมติซึ่งลากผ่านใจกลางของทวีปอเมริกาใต้
สเปนได้ดินแดนทางตะวันตกของเส้นนั้น
ส่วนโปรตุเกสได้ดินแดนทางตะวันออกของเส้น
หากไล่ดูตามแผนที่ นั่นทำให้ดินแดนภายใต้อิทธิพลของสเปน เป็นทวีปอเมริกาฝั่งตะวันตก ไล่มาทางตะวันตก จนมาสิ้นสุดที่หมู่เกาะแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย ซึ่งภายหลังนักเดินเรือได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้าเฟลิเปที่ 2 ของสเปนว่า ฟิลิปปินส์
ส่วนดินแดนภายใต้อิทธิพลของโปรตุเกส ประกอบไปด้วย ฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกา ซึ่งก็คือบราซิล ทวีปแอฟริกาทั้งหมด อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ้นสุดที่หมู่เกาะโมลุกกะ หรือเกาะเครื่องเทศ ปัจจุบันอยู่ในอาณาเขตของอินโดนีเซีย
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้บราซิลเป็นประเทศเดียวในทวีปอเมริกา ที่ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาโปรตุเกส ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านต่างพูดภาษาสเปนและเป็นเหตุผลที่ทำให้โปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกชาติแรก ที่เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายในราชสำนักอยุธยา โปรตุเกสสามารถตั้งสถานีการค้าตามเมืองต่างๆ ของอินเดีย
ในช่วงเวลานั้น อินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโมกุล (Mughal Empire) ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิชาวมุสลิม พระนามว่า
จักรพรรดิอัคบาร์ ทำให้อินเดียเป็นดินแดนที่เจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจแม้อินเดียจะมีวัฒนธรรมสูงส่ง และทรัพยากรมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม
ความขัดแย้งทางศาสนาของผู้ปกครองชาวมุสลิม กับประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นชาวฮินดู รวมไปถึงการมีชนชั้นวรรณะของชาวฮินดู ทำให้ในท้ายที่สุด ชาวอินเดียไม่สามารถรวมตัวกันเพื่อต่อต้านผู้รุกรานชาวตะวันตกได้
ย้อนกลับมาที่สเปน ในช่วงแรก สนธิสัญญาตอร์เดซิยัส กลับกลายเป็นผลร้ายต่อสเปน เพราะทวีปใหม่และดินแดนที่สเปนค้นพบ ไม่มีเครื่องเทศ
แต่สิ่งที่ทวีปใหม่กลับมี คือ อารยธรรมเก่าแก่ของคนพื้นเมือง หนึ่งในนั้นคือ จักรวรรดิแอซเท็ก (Aztec Empire) จักรวรรดิที่ตั้งอยู่บริเวณประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน มีเมืองหลวงที่มีการจัดการ
อย่างเป็นระบบตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบขนาดใหญ่ ปกครองประชากรกว่า 5 ล้านคน นับถือเทพเจ้า และมีการบูชายัญด้วยเลือด และหัวใจของมนุษย์
