สวัสดีครับพี่ ๆ ทุกท่าน
ผมขอตั้งคำถามที่เชื่อว่าอาจจะ
ขัดใจ ความเชื่อดั้งเดิมของสังคม:
คำว่าบุญคุณของลูกที่มีต่อแม่นั้นเกิดขึ้น ณ จุดใดกันแน่?
๑. การเลือกของแม่: ตรรกะของความเสี่ยง
ผมเชื่อว่าผู้หญิงทุกคน
ทราบดีอยู่แล้ว ถึงต้นทุนและภาระทั้งหมดของการมีลูก:
ต้นทุนทางกายภาพ: การตั้งครรภ์ ๙ เดือน, ฮอร์โมนที่เปลี่ยน, สุขภาพที่แย่ลง, การนอนที่ไม่เป็นเวลา
ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์: ค่าใช้จ่ายมหาศาล, การเสียโอกาสในการทำงาน, ความท้าทายทางอารมณ์
เมื่อแม่ตัดสินใจมีลูก
แม้จะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ลำบากและเหนื่อยมาก นั่นแสดงว่า
ความปรารถนา (ความอยากมีลูก) มีน้ำหนัก
เหนือกว่า เงื่อนไขความลำบากทั้งหมดนี้
ถ้าแม่
เลือกที่จะยอมรับความเสี่ยงและความลำบากเหล่านี้ด้วยตนเอง ตั้งแต่ต้น โดยที่ลูกยังไม่ได้ร้องขอ... แล้วเหตุใดลูกจึงต้อง
"ติดหนี้บุญคุณ" ตั้งแต่แรก?
๒. การนิยามใหม่: บุญคุณต้องปราศจากการยัดเยียด
หลายคนบอกว่าบุญคุณเกิดขึ้นตั้งแต่ในท้อง หรือตั้งแต่วินาทีที่ท่านเลี้ยงดู แต่ผมมีมุมมองที่แตกต่าง:
ผมเชื่อว่า
บุญคุณที่แท้จริงจะเกิดก็ต่อเมื่อลูกคนนั้น 'ตระหนักรู้' ด้วยตนเอง โดยปราศจากคำสั่งสอนจากพ่อแม่ ว่าสิ่งที่ได้รับนั้นมีคุณค่ามหาศาล
บุญคุณที่แท้: คือความรู้สึกสำนึกที่เกิดขึ้นเองจากความรักที่ได้รับ
บุญคุณที่เป็นหน้าที่: คือสิ่งที่ถูกยัดเยียดหรือคาดหวังให้ทำเพื่อ 'ชดใช้หนี้'
ถ้าการดูแลของเราเป็นเพราะถูกยัดเยียดว่าเป็น
"หน้าที่"... นั่นจะไม่ใช่บุญคุณอีกต่อไป แต่มันคือ
ความรับผิดชอบที่ถูกบังคับ
๓. การมีลูกคือการลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยง
หากใครถามว่า
"แล้วจะมีลูกไปทำไม ถ้าลูกจะไม่ตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงมา?"
คำถามนั้นยิ่งตอกย้ำว่า คุณมองว่าการมีลูกคือ
"การลงทุน" และการลงทุนย่อมมาพร้อมกับ
ความเสี่ยง
เมื่อคุณเลือกที่จะลงทุน คุณต้องยอมรับผลตอบแทนทุกรูปแบบ:
ได้กำไร (ลูกดูแลตอบแทน) หรือ
ขาดทุน (ลูกไม่ได้ตอบแทนอะไรเลย)
มันคือการตัดสินใจของคุณ ในฐานะนักลงทุนที่เลือกความเสี่ยงนี้เอง ไม่มีใครบังคับ
ดังนั้น สุดท้ายแล้ว การตอบแทนหรือไม่ตอบแทน ก็ควรเป็น
เจตจำนงที่บริสุทธิ์ของลูก ที่เกิดจากการตระหนักรู้ ไม่ใช่การบังคับจากความคาดหวังของพ่อแม่ครับ
เหตุผลหลักที่ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก็เพื่อที่อยากจะแลกเปลี่ยนความรู้และทัศนคติส่วนตัว ความคิดของผมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าหากมีข้อมูลหรือความคิดที่ดีกว่าเดิม ดังนั้นผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้แลกเปลี่ยนความคิดใหม่ๆ ขอบคุณครับ
บุญคุณของลูกต่อแม่เกิดขึ้นตอนไหน?
ผมขอตั้งคำถามที่เชื่อว่าอาจจะ ขัดใจ ความเชื่อดั้งเดิมของสังคม: คำว่าบุญคุณของลูกที่มีต่อแม่นั้นเกิดขึ้น ณ จุดใดกันแน่?
๑. การเลือกของแม่: ตรรกะของความเสี่ยง
ผมเชื่อว่าผู้หญิงทุกคน ทราบดีอยู่แล้ว ถึงต้นทุนและภาระทั้งหมดของการมีลูก:
ต้นทุนทางกายภาพ: การตั้งครรภ์ ๙ เดือน, ฮอร์โมนที่เปลี่ยน, สุขภาพที่แย่ลง, การนอนที่ไม่เป็นเวลา
ต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์: ค่าใช้จ่ายมหาศาล, การเสียโอกาสในการทำงาน, ความท้าทายทางอารมณ์
เมื่อแม่ตัดสินใจมีลูก แม้จะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ลำบากและเหนื่อยมาก นั่นแสดงว่า ความปรารถนา (ความอยากมีลูก) มีน้ำหนัก เหนือกว่า เงื่อนไขความลำบากทั้งหมดนี้
ถ้าแม่ เลือกที่จะยอมรับความเสี่ยงและความลำบากเหล่านี้ด้วยตนเอง ตั้งแต่ต้น โดยที่ลูกยังไม่ได้ร้องขอ... แล้วเหตุใดลูกจึงต้อง "ติดหนี้บุญคุณ" ตั้งแต่แรก?
๒. การนิยามใหม่: บุญคุณต้องปราศจากการยัดเยียด
หลายคนบอกว่าบุญคุณเกิดขึ้นตั้งแต่ในท้อง หรือตั้งแต่วินาทีที่ท่านเลี้ยงดู แต่ผมมีมุมมองที่แตกต่าง:
ผมเชื่อว่า บุญคุณที่แท้จริงจะเกิดก็ต่อเมื่อลูกคนนั้น 'ตระหนักรู้' ด้วยตนเอง โดยปราศจากคำสั่งสอนจากพ่อแม่ ว่าสิ่งที่ได้รับนั้นมีคุณค่ามหาศาล
บุญคุณที่แท้: คือความรู้สึกสำนึกที่เกิดขึ้นเองจากความรักที่ได้รับ
บุญคุณที่เป็นหน้าที่: คือสิ่งที่ถูกยัดเยียดหรือคาดหวังให้ทำเพื่อ 'ชดใช้หนี้'
ถ้าการดูแลของเราเป็นเพราะถูกยัดเยียดว่าเป็น "หน้าที่"... นั่นจะไม่ใช่บุญคุณอีกต่อไป แต่มันคือ ความรับผิดชอบที่ถูกบังคับ
๓. การมีลูกคือการลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยง
หากใครถามว่า "แล้วจะมีลูกไปทำไม ถ้าลูกจะไม่ตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงมา?"
คำถามนั้นยิ่งตอกย้ำว่า คุณมองว่าการมีลูกคือ "การลงทุน" และการลงทุนย่อมมาพร้อมกับ ความเสี่ยง
เมื่อคุณเลือกที่จะลงทุน คุณต้องยอมรับผลตอบแทนทุกรูปแบบ: ได้กำไร (ลูกดูแลตอบแทน) หรือ ขาดทุน (ลูกไม่ได้ตอบแทนอะไรเลย)
มันคือการตัดสินใจของคุณ ในฐานะนักลงทุนที่เลือกความเสี่ยงนี้เอง ไม่มีใครบังคับ
ดังนั้น สุดท้ายแล้ว การตอบแทนหรือไม่ตอบแทน ก็ควรเป็น เจตจำนงที่บริสุทธิ์ของลูก ที่เกิดจากการตระหนักรู้ ไม่ใช่การบังคับจากความคาดหวังของพ่อแม่ครับ
เหตุผลหลักที่ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก็เพื่อที่อยากจะแลกเปลี่ยนความรู้และทัศนคติส่วนตัว ความคิดของผมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าหากมีข้อมูลหรือความคิดที่ดีกว่าเดิม ดังนั้นผมจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้แลกเปลี่ยนความคิดใหม่ๆ ขอบคุณครับ