เรื่องราวในอดีตถึงปัจจับันอายุ 50 ปี
ฉันเกิดมาในครอบครัวเชื้อสายจีน เป็นลูกสาวคนโตที่ พ่อแม่มักจะไม่สนใจเท่าน้องคนเล็กที่เป็นลูกชาย (มีพี่น้อง 3 คน) ชีวิตดำเนินมาเรื่อยๆ ตามลำดับเหตุการณ์ในอดีต ดังนี้
อายุ 1 - 15 ที่บ้านมีฐานะยากจน จนพ่อต้องบินไปทำงานซาอุ ได้เงินกลับมาซื้อที่ดินและปลูกบ้านอยู่ (มีบ้านเป็นของตนเอง)
อายุ 16-18 เรียนอยู่อาชีวศึกษาแห่งหนึ่ง เช่าหอที่ราคาถูกที่สุดแต่เจ้าของหอไม่ค่อยดี จำได้ตอนที่จะจบ ปวส. ขอเขาอยู่ต้นเดือนประมาณ 3 วันแต่เขาไม่ยอมลดค่าเช่าหอให้ เลยย้ายออก วันรุ่งขึ้นหอพักที่อยู่ไฟไหม้หมด....เป็นเรื่องที่ตกใจและขนลุกมาก
อายุ 18-25 ทำงานและเรียนต่อระดับปริญญาตรี ทำงานไปเรียนไป ชีวิตช่วงนี้สนุกและเหนื่อยมากๆ เพราะต้องทำงานจันทร์-ศุกร์ และ เรียนวันเสาร์-อาทิตย์ จุดนี้พีคสุดคือตอนจบรับปริญญา แม่อยากให้ไปรับปริญญาเพื่อที่จะมีรูปตอนรับใบปริญญา แม่ยอมที่จะจ่ายค่าเช่ารถให้มารับที่บ้านเพื่อที่จะไปรับปริญญากับฉัน แต่พอวันที่รถต้องมารับ คนที่มารับมาบอกว่าไปไม่ได้ สุดท้ายฉันก็ต้องนั่งรถเมล์ไปคนเดียวเพื่อที่จะไปรับปริญญาที่สวนอัมพร เพราะถ้าให้แม่ไปด้วยก็คงจะเป็นห่วงแม่มากๆๆ เลยตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปเอง-กลับเอง จากจังหวัดกาญจนบุรี
อายุ 25-28 ตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัวกับคนที่คิดว่าดีที่สุด เพราะที่ผ่านมารักๆเลิกๆ มาตลอด แต่ผู้ชายที่ฉันเลือกคนนี้ พ่อแม่ก็ไม่เห็นด้วย จึงทำให้ฉันไม่อยู่ในสายตาของพ่อแม่เลย พ่อเคยบอกว่าไม่ให้ฉันมาเหยียบบ้าน ฉันปลูกบ้านใหม่ติดกับบ้านพ่อแม่ของฉัน
อายุ 28-35 ฉันมีลูกชาย 1 คน และแฟนของฉันก็มีนิสัยที่แย่มาตลอด แต่ฉันก็อดทนเพื่อลูก จนกระทั่งแฟนของฉันไปมีผู้หญิงอีกคน จนทำให้ต้องเลิกลากัน จำได้ว่าตอนรู้ว่าแฟนไปมีผู้หญิงอีกคน ฉันเสียใจมาก ก้มกราบเท้าแฟนขอร้องให้เขาเลิก คิดถึงลูก ฉันร้องไห้นอนไม่หลับ แต่เขาก็ไม่เลือกฉัน....จบแยก


อายุ 35-ปัจจุบัน พ่อและแม่ของฉัน ได้เสียไปเมื่อไม่นานมานี้ พ่อเป็นอัลไซเมอร์ แม่โดนรถชนขาหัก 2 ข้างและป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ฉันได้ดูแลพ่อและแม่จนนาทีสุดท้าย เมื่อก่อนฉันจะกลัวพ่อมากเพราะพ่อไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ แต่พอพ่อป่วย ฉันดูแลพ่ออย่างดี ป้อนข้าว อาบน้ำ ให้ จากที่ฉันเคยอคติกับพ่อก็กลายเป็นความผูกพันธ์ จนทุกวันนี้ก็คิดถึงพ่อตลอดเวลา ส่วนแม่ของฉัน แม่จะคอยแอบช่วยโดยไม่ไห้พ่อรู้ตลอดๆ และฉันก็ดูแลจนแม่หมดลมหายใจ เหมือนกัน ตอนพ่อเป็นอัลไซเมอร์ แม่ก็ถูกรถชน เลยจำเป็นต้องพาพ่อไปอยู่ศูนย์บ้านพักคนชรา เพราะที่บ้านไม่มีใครดูแล พอตอนหลังมารู้ข่าวว่าพ่อโดนตีมีแผลเต็มตัว ทั้งๆที่ก็ให้ค่าจ้างคนที่ดูแลพ่อ ตอนฉันไปเยี่ยมเห็นพ่อมีแผลเต็มตัวและโดนตีหัวแตก เลยตัดสินใจรับพ่อกลับบ้าน เพื่อจะมาดูแลเอง ถึงฉันจะไม่ผูกพันธ์กับพ่อในตอนนั้น แต่เห็นสภาพพ่อแล้วปวดใจสุดๆ ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกเสียใจที่ส่งพ่อไปบ้านพักคนชรา
ปัจจุบันอายุ 50 ชีวิตฉันที่ดำเนินไปปกติ ลูกชายคนเดียวก็เรียนใกล้จบแล้ว เหมือนว่าตัวเองจะหายเหนื่อยไม่ได้หวังจะพึ่งลูก แต่ให้เขาพึ่งตัวเองได้แค่นี้ก็พอใจแล้วค่ะ ทุกวั้นนี้ถ้าว่างก็ก็จะนึกถึงอดีตที่ผ่านมา ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตฉันได้ผ่านเหตุการณ์ที่ฉันคิดว่าน่าจะเหตุการณ์ที่อาจจะไม่ดีสำหรับใครหลายๆคน แต่ฉันคิดว่าเหตุการณ์เหล่านั้นมันทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้นมากๆๆๆ
บางครั้งก็ถามตัวเองที่ผ่านมาเหนื่อยไหม.....ตอบได้ว่าเหนื่อยมาก แต่ ดีใจที่ผ่านมาได้
ที่ตั้งกระทู้นี้ เพราะอยากแชร์เรื่องราวของตัวเองค่ะ แม้ว่าอาจมีชีวิตคนอื่นที่แย่กว่าฉันมากๆๆ....แต่ก็อย่าท้อนะค่ะ เป็นกำลังใจให้ก้าวผ่านไปให้ได้ค่ะ
......สวัสดี....
**พ่อกับแม่ของฉันที่รักและคิดถึงมากทึ่สุด**
ชีวิตของฉัน....อยากเล่า
ฉันเกิดมาในครอบครัวเชื้อสายจีน เป็นลูกสาวคนโตที่ พ่อแม่มักจะไม่สนใจเท่าน้องคนเล็กที่เป็นลูกชาย (มีพี่น้อง 3 คน) ชีวิตดำเนินมาเรื่อยๆ ตามลำดับเหตุการณ์ในอดีต ดังนี้
อายุ 1 - 15 ที่บ้านมีฐานะยากจน จนพ่อต้องบินไปทำงานซาอุ ได้เงินกลับมาซื้อที่ดินและปลูกบ้านอยู่ (มีบ้านเป็นของตนเอง)
อายุ 16-18 เรียนอยู่อาชีวศึกษาแห่งหนึ่ง เช่าหอที่ราคาถูกที่สุดแต่เจ้าของหอไม่ค่อยดี จำได้ตอนที่จะจบ ปวส. ขอเขาอยู่ต้นเดือนประมาณ 3 วันแต่เขาไม่ยอมลดค่าเช่าหอให้ เลยย้ายออก วันรุ่งขึ้นหอพักที่อยู่ไฟไหม้หมด....เป็นเรื่องที่ตกใจและขนลุกมาก
อายุ 18-25 ทำงานและเรียนต่อระดับปริญญาตรี ทำงานไปเรียนไป ชีวิตช่วงนี้สนุกและเหนื่อยมากๆ เพราะต้องทำงานจันทร์-ศุกร์ และ เรียนวันเสาร์-อาทิตย์ จุดนี้พีคสุดคือตอนจบรับปริญญา แม่อยากให้ไปรับปริญญาเพื่อที่จะมีรูปตอนรับใบปริญญา แม่ยอมที่จะจ่ายค่าเช่ารถให้มารับที่บ้านเพื่อที่จะไปรับปริญญากับฉัน แต่พอวันที่รถต้องมารับ คนที่มารับมาบอกว่าไปไม่ได้ สุดท้ายฉันก็ต้องนั่งรถเมล์ไปคนเดียวเพื่อที่จะไปรับปริญญาที่สวนอัมพร เพราะถ้าให้แม่ไปด้วยก็คงจะเป็นห่วงแม่มากๆๆ เลยตัดสินใจนั่งรถเมล์ไปเอง-กลับเอง จากจังหวัดกาญจนบุรี
อายุ 25-28 ตัดสินใจแต่งงานมีครอบครัวกับคนที่คิดว่าดีที่สุด เพราะที่ผ่านมารักๆเลิกๆ มาตลอด แต่ผู้ชายที่ฉันเลือกคนนี้ พ่อแม่ก็ไม่เห็นด้วย จึงทำให้ฉันไม่อยู่ในสายตาของพ่อแม่เลย พ่อเคยบอกว่าไม่ให้ฉันมาเหยียบบ้าน ฉันปลูกบ้านใหม่ติดกับบ้านพ่อแม่ของฉัน
อายุ 28-35 ฉันมีลูกชาย 1 คน และแฟนของฉันก็มีนิสัยที่แย่มาตลอด แต่ฉันก็อดทนเพื่อลูก จนกระทั่งแฟนของฉันไปมีผู้หญิงอีกคน จนทำให้ต้องเลิกลากัน จำได้ว่าตอนรู้ว่าแฟนไปมีผู้หญิงอีกคน ฉันเสียใจมาก ก้มกราบเท้าแฟนขอร้องให้เขาเลิก คิดถึงลูก ฉันร้องไห้นอนไม่หลับ แต่เขาก็ไม่เลือกฉัน....จบแยก
อายุ 35-ปัจจุบัน พ่อและแม่ของฉัน ได้เสียไปเมื่อไม่นานมานี้ พ่อเป็นอัลไซเมอร์ แม่โดนรถชนขาหัก 2 ข้างและป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ฉันได้ดูแลพ่อและแม่จนนาทีสุดท้าย เมื่อก่อนฉันจะกลัวพ่อมากเพราะพ่อไม่ชอบหน้าฉันเท่าไหร่ แต่พอพ่อป่วย ฉันดูแลพ่ออย่างดี ป้อนข้าว อาบน้ำ ให้ จากที่ฉันเคยอคติกับพ่อก็กลายเป็นความผูกพันธ์ จนทุกวันนี้ก็คิดถึงพ่อตลอดเวลา ส่วนแม่ของฉัน แม่จะคอยแอบช่วยโดยไม่ไห้พ่อรู้ตลอดๆ และฉันก็ดูแลจนแม่หมดลมหายใจ เหมือนกัน ตอนพ่อเป็นอัลไซเมอร์ แม่ก็ถูกรถชน เลยจำเป็นต้องพาพ่อไปอยู่ศูนย์บ้านพักคนชรา เพราะที่บ้านไม่มีใครดูแล พอตอนหลังมารู้ข่าวว่าพ่อโดนตีมีแผลเต็มตัว ทั้งๆที่ก็ให้ค่าจ้างคนที่ดูแลพ่อ ตอนฉันไปเยี่ยมเห็นพ่อมีแผลเต็มตัวและโดนตีหัวแตก เลยตัดสินใจรับพ่อกลับบ้าน เพื่อจะมาดูแลเอง ถึงฉันจะไม่ผูกพันธ์กับพ่อในตอนนั้น แต่เห็นสภาพพ่อแล้วปวดใจสุดๆ ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกเสียใจที่ส่งพ่อไปบ้านพักคนชรา
ปัจจุบันอายุ 50 ชีวิตฉันที่ดำเนินไปปกติ ลูกชายคนเดียวก็เรียนใกล้จบแล้ว เหมือนว่าตัวเองจะหายเหนื่อยไม่ได้หวังจะพึ่งลูก แต่ให้เขาพึ่งตัวเองได้แค่นี้ก็พอใจแล้วค่ะ ทุกวั้นนี้ถ้าว่างก็ก็จะนึกถึงอดีตที่ผ่านมา ฉันก็อดคิดไม่ได้ว่า ชีวิตฉันได้ผ่านเหตุการณ์ที่ฉันคิดว่าน่าจะเหตุการณ์ที่อาจจะไม่ดีสำหรับใครหลายๆคน แต่ฉันคิดว่าเหตุการณ์เหล่านั้นมันทำให้ฉันเข้มแข็งขึ้นมากๆๆๆ
บางครั้งก็ถามตัวเองที่ผ่านมาเหนื่อยไหม.....ตอบได้ว่าเหนื่อยมาก แต่ ดีใจที่ผ่านมาได้
ที่ตั้งกระทู้นี้ เพราะอยากแชร์เรื่องราวของตัวเองค่ะ แม้ว่าอาจมีชีวิตคนอื่นที่แย่กว่าฉันมากๆๆ....แต่ก็อย่าท้อนะค่ะ เป็นกำลังใจให้ก้าวผ่านไปให้ได้ค่ะ
......สวัสดี....
**พ่อกับแม่ของฉันที่รักและคิดถึงมากทึ่สุด**