ชาวแอซเท็กใช้เมล็ดโกโก้แทนเงินตรา เนื่องจากเป็นสิ่งที่หายากและมีค่า ชนชั้นสูงผู้ร่ำรวยจะนำเมล็ดที่มีค่านี้บูชาเทพเจ้า และบ่อยครั้งจะนำมาต้ม
กินเป็นช็อกโกแลต
ช็อกโกแลตที่เรากินทุกวันนี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากยุโรป
ต้นกำเนิดที่แท้จริงมาจาก ชาวแอซเท็ก ซึ่งทำให้โกโก้ และช็อกโกแลตแพร่เข้าสู่ทวีปยุโรป
แต่ช็อกโกแลตก็ยังไม่ใช่สิ่งที่นักรบชาวสเปนหมายตา
สิ่งที่ชาวสเปนหมายตา และมีค่าเทียบเท่าเครื่องเทศ ก็คือ ทองคำ
นอกจากอาวุธปืน ดาบเหล็กกล้า และเสื้อเกราะ
สิ่งที่ชาวสเปนนำมาที่ทวีปนี้ด้วย คือ ไข้ทรพิษ
โรคติดต่อร้ายแรงชนิดนี้ กลายเป็นอาวุธชั้นดี ที่สังหารชาวพื้นเมืองอเมริกาถึงเกือบ 3 ใน 4
จำนวนประชากรพื้นเมืองอเมริกา จาก 40 ล้านคน ในช่วงปี ค.ศ. 1500 ลดเหลือเพียง 10 ล้านคน ในปี ค.ศ. 1550 นักรบชาวสเปนจึงสามารถพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กได้อย่างง่ายดาย ทำให้ได้
ทองคำเป็นจำนวนมหาศาลจากท้องพระคลัง และดินแดนของจักรวรรดิแอซเท็ก ทั้งหมดตกเป็นของสเปน
ชาวสเปนยังเดินทางไปถึงเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ และพิชิตจักรวรรดิของชาวพื้นเมือง ซึ่งมีชื่อว่า จักรวรรดิอินคา (Inca Empire) สเปนจึงได้ยึดครองทั้งดินแดน ทองคำ และแร่ธาตุจำนวนมหาศาลจากทั้ง 2 จักรวรรดิ
โปรตุเกสนำเข้าพริกไทยจากอินเดีย และน้ำตาลจากบราซิล ส่วนสเปนนำเข้าทองคำ แร่ธาตุ และพืชผลจากทวีปอเมริกา แต่ในเวลานั้น เมืองศูนย์กลางการค้าที่สำคัญที่สุดของยุโรปไม่ได้อยู่ทั้งในเขตสเปนและโปรตุเกส เพราะศูนย์กลางการค้าของยุโรปอยู่ที่เมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp) ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองในประเทศเบลเยียม
ดินแดนของเบลเยียม และดินแดนใกล้เคียงคือเนเธอร์แลนด์ ในเวลานั้นตกอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 กษัตริย์สเปนซึ่งเรียก
ดินแดนแห่งนี้ว่า แฟลนเดอร์ส
แฟลนเดอร์สเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมสิ่งทอมาตั้งแต่ยุคกลางเป็นศูนย์รวมของช่างฝีมือ เหล่าราชวงศ์ และขุนนางของยุโรป ต้องใช้เสื้อผ้า
ที่ทอมาจากที่นี่ โดยเมืองแอนต์เวิร์ปเป็นเมืองท่าสำคัญ เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนสินค้าของกองเรือสเปนและโปรตุเกส กับเมืองต่างๆ ทั่วยุโรปเหนือ
เมื่อมีสินค้าแลกเปลี่ยนมาก มีพ่อค้านานาชาติมาอาศัยอยู่มากมาย แอนต์เวิร์ปจึงขึ้นแท่นกลายเป็นศูนย์กลางการเงินของยุโรป
