วันนี้ได้ย้อนไปดูหนังเรื่อง equalizer และ jack reacher
ผมว่าหนังเขาสื่อออกมาเนียน และ เข้าถึงบริบทจริงๆของสังคมมากเลย นะครับ
ทุกที่มีเรื่องส่วย หรือ ค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ เสมอ จนกลายเป็นความเคยชิน
เมื่อก่อนตอนสมัย ม.ปลาย เวลาเบิกค่าอะไรมา แน่นอนว่าจะไม่ได้กลับคืนไป
ครูจะเขียนยอดจนครบ ยอดที่เบิกมา
เข้ามหาลัยมาก็เช่นกัน
หรือแม้กระทั่ง มาทำงาน หลายๆ บ.ก็มักจะทำแบบเดียวกัน
ถ้าเป็นโรงเรียนยิ่งเห็นชัด เบิกค่าจัดงานต่างๆ เช่น ตั้งเบิก 1 แสน ใช้จริงๆ 8 หมื่น ก็จะหาอะไรยัดเข้าไปจนกว่าจะครบ 1 แสน
เอาใหญ่กว่านั้น เช่นโครงการรัฐ ยิ่งโครงการใหญ่ ยิ่งเล่นง่ายๆ
อย่างโครงการแจกๆ ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเงินคนจน คนรวย คนแก่ ทั้งหลายแหล่
ถ้าเบิกว่า 5000 ล้าน แล้ว ใช้จ่ายไม่ครบ 5000 ก็แค่หาอะไรมาอุดให้ครบ แค่นั้นก็จบ
อย่างโครงการคนละครึ่งที่เราจะได้รับกันอย่างงบประมาณรวม
44,000 ล้านบาท
ถึงแม้จะมีคนที่ไม่ได้ใช้มัน หรือ ใช้ไม่ครบ
44,000 ล้านบาท มันก็ไม่ยากที่จะทำให้งบดุลเป็น 44,000 ล้านบาท
แล้วตรวจสอบไม่ได้ด้วย เพราะเป็นงบประมาณใช้จริง
ใช้จริงยังไง เหมือนโรงเรรียนเบิกงบมา 1 แสน ใช้จริงๆ 8 หมื่น ก็แค่หาบิลจริงๆมาให้ครบ 1 แสนแค่นั้น
เช่น เสื้อ 20000 ให้ร้านเขียนบิล 30000 ให้ร้านซัก 3000
บางคนถึงขั้นเก็บใบเสร็จทางด่วนเวลาไปเที่ยว เพื่อมาเบิกงบโรงเรียนก็มี
การเขียนบิลเกินแม้กระทั่งร้านเล็กๆ เขายังไม่ค่อยตรวจสอบ ถ้าเป็นโครงการใหญ่ๆ รับรองว่า ไม่ตรวจสอบแน่ๆ
หนังบางเรื่องเราจะเห็นการจ่ายส่วย หรือ ค่าคุ้มครองตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้ชีวิตจริงๆ ผมจะไม่เคยเห็นด้วยความที่บ้านจน เอาตังค์แค่วันละ 2 บาท
แต่มันก็ยังมีหัวโจกที่คอยวางอำนาจในห้องอยู่ อย่างน้อยๆ ต้องมีแหละซักคน ที่เป็นที่เกรงใจของคนในห้อง
และปัจจุบัน คิดว่าก็น่าจะมีหลายโรงเรียนที่มีการรีดไถเงินเพื่อนตั้งแต่ ประถม มัธยม
การปลูกฝังเหล่านี้ มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น แรกๆ อาจจะเป็นแค่ขนม ซักห่อ
ต่อจากนั้นก็จะเป็น เงิน บุหรี่ หรือ เครื่องใช้อื่นๆ
เมื่อคนเหล่านี้ ไปอยู่ที่ไหน เขาจะส่อพฤติกรรมพวกนี้อยู่เสมอ
ไปเป็นข้าราชการ หรือ พนักงานเอกชน เขาก็หาช่องทางของเขาจนได้
สิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้ให้ยังคงอยู่ คือ เขามีสังคมของเขาที่ชัดเจน
มีกลุ่มที่สนับสนุนให้เขาทำเรื่องพวกนี้
อย่างในหนังเราจะเห็นกระบวนการจัดการงานเป็นทอดๆ
เรื่องของการลดสเป็คเป็นเรื่องทั่วไปที่ทำกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะสเปคเหล็ก อิฐ หิน ปูนทราย
ไม่ว่าจะ equalizer ที่มีทั้งวงการตำรวจทีเข้าไปมีเอี่ยวกับวงการใต้ดิน การเป็นหูเป็นตาให้แกงค์อิทธิพล หรือ การรีดไถ ที่ชีวิตจริงๆ เราก็เจออยู่เสมอ
และ jack reacher ที่มีระบบการสร้างผังเมือง การพัฒนาการก่อสร้างและการโกงการประมูล
ซึ่งจากหนังหลายๆเรื่อง เราจะพบว่า แทบจะทุกวงการมักจะร่วมไปกับวงการก่อสร้างเสมอ (รวมไปถึง taken ภาคแรกที่ ไบรอัน มิลส์ เข้าไปตามลูกสาวที่ไซต์งานก่อนสร้าง)
ซึ่งอาจจะเพราะวงการก่อสร้าง เป็นวงการที่กระจายรายได้มหาศาล ทำให้แทบทุกวงการต้องการเข้าถึง ไม่ว่าจะประมูลของราชการ การค้าวัสดุก่อสร้าง ยาเสพติด โสเภณี และ อีกหลายๆอย่าง
ยิ่งใครที่ทำงานรับเหมาจะยิ่งเข้าใจว่า เงินมันเข้าง่ายแค่ไหน
ในไทยเราเองแทบทุกอย่างต้องมีค่าใช้จ่าย ขายของก็ต้องจ่ายใครซักคนแหละ
วินมอไซต์ สามล้อ แทกซี่
ยังไม่นับรวม สติ๊กเกอร์รถใหญ่ที่เป็นข่าวอยู่แล้ว
ผมเคยได้ยินเรื่องหนึ่งมาจากเพื่อนถึงเรื่อง เส้นทางวิ่งน้ำแข็ง ผมได้ฟังตอนแรกก็ตกใจ นำแข็งเขามีเส้นทางด้วยรึ นึกว่าวิ่งยังไงก็ได้
แม้กระทั่งพระก็ยังมีเส้นทางบิณฑบาตร ถ้าทับที่กันก็ถึงขั้นมีปัญหาก็มี
หรือแม้แต่เรื่องฉาวของวัด ต่างๆ ที่เป็นข่าวแทบทุกวันเองก็ตามที
การหล่อหลอมพวกนี้ มันสร้างสังคมเคยชินขึ้นมาครับ
บางคนไม่รู้ บางคนรู้แต่ปล่อยไป บางคนรู้มีการกระทำใดๆ อาจจะส่งผลต่างๆตามมา
สุดท้ายแล้วสังคมก็จะกลับมาสู่โหมดเคยชิน เหมือนเดิม
ที่พูดไม่ใช่อะไรนะครับ พอดีดูหนังแล้ว นึกถึงความจริงเฉยๆ ครับ
มีเรื่องจริงเรื่องหนึ่งที่ผมเจอเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว และ ตอนนี้ส่งผลแล้ว
ก็ถือเป็นความเคยชิน และมองเป็นเรื่องปกติเช่นกัน
แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมายครับ
คิดไม๊ครับว่า คนชินกับ คอรับชัน จนมองว่ามันคือส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว
ผมว่าหนังเขาสื่อออกมาเนียน และ เข้าถึงบริบทจริงๆของสังคมมากเลย นะครับ
ทุกที่มีเรื่องส่วย หรือ ค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ เสมอ จนกลายเป็นความเคยชิน
เมื่อก่อนตอนสมัย ม.ปลาย เวลาเบิกค่าอะไรมา แน่นอนว่าจะไม่ได้กลับคืนไป
ครูจะเขียนยอดจนครบ ยอดที่เบิกมา
เข้ามหาลัยมาก็เช่นกัน
หรือแม้กระทั่ง มาทำงาน หลายๆ บ.ก็มักจะทำแบบเดียวกัน
ถ้าเป็นโรงเรียนยิ่งเห็นชัด เบิกค่าจัดงานต่างๆ เช่น ตั้งเบิก 1 แสน ใช้จริงๆ 8 หมื่น ก็จะหาอะไรยัดเข้าไปจนกว่าจะครบ 1 แสน
เอาใหญ่กว่านั้น เช่นโครงการรัฐ ยิ่งโครงการใหญ่ ยิ่งเล่นง่ายๆ
อย่างโครงการแจกๆ ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเงินคนจน คนรวย คนแก่ ทั้งหลายแหล่
ถ้าเบิกว่า 5000 ล้าน แล้ว ใช้จ่ายไม่ครบ 5000 ก็แค่หาอะไรมาอุดให้ครบ แค่นั้นก็จบ
อย่างโครงการคนละครึ่งที่เราจะได้รับกันอย่างงบประมาณรวม 44,000 ล้านบาท
ถึงแม้จะมีคนที่ไม่ได้ใช้มัน หรือ ใช้ไม่ครบ 44,000 ล้านบาท มันก็ไม่ยากที่จะทำให้งบดุลเป็น 44,000 ล้านบาท
แล้วตรวจสอบไม่ได้ด้วย เพราะเป็นงบประมาณใช้จริง
ใช้จริงยังไง เหมือนโรงเรรียนเบิกงบมา 1 แสน ใช้จริงๆ 8 หมื่น ก็แค่หาบิลจริงๆมาให้ครบ 1 แสนแค่นั้น
เช่น เสื้อ 20000 ให้ร้านเขียนบิล 30000 ให้ร้านซัก 3000
บางคนถึงขั้นเก็บใบเสร็จทางด่วนเวลาไปเที่ยว เพื่อมาเบิกงบโรงเรียนก็มี
การเขียนบิลเกินแม้กระทั่งร้านเล็กๆ เขายังไม่ค่อยตรวจสอบ ถ้าเป็นโครงการใหญ่ๆ รับรองว่า ไม่ตรวจสอบแน่ๆ
หนังบางเรื่องเราจะเห็นการจ่ายส่วย หรือ ค่าคุ้มครองตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้ชีวิตจริงๆ ผมจะไม่เคยเห็นด้วยความที่บ้านจน เอาตังค์แค่วันละ 2 บาท
แต่มันก็ยังมีหัวโจกที่คอยวางอำนาจในห้องอยู่ อย่างน้อยๆ ต้องมีแหละซักคน ที่เป็นที่เกรงใจของคนในห้อง
และปัจจุบัน คิดว่าก็น่าจะมีหลายโรงเรียนที่มีการรีดไถเงินเพื่อนตั้งแต่ ประถม มัธยม
การปลูกฝังเหล่านี้ มันเป็นแค่จุดเริ่มต้น แรกๆ อาจจะเป็นแค่ขนม ซักห่อ
ต่อจากนั้นก็จะเป็น เงิน บุหรี่ หรือ เครื่องใช้อื่นๆ
เมื่อคนเหล่านี้ ไปอยู่ที่ไหน เขาจะส่อพฤติกรรมพวกนี้อยู่เสมอ
ไปเป็นข้าราชการ หรือ พนักงานเอกชน เขาก็หาช่องทางของเขาจนได้
สิ่งที่ทำให้คนเหล่านี้ให้ยังคงอยู่ คือ เขามีสังคมของเขาที่ชัดเจน
มีกลุ่มที่สนับสนุนให้เขาทำเรื่องพวกนี้
อย่างในหนังเราจะเห็นกระบวนการจัดการงานเป็นทอดๆ
เรื่องของการลดสเป็คเป็นเรื่องทั่วไปที่ทำกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะสเปคเหล็ก อิฐ หิน ปูนทราย
ไม่ว่าจะ equalizer ที่มีทั้งวงการตำรวจทีเข้าไปมีเอี่ยวกับวงการใต้ดิน การเป็นหูเป็นตาให้แกงค์อิทธิพล หรือ การรีดไถ ที่ชีวิตจริงๆ เราก็เจออยู่เสมอ
และ jack reacher ที่มีระบบการสร้างผังเมือง การพัฒนาการก่อสร้างและการโกงการประมูล
ซึ่งจากหนังหลายๆเรื่อง เราจะพบว่า แทบจะทุกวงการมักจะร่วมไปกับวงการก่อสร้างเสมอ (รวมไปถึง taken ภาคแรกที่ ไบรอัน มิลส์ เข้าไปตามลูกสาวที่ไซต์งานก่อนสร้าง)
ซึ่งอาจจะเพราะวงการก่อสร้าง เป็นวงการที่กระจายรายได้มหาศาล ทำให้แทบทุกวงการต้องการเข้าถึง ไม่ว่าจะประมูลของราชการ การค้าวัสดุก่อสร้าง ยาเสพติด โสเภณี และ อีกหลายๆอย่าง
ยิ่งใครที่ทำงานรับเหมาจะยิ่งเข้าใจว่า เงินมันเข้าง่ายแค่ไหน
ในไทยเราเองแทบทุกอย่างต้องมีค่าใช้จ่าย ขายของก็ต้องจ่ายใครซักคนแหละ
วินมอไซต์ สามล้อ แทกซี่
ยังไม่นับรวม สติ๊กเกอร์รถใหญ่ที่เป็นข่าวอยู่แล้ว
ผมเคยได้ยินเรื่องหนึ่งมาจากเพื่อนถึงเรื่อง เส้นทางวิ่งน้ำแข็ง ผมได้ฟังตอนแรกก็ตกใจ นำแข็งเขามีเส้นทางด้วยรึ นึกว่าวิ่งยังไงก็ได้
แม้กระทั่งพระก็ยังมีเส้นทางบิณฑบาตร ถ้าทับที่กันก็ถึงขั้นมีปัญหาก็มี
หรือแม้แต่เรื่องฉาวของวัด ต่างๆ ที่เป็นข่าวแทบทุกวันเองก็ตามที
การหล่อหลอมพวกนี้ มันสร้างสังคมเคยชินขึ้นมาครับ
บางคนไม่รู้ บางคนรู้แต่ปล่อยไป บางคนรู้มีการกระทำใดๆ อาจจะส่งผลต่างๆตามมา
สุดท้ายแล้วสังคมก็จะกลับมาสู่โหมดเคยชิน เหมือนเดิม
ที่พูดไม่ใช่อะไรนะครับ พอดีดูหนังแล้ว นึกถึงความจริงเฉยๆ ครับ
มีเรื่องจริงเรื่องหนึ่งที่ผมเจอเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว และ ตอนนี้ส่งผลแล้ว
ก็ถือเป็นความเคยชิน และมองเป็นเรื่องปกติเช่นกัน
แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากมายครับ