กระบวนการแห่งเหตุปัจจัย ตามหลักอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท สายเกิด--พระบาลีพระมหากัจจยานะ--แปล ดร.สุภีร์ ทุมทอง

กระทู้สนทนา
141

142

ตรงนี้ท่านพระมหากัจจยานะกล่าวถึงสิ่งต่างๆที่ท่านได้กล่าวข้างต้นนั้น เป็นไปตามกระบวนการแห่งเหตุปัจจัย
ตามหลักอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท สายเกิด นะ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี
เพราะความเกิดขึ้นของสิ่งนี้ สิ่งนี้ก็ย่อมเกิดขึ้น
โส วะตาวุโส จักขุสะหมิง สะติ รูเป สะติ จักขุวิญญาเณ สะติ
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อจักขุมีอยู่ จักขุสะหมิง สะติ
เมื่อจักขุมี
สะติ แปลว่า มี นะครับ
เมื่อโสตะปะสาทะมีอยู่นะ
รูเป สะติ
เมื่อรูปทั้งหลายมีอยู่
จักขุวิญญาเณ สะติ
เมื่อจักขุวิญญานมีอยู่
ผัสสะ ปัญญัตติง ปัญญาเปสสะตีติ ฐานะเมตัง วิชชะติ
การบัญญัติในเรื่องนี้ว่าจักบัญญัติซึ่งผัสสะบัญญัติฐานะนี้ก็ย่อมมีได้
ฐานะเมตัง วิชชะติ
ฐานัง ฐานะ ก็คือ เหตุนั่นเอง
เอตัง เหตุ อันนี้
วิชชะติ แปลว่า ย่อมมี
เหตุอันนี้ที่เป็นเหตุว่า จักบัญญัติ ปัญญาเปสสะติ จักบัญญัติ ซึ่งผัสสะบัญญัติ
ก็คือมีการบัญญัติขึ้นมาว่ามีสภาวะธรรมอีกชื่อหนึ่งที่มีขึ้นมาเพราะการประชุมกันแห่งธรรม 3 อย่าง ก็คือ จักขุ รูป จักขุวิญญาน ก็เรียกว่า ผัสสะ
ฉนั้น ผัสสะ ก็เป็นชื่อของสภาวะธรรมอย่างหนึ่ง
ซึ่งถ้าจักขุไม่มี รูปไม่มี จักขุวิญญานไม่มี ผัสสะก็ไม่เกิด พอไม่เกิด ก็หาบัญญัติไม่ได้
แต่พอ ผัสสะ เกิดก็หาบัญญัติได้ ก็เหมือนพวกเรานี่ ถ้าพวกเราไม่เกิดเนี่ย นิพพานไปเรียบร้อยแล้ว ก็หาบัญญัติไม่ได้ว่าชื่อนั้นชื่อนี้นายก นายข
ผู้หญิง ผู้ชาย
ผัสสะ ก็เหมือนกัน ถ้าผัสสะไม่เกิดก็หาบัญญัติไม่ได้
ผัสสะ เกิดจากไหน เกิดจากจักขุ รูป จักขุวิญญาน ประชุมกัน
ผัสสะย่อมมีเพราะการประชุมกันแห่งธรรม 3 อย่าง เมื่อจักขุมี เมื่อรูปมี เมื่อจักขุวิญญานมี
ฐานะหรือเหตุ เงื่อนไขอันนี้ว่าจักบัญญัติ ผัสสะ ก็ย่อมมีขึ้น อันนี้ ผัสสะ ก็ย่อมมี อย่างที่ 1
----------1.51.54
ผัสสะที่มีก็เพราะเหตุมันมี นี้อย่างนี้
โลกทางตามี ผัสสะทางตาที่เราได้เห็นโน่นนี่นั่น
เพราะการประชุมกันแห่งธรรม 3 อย่าง
ถ้าไม่มี 3 อย่างรวมกันก็ไม่มีผัสสะทางตาขึ้นมา
ผัสสะ ปัญญัตติยา สะติ
เมื่อการบัญญัติผัสสะมีอยู่
เวทะนาปัญญัตติง ปัญญาเปสสะตีติ ฐานะเมตัง วิชชะติ
ฐานะหรือเหตุเงื่อนไขอันนี้ว่า จักบัญญัติซึ่งเวทนาบัญญัติก็ย่อมมี นี่อันที่สอง
อันที่สอง ก็บัญญัติ เวทนา
พอมี ผัสสะ ก็ต้องมีความรู้สึกต่อผัสสะอันนั้น เมื่อผัสสะกับอะไร ก็ต้องรู้สึกกับอารมณ์นั้น
เสวยอารมณ์เป็นสุขคือสบายผ่านได้ง่ายบ้าง อึดอัดคือผ่านได้ยากบ้าง ก็ต้องบัญญัติเวทนาขึ้นมา นะ
ถ้าสบายก็เรียกเวทนา สุข
ถ้าไม่สบาย ก็เวทนา ทุกข์
ถ้ากลางๆก็ อทุกขมสุข ก็บัญญัติขึ้นมานะ
ถ้าไม่มี ผัสสะ จะบัญญัติ เวทนา ได้ไหม ก็ไม่ได้ นะ
เมื่ออันนี้มี อันนี้ก็มี ต่อไป
---------1.53.03
เวทะนา ปัญญัตติยา สะติ
เพราะการบัญญัติเวทนามีอยู่ เมื่อการบัญญัติเวทนามีอยู่
สัญญาปัญญัตติง ปัญญาเปสสะตีติ ฐานะเมตัง วิชชะติ
ฐานะหรือเหตุอันนี้ว่าจักบัญญัติซึ่งสัญญานะ พอมีความรู้สึกก็ต้องทำเครื่องหมายว่าอันนี้มันดี อันนี้นี่มันไม่ดี
อันนี้เป็นคน อันนี้เป็นหญิง อันนี้เป็นชาย อันนี้ชื่ออะไร คราวหน้าจะได้เรียกชื่อถูก คุณชื่ออะไร ชื่อนายก นายข
เพื่อให้รู้จักคุณมากขึ้น คุณลูกใคร คุณหลานใคร คุณเหลนใคร ตระกูลไหน กรุ๊ปเลือดอะไร น้ำหนักเท่าไหร่ สูงเท่าไหร่
จะได้กำหนดคุณถูกไงเพราะว่าถ้าหน้าตาเหมือนกันสูงไม่เท่ากันก็จะเป็นคนละคนกันไงจะได้แยกคนกันได้ เป็น นาย ก นาย ข ได้
นะ อันนี้พอรู้สึกก็ มีสัญญา บัญญัติขึ้นมา นาอย่างนี้นะครับ
ต่อไป-------------
สัญญา ปัญญัตติยา สะติ
เมื่อบัญญัติสัญญามีอยู่
วิตักกะ ปัญญัตติง ปัญญาเปสสะตีติ ฐานะเมตัง วิชชะติ
ฐานะอันนี้ ก็คือ เงื่อนไขอันนี้ว่า จะบัญญัติซึ่ง วิตักกะบัญญัติ นา
บัญญัติ วิตก ก็คือเรื่องราวที่เราคิด พอมีข้อมูลมันก็คิดต่อได้ เราก็จะได้พูดว่าเราคิดอย่างนั้นคิดอย่างนี้ ดิฉันคิดอย่างนี้ คุณคิดอย่างนั้น
ก็พูดได้ ก็บัญญัติขึ้นมานะ ก็เป็นฐานะที่มีได้ นะครับ
-------------------
วิตักกะ ปัญญัตติยา สะติ
เมื่อมีการบัญญัติวิตก เมื่อการบัญญัติวิตกมีอยู่
ปะปัญจะสัญญา สังขา สะมุทาจะระณะ ปัญญัตติง ปัญญาเปสสะตีติ ฐานะเมตัง วิชชะติ
ฐานะก็คือเหตุอันนี้ ว่าจะบัญญัติซึ่ง บัญญัติก็คือการถูกครอบงำด้วยส่วนต่างๆแห่งสัญญาที่สัมปยุตกับปะปัญจะธรรม ก็คือ
สัมปยุตกับ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ก็ย่อมมีได้
