เรื่องมันเริ่มที่เราต้องมาทำงานกับเพื่อนคนนึง ซึ่งเราไม่ได้สนิทกัน แต่เพื่อนสนิทของเราให้ชื่อย่อว่า พพ เคยคลุกคลีกับคนๆนี้ เราต่างแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตหลังจากเรียนจบ ผ่านมานานกว่า 5 ปี เราจึงได้รับการติดต่อมาจากเพื่อนคนนี้ที่เป็นประเด็น ขอใช้ชื่อย่อว่า ปส เราเข้ามาทำงานกับเขา อยู่