ในเวลาที่อดีตศูนย์กลางการเงินของยุโรปบนคาบสมุทรอิตาลี กำลังเข้าสู่ช่วงตกต่ำนครรัฐฟลอเรนซ์ที่เคยรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลางการเงิน เริ่มตกต่ำลงนับตั้งแต่ผู้ปกครองในตระกูลเมดิชี เจ้าของธนาคารขนาดใหญ่ ถูกประชาชนปฏิวัติ
ขับไล่ออกจากฟลอเรนซ์ จนนำมาสู่การลอบสังหารในปี ค.ศ. 1537
ส่วนนครรัฐเวนิส ที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้า ก็กำลังอยู่ในสถานะล้มละลายเนื่องจากผู้ปกครองกู้เงินจำนวนมากเพื่อทำสงครามแล้วพ่ายแพ้แก่ชาว
ออตโตมันเติร์กพ่อค้าและนายธนาคารหลายคนจึงอพยพขึ้นเหนือมาสู่เมืองแอนต์เวิร์ป
สินค้ากว่า 40% ของยุโรป ถูกซื้อขายผ่านพ่อค้าในเมืองแอนต์เวิร์ป ก่อน กระจายไปทั่วยุโรปเหนือ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของโลก ถูกตั้งขึ้นที่แอนต์เวิร์ป มีชื่อว่า Flanders Van de Bourse ในปี ค.ศ. 1531
แต่ความรุ่งเรืองของแอนต์เวิร์ปในฐานะศูนย์กลางการเงินก็อยู่ถึงเพียงปี ค.ศ.1585 เมื่อพ่อค้า และนายธนาคารจํานวนมากถูกขับไล่โดยกษัตริย์สเปน หลายคน เดินทางขึ้นเหนือไปยังเมืองศูนย์กลางการค้าแห่งใหม่ที่มีชื่อว่า อัมสเตอร์ดัม
หนึ่งในเหตุผลสําคัญของการขับไล่ก็คือ ความขัดแย้งทางศาสนาในช่วงเวลานั้น ศาสนาคริสต์เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวยุโรป มีอิทธิพลทั้งทางโลก และทางจิตใจ แต่ความศรัทธาที่เกินพอดี กลายเป็นช่องว่างให้ศาสนจักร และเหล่านักบวชหาเงินจากความศรัทธามาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย บาทหลวงรูปหนึ่งจะลุกขึ้นมาเป็นผู้นําในการเปลี่ยนแปลงคริสตจักรให้เข้าสู่โฉมใหม่
ทําให้เป็นจุดเริ่มของศาสนาคริสต์นิกายใหม่ ที่มีชื่อว่า นิกายโปรเตสแตนต์
ตอนที่ 5 สนธิสัญญาแบ่งโลก ค.ศ.1500-1599
* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะที่เข้ามาติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยา ทั้งๆ ที่มหาอำนาจทางทะเลในช่วงนั้นมีทั้งสเปน และ โปรตุเกส
โปรตุเกส มีอิทธิพลต่อโลกมากแค่ไหนในเวลานั้น
หลังจากคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสผู้แทนของสเปนได้ค้นพบเส้นทางไปอินเดีย จากมหาสมุทรแอตแลนติก จนค้นพบหมู่เกาะ จึงตั้งชื่อว่า หมู่เกาะอินดิสตะวันตก และเรียกผู้คนที่อาศัยว่า ชาวอินเดียน
สิ่งที่โคลัมบัสนำากลับมายุโรปด้วย มีทั้งสับปะรด ยาสูบ และมะเขือเทศ แม้จะเป็นครั้งแรกที่ชาวยุโรปได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้ แต่ก็สร้างความสงสัยอยู่ไม่น้อย
ไม่มีเครื่องเทศ..
ความสงสัยนี้ทำให้นักเดินเรือชาวยุโรปหลายคนพยายามค้นหาคำตอบจนนักเดินเรือชาวอิตาเลียน ชื่อว่า อเมริโก เวสปุสซี ได้เดินเรือสำรวจชายฝั่ง
ของดินแดนพิศวง แล้วพบว่า แท้จริงแล้ว สิ่งที่กั้นระหว่างทวีปยุโรปกับเอเชีย นอกจากผืนน้ำอันกว้างใหญ่ของมหาสมุทรแอตแลนติกแล้วยังมีผืนแผ่นดินขนาดใหญ่ เป็นทวีปใหม่ที่กั้นอยู่อีกด้วย
แผนที่โลกที่ทำการพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ. 1507 ซึ่งแสดงผืนแผ่นดินของทวีปแห่งนี้ด้วยจึงมีการตั้งชื่อทวีปใหม่นี้ว่า “อเมริกา”
สเปนไม่พบเครื่องเทศ แต่สำหรับโปรตุเกสนั้นไม่ใช่
วาสโก ดา กามา ชาวโปรตุเกสผู้เดินเรืออ้อมแหลมกู๊ดโฮปจนถึงอินเดีย ได้ตั้งสถานีการค้าของโปรตุเกสที่เมืองกาลิกัต ชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย และบรรทุกพริกไทยดำกลับมาเต็มลำ
การขนส่งพริกไทยของดากามา สามารถทำกำไรได้ถึง 6,000% ด้วยผลกำไรอันมหาศาล ทำให้นักเดินเรือทั้งชาวโปรตุเกส และสเปนต่างพยายามออกเดินทางเพื่อค้นหาดินแดนแห่งใหม่
นักรบชาวสเปน บุกเข้าสู่ตอนกลาง และตอนใต้ของทวีปอเมริกาในขณะที่ชาวโปรตุเกส ค้นพบดินแดนทางตะวันออกของทวีปอเมริกาตอนใต้และใช้เป็นสถานที่ปลูกอ้อย ซึ่งปัจจุบันคือประเทศบราซิล
ด้วยประสิทธิภาพของอาวุธปืน ดาบเหล็กกล้า และเสื้อเกราะ ทำให้ทั้งโปรตุเกสและสเปนสามารถอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่ค้นพบเหนือชาวพื้นเมืองได้อย่างง่ายดาย
แต่เพื่อป้องกันความขัดแย้งของทั้ง 2 ประเทศ
นำมาสู่การทำข้อตกลงเพื่อแบ่งเขตอิทธิพลบนโลกใบนี้เรียกว่า สนธิสัญญาตอร์เดซิยัส (Treaty of Tordesillas) ที่แบ่งโลกที่อยู่นอกทวีปยุโรป ออกเป็น 2 ส่วน ตามเส้นสมมติซึ่งลากผ่านใจกลางของทวีปอเมริกาใต้
สเปนได้ดินแดนทางตะวันตกของเส้นนั้น
ส่วนโปรตุเกสได้ดินแดนทางตะวันออกของเส้น
หากไล่ดูตามแผนที่ นั่นทำให้ดินแดนภายใต้อิทธิพลของสเปน เป็นทวีปอเมริกาฝั่งตะวันตก ไล่มาทางตะวันตก จนมาสิ้นสุดที่หมู่เกาะแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย ซึ่งภายหลังนักเดินเรือได้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่พระเจ้าเฟลิเปที่ 2 ของสเปนว่า ฟิลิปปินส์
ส่วนดินแดนภายใต้อิทธิพลของโปรตุเกส ประกอบไปด้วย ฝั่งตะวันออกของทวีปอเมริกา ซึ่งก็คือบราซิล ทวีปแอฟริกาทั้งหมด อินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิ้นสุดที่หมู่เกาะโมลุกกะ หรือเกาะเครื่องเทศ ปัจจุบันอยู่ในอาณาเขตของอินโดนีเซีย
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้บราซิลเป็นประเทศเดียวในทวีปอเมริกา ที่ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาโปรตุเกส ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านต่างพูดภาษาสเปนและเป็นเหตุผลที่ทำให้โปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกชาติแรก ที่เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายในราชสำนักอยุธยา โปรตุเกสสามารถตั้งสถานีการค้าตามเมืองต่างๆ ของอินเดีย
ในช่วงเวลานั้น อินเดียอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโมกุล (Mughal Empire) ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิชาวมุสลิม พระนามว่า
จักรพรรดิอัคบาร์ ทำให้อินเดียเป็นดินแดนที่เจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจแม้อินเดียจะมีวัฒนธรรมสูงส่ง และทรัพยากรมากมาย แต่อย่างไรก็ตาม
ความขัดแย้งทางศาสนาของผู้ปกครองชาวมุสลิม กับประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นชาวฮินดู รวมไปถึงการมีชนชั้นวรรณะของชาวฮินดู ทำให้ในท้ายที่สุด ชาวอินเดียไม่สามารถรวมตัวกันเพื่อต่อต้านผู้รุกรานชาวตะวันตกได้
ย้อนกลับมาที่สเปน ในช่วงแรก สนธิสัญญาตอร์เดซิยัส กลับกลายเป็นผลร้ายต่อสเปน เพราะทวีปใหม่และดินแดนที่สเปนค้นพบ ไม่มีเครื่องเทศ
แต่สิ่งที่ทวีปใหม่กลับมี คือ อารยธรรมเก่าแก่ของคนพื้นเมือง หนึ่งในนั้นคือ จักรวรรดิแอซเท็ก (Aztec Empire) จักรวรรดิที่ตั้งอยู่บริเวณประเทศเม็กซิโกในปัจจุบัน มีเมืองหลวงที่มีการจัดการ
อย่างเป็นระบบตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบขนาดใหญ่ ปกครองประชากรกว่า 5 ล้านคน นับถือเทพเจ้า และมีการบูชายัญด้วยเลือด และหัวใจของมนุษย์
ชาวแอซเท็กใช้เมล็ดโกโก้แทนเงินตรา เนื่องจากเป็นสิ่งที่หายากและมีค่า ชนชั้นสูงผู้ร่ำรวยจะนำเมล็ดที่มีค่านี้บูชาเทพเจ้า และบ่อยครั้งจะนำมาต้ม
กินเป็นช็อกโกแลต
ช็อกโกแลตที่เรากินทุกวันนี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากยุโรป
ต้นกำเนิดที่แท้จริงมาจาก ชาวแอซเท็ก ซึ่งทำให้โกโก้ และช็อกโกแลตแพร่เข้าสู่ทวีปยุโรป
แต่ช็อกโกแลตก็ยังไม่ใช่สิ่งที่นักรบชาวสเปนหมายตา
สิ่งที่ชาวสเปนหมายตา และมีค่าเทียบเท่าเครื่องเทศ ก็คือ ทองคำ
นอกจากอาวุธปืน ดาบเหล็กกล้า และเสื้อเกราะ
สิ่งที่ชาวสเปนนำมาที่ทวีปนี้ด้วย คือ ไข้ทรพิษ
โรคติดต่อร้ายแรงชนิดนี้ กลายเป็นอาวุธชั้นดี ที่สังหารชาวพื้นเมืองอเมริกาถึงเกือบ 3 ใน 4
จำนวนประชากรพื้นเมืองอเมริกา จาก 40 ล้านคน ในช่วงปี ค.ศ. 1500 ลดเหลือเพียง 10 ล้านคน ในปี ค.ศ. 1550 นักรบชาวสเปนจึงสามารถพิชิตจักรวรรดิแอซเท็กได้อย่างง่ายดาย ทำให้ได้
ทองคำเป็นจำนวนมหาศาลจากท้องพระคลัง และดินแดนของจักรวรรดิแอซเท็ก ทั้งหมดตกเป็นของสเปน
ชาวสเปนยังเดินทางไปถึงเทือกเขาแอนดีสในทวีปอเมริกาใต้ และพิชิตจักรวรรดิของชาวพื้นเมือง ซึ่งมีชื่อว่า จักรวรรดิอินคา (Inca Empire) สเปนจึงได้ยึดครองทั้งดินแดน ทองคำ และแร่ธาตุจำนวนมหาศาลจากทั้ง 2 จักรวรรดิ
โปรตุเกสนำเข้าพริกไทยจากอินเดีย และน้ำตาลจากบราซิล ส่วนสเปนนำเข้าทองคำ แร่ธาตุ และพืชผลจากทวีปอเมริกา แต่ในเวลานั้น เมืองศูนย์กลางการค้าที่สำคัญที่สุดของยุโรปไม่ได้อยู่ทั้งในเขตสเปนและโปรตุเกส เพราะศูนย์กลางการค้าของยุโรปอยู่ที่เมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp) ซึ่งปัจจุบันเป็นเมืองในประเทศเบลเยียม
ดินแดนของเบลเยียม และดินแดนใกล้เคียงคือเนเธอร์แลนด์ ในเวลานั้นตกอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าเฟลิเปที่ 2 กษัตริย์สเปนซึ่งเรียก
ดินแดนแห่งนี้ว่า แฟลนเดอร์ส
แฟลนเดอร์สเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมสิ่งทอมาตั้งแต่ยุคกลางเป็นศูนย์รวมของช่างฝีมือ เหล่าราชวงศ์ และขุนนางของยุโรป ต้องใช้เสื้อผ้า
ที่ทอมาจากที่นี่ โดยเมืองแอนต์เวิร์ปเป็นเมืองท่าสำคัญ เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนสินค้าของกองเรือสเปนและโปรตุเกส กับเมืองต่างๆ ทั่วยุโรปเหนือ
เมื่อมีสินค้าแลกเปลี่ยนมาก มีพ่อค้านานาชาติมาอาศัยอยู่มากมาย แอนต์เวิร์ปจึงขึ้นแท่นกลายเป็นศูนย์กลางการเงินของยุโรป
ในเวลาที่อดีตศูนย์กลางการเงินของยุโรปบนคาบสมุทรอิตาลี กำลังเข้าสู่ช่วงตกต่ำนครรัฐฟลอเรนซ์ที่เคยรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลางการเงิน เริ่มตกต่ำลงนับตั้งแต่ผู้ปกครองในตระกูลเมดิชี เจ้าของธนาคารขนาดใหญ่ ถูกประชาชนปฏิวัติ
ขับไล่ออกจากฟลอเรนซ์ จนนำมาสู่การลอบสังหารในปี ค.ศ. 1537
ส่วนนครรัฐเวนิส ที่เคยเป็นศูนย์กลางการค้า ก็กำลังอยู่ในสถานะล้มละลายเนื่องจากผู้ปกครองกู้เงินจำนวนมากเพื่อทำสงครามแล้วพ่ายแพ้แก่ชาว
ออตโตมันเติร์กพ่อค้าและนายธนาคารหลายคนจึงอพยพขึ้นเหนือมาสู่เมืองแอนต์เวิร์ป
สินค้ากว่า 40% ของยุโรป ถูกซื้อขายผ่านพ่อค้าในเมืองแอนต์เวิร์ป ก่อน กระจายไปทั่วยุโรปเหนือ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งแรกของโลก ถูกตั้งขึ้นที่แอนต์เวิร์ป มีชื่อว่า Flanders Van de Bourse ในปี ค.ศ. 1531
แต่ความรุ่งเรืองของแอนต์เวิร์ปในฐานะศูนย์กลางการเงินก็อยู่ถึงเพียงปี ค.ศ.1585 เมื่อพ่อค้า และนายธนาคารจํานวนมากถูกขับไล่โดยกษัตริย์สเปน หลายคน เดินทางขึ้นเหนือไปยังเมืองศูนย์กลางการค้าแห่งใหม่ที่มีชื่อว่า อัมสเตอร์ดัม
หนึ่งในเหตุผลสําคัญของการขับไล่ก็คือ ความขัดแย้งทางศาสนาในช่วงเวลานั้น ศาสนาคริสต์เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวยุโรป มีอิทธิพลทั้งทางโลก และทางจิตใจ แต่ความศรัทธาที่เกินพอดี กลายเป็นช่องว่างให้ศาสนจักร และเหล่านักบวชหาเงินจากความศรัทธามาใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย บาทหลวงรูปหนึ่งจะลุกขึ้นมาเป็นผู้นําในการเปลี่ยนแปลงคริสตจักรให้เข้าสู่โฉมใหม่
ทําให้เป็นจุดเริ่มของศาสนาคริสต์นิกายใหม่ ที่มีชื่อว่า นิกายโปรเตสแตนต์