ก็บัญญัติตัวที่ 5 ขึ้นมา
------1.55.23
พอบัญญัติความคิดว่าดิฉันคิดอย่างนี้ อย่างนี้ เห็นคนนี้รู้สึกอย่างนี้ คิดอย่างนี้ ไอ้คนนี้มันก็น่ารักเหลือเกิน ดิฉันก็เลยสมควรที่จะรักเขา
พูดต่อได้นะ ไอ้หมอนี่มันเลวเหลือเกิน ดิฉันก็สมควรที่จะเกียจเขา ฉนั้นการเกียจเขาเป็นเรื่องเหมาะสมสำหรับดิฉันแล้ว นะก็บัญญัติขึ้นมาได้
ไอ้หมอนี่มันน่าโมโหเหลือเกิน เราก็ไปหาพวกใช่ไม๊เธอ นี่น่าโมโหใช่ไหม ถูกต้องแล้วจ้า พวกเดียวกัน อยู่ในวัฏฏะอันเดียวกัน
กับคนอื่นที่สอดคล้องกับความคิดตัวเอง ความเห็นตัวเอง ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ตัวเอง ก็เลยเกิดการยอมรับกันเองในวงสังคมที่พวกเราเป็นอยู่
นา พวกเราก็เลยคุยกันรู้เรื่อง ของยี่ห้อนี้ดีใช่ไหมเธอ ถูกต้องแล้ว....
อันนี้ก็คือเหตุปัจจัยนั่นเอง เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี จนมาถึงทุกวันนี้
แต่ถ้าไม่มี อันนี้ก็ไม่มีอะไรนะ
ลองย้อนกลับไปตอนเรานอนหลับสนิท ไม่มีนะเรื่องพวกเนี้ย มันเพิ่งมีตอนมี ผัสสะ นะ
พอผัสสะมีขึ้นมานะ มีเวทนา สัญญา มีปปัญจะขึ้นมาก็
บัญญัติขึ้นมาจากการถูกกิเลสครอบงำ
ขณะถูกกิเลสครอบงำยังคิดว่าเราถูกอีกนะ
ก็แกเจอสิ่งนี้แกไม่รับก็บ้าแล้ว นะ เจอเหตุการณ์นี้แกไม่โมโหแกก็บ้าแล้ว แสดงว่าที่รักมันไม่บ้า มันปกติ ที่มันโมโหมันไม่บ้ามันปกติ ว่างั้น
แกโดนด่าแกไม่โมโหเขาแกบ้าแล้ว ตกลงบ้าไหม ก็บ้าไง บ้าของฝั่งวัฎฎะ นะ ฝั่งวัฏฏะก็ต้องเป็นอย่างงี้ไง ปปัญจะ ใช่ไหมล่ะ
อยู่ฝั่งนี้เขาบัญญัติมาอย่างนี้ไง สรุปแล้วมันก็เป็นบัญญัติ เป็นสภาวะของเขา ซึ่งเป็นสภาวะที่มีจริง นะครับ
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมีเพราะความเกิดขึ้นของสิ่งนี้ สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้น
อันนี้ทางจักขุทวาร
-------1.58.00
ทางทวารอื่นก็คล้ายๆกันทั้งหมดเลย นะครับน้า
ทุกท่านลองไปตกผลึกดูนะถ้าเข้าใจประเด็นตรงนี้ก็จะเข้าใจวัฎฎะสงสารทั้งหมดเลยอันนี้
ถ้าเข้าใจวัฎฎะสงสารก็ล้มฝั่งวัฎฎะสงสารก็กลับพลิกกัน
เมื่ออันนี้ไม่มี อันนี้ก็ไม่มี
อันนี้ก็ไม่มี ไม่มี ไม่มี
หาบัญญัติไม่ได้ นะอย่างนี้ทำนองนี้
ก็ครบสมบูรณ์ทั้งฝั่งวัฎฎะ และวิวัฏฏะ เลยนะอย่างนี้นะครับ
อันนี้เป็น เนื้อความของมธุปิณฑิกะสูตร จริงๆจะมีอยู่นิดเดียวเท่านี้แหละ
แต่ว่ายากมากตรงนี้นะ ใครเข้าใจเรียกว่าเข้าใจวัฎฎะทั้งหมด เข้าใจวิวัฎฎะทั้งหมดเลย
เข้าใจว่าเราถูกกิเลสครอบงำยังไง
และก็จะไม่ถูกครอบได้ยังไง
ขนาดถูกครอบยังรู้นะว่ามายังไง
จะไม่ถูกครอบได้ยังไงก็รู้อีกนะทั้งๆที่ยังถูกครอบอยู่เลยแต่รู้
รู้ว่า ถ้าอันนี้มันไม่มี อันนี้ก็ไม่มี
อะไรอย่างเงี้ยเราจะรู้หมดเลย
จึงเป็นพระสูตรที่เรียกว่าฟังแล้วซาบซึ้ง ได้รับความเยือกเย็น หวานเหมือนน้ำผึ้งเลยนะ
ไม่ใช่หวานน้ำผึ้งคือกินง่ายไม่ใช่อย่างนั้นนะ
หมายความว่า ฟังดูแล้วมันเข้าใจชัด มันเห็นชัดว่าอ๋อเรามันยังไง อะไรยังไง  มันเข้าใจอ่ะ คนเราถึงแม้จะมีกิเลสแต่มันเข้าใจตัวเองว่าทำไม
กิเลสมันจึงมีใช่ไม๊ ทำไมเราจึงโมโหเก่ง ก็เพราะเราสร้างตัวเองให้เป็นคนโมโหเก่ง เราก็เลยโมโหเก่งกว่าเดิม
ทำไมเราโมโหเก่งกว่าเดิม ก็เพราะเมื่อวานเราสร้างไว้หนึ่งขีด วันนี้เราก็เพิ่มมา 2 ขีด วันต่อไปไม่ต้องเดา ก็ 3 ขีด เนี่ยประมาณนี้
คือเราเป็นคนสร้างเองกะมือเลยมาเราก็จะรู้จักไม่ใช่เหตุการณ์สถานการณ์ข้างนอกสร้างเลย นะทำนองนี้นะครับ
มธุปิณฑิกสูตร ๔ เมื่อจักขุเป็นต้นมี ผัสสะเป็นต้นจึงมี : ดร.สุภีร์ : พุทธธรรมสวนหลวง : ๒๙ ก.พ. ๒๕๖๗
ท่านพระมหากัจจายานะ ท่านก็ได้มาขยายความซึ่งก็ได้กล่าวถึง ปปัญจะสัญญาสังขา
ก็คือ แง่มุมต่างๆของสัญญาที่สัมปยุตกับ ตัณหา มานะ ทิฎฐิ
-------0.35
ว่าครอบงำจิตใจของคนในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แล้วก็ ธรรมมะ ได้ยังไง นา
เราจึงรู้สึกเหมือนถูกอารมณ์ต่างๆ ถูกโลกครอบงำ โลกจึงมีอิทธิพลต่อจิตใจของพวกเราเยอะแยะ ทำให้เรารักก็ได้ ทำให้เราหลง เราชัง
เราเกียจก็ได้ ทำให้เราโมโหก็ได้แต่จริงๆไม่ใช่หรอก มันเป็นกิเลสในใจเรานั่นเอง ฝั่งเรานะ ท่านก็บอกที่ไปที่มา นะครับ
พอบอกที่ไปที่มาเรียบร้อยในทางทวารทั้งหกนะครับ ท่านก็ได้กล่าวถึงกระบวนธรรมที่เป็น ปฏิจจสมุปบาท นะครับ น๊า
ในเอกสารทุกท่านก็เปิดดูตามเมื่อเช้าเราก็อ่านไปแล้วนะครับ
โววะตาวุโส จักขุสะหมิง สะติ
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เมื่อจักขุ มีอยู่ เมื่อจักขุปสาทะมีอยู่
รูเป สะติ
เมื่อรูปทั้งหลายมีอยู่
จักขุวิญญาณ สะติ
เมื่อจักขุวิญญาน มีอยู่
นะ เมื่อพวกนี้มีหละนะ อันอื่นจึงมีนะครับ
ผัสสะปัญญัตติง ปัญญาเปสสะตีติ ฐานะเมตัง วิชชะติ
ฐานะ ก็คือ เหตุเงื่อนไขอันนี้ว่า บุคคลจักบัญญัติซึ่งการบัญญัติผัสสะก็ย่อมมีขึ้น นะ
ผัสสะปัญญัตติง บัญญัติผัสสะ น๊าอย่างนี้นะครับ
ฉนั้นผัสสะจะมีขึ้นมาได้เนี่ยจะมีขึ้นมาลอยๆไม่ได้นะ มีขึ้นมาตามเงื่อนไข ตามเหตุ ตามปัจจัย
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี
เพราะความเกิดขึ้นของสิ่งนี้ สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้นนั่นเอง
ในที่นี้ สิ่งนี้ที่มีก็คือ จักขุ รูป จักขุวิญญาน มี ตัวนี้เป็นฐาน
จึงมีผัสสะ
ผัสสะปัญญัตติยา สะติ
เมื่อการบัญญัติผัสสะมี ก็คือเมื่อผัสสะเจตสิกเกิดขึ้น นะครับ
เวทะนาปัญญัตติง ปัญญาเปสสะตีติ ฐานะเมตัง วิชชะติ
เหตุนี้ว่าบุคคลจะบัญญัติซึ่งเวทนาบัญญัติดังนี้ก็ย่อมมีขึ้น อย่างที่ 2 บัญญัติเวทนา
พอมีการสัมผัสกระทบกับเรื่องต่างๆเช่นมีคำพูดมาว่าเราขึ้นมาก็จะมีความรู้สึกอึดอัด พอรู้สึกอึดอัดเราก็ต้องบัญญัติความรู้สึกอันนี้ว่า
คือเวทนาทุกข์ เห็นไหมก็เกิดบัญญัติเวทนาขึ้นมา น๊า เกิดบัญญัติความรู้สึกขึ้นมา น๊า ซึ่งเวทนานี้เราไม่ชอบ พอมีเวทนานี้ก็เกิดสัญญาบัญญัติ
ขึ้นมาว่า อันนี้คือ เป็นความรู้สึกอึดอัดต่างจากความรู้สึกสบายนะ
ที่จริงความรู้สึกอึดอัดกับความรู้สึกสบายมันไม่รู้จักกัน แล้วมันไม่รู้ว่าฉันเป็นใครด้วยซ้ำไป นะ
คนที่จับมันแยกกันก็คือ สัญญา เป็นตัวกำหนด พอเข้าใจไหมครับ อย่างนี้
ก็เวทนาก็เป็นเพียงที่สิ่งที่ตอบสนองต่อผัสสะ เหมือนเรายืนตากแดดมันก็ร้อน ยืนตากลมมันก็เย็นเท่านั้นเอง ก็มีเท่านั้น
ส่วนคนที่แยกว่า ร้อนกับเย็น มันไม่เท่ากัน ร้อนมันไม่น่าต้องการ เย็นมันดีก็คือ สัญญา นี่พอเข้าใจไม๊
เห็นไหม คนที่แยกเขาเรียกว่าคนกำหนดทำเครื่องหมายให้อันนี้แยกจากอันนั้น อันนั้นแยกจากอันนี้ นะครับ ก็มีขึ้นมานะ
เวทะนา ปัญญัตติยา สะติ
เมื่อการบัญญัติเวทนามีอยู่
สัญญาปัญญัตติง ปัญญาเปสสะตีติ ฐาเนเมตัง วิชชะติ
ฐานะนี้คือเหตุเงื่อนไขนี้ว่า บุคคลจะบัญญัติซึ่งการบัญญัติสัญญาก็ย่อมมีขึ้นนะครับ
นี่ก็บัญญัติสัญญาก็มีได้
พอบัญญัติสัญญา นะ เวทนาสุข ต่างจากเวทนาทุกข์ ต่างจากเวทนาอทุกขมสุข
สุขสบายมันดี ทุกข์เครียดวิตกกังวล มันดีไม๊ มันไม่ดี มันเป็นสิ่งที่เป็นข้าศึกเป็นศัตรู
-----4.47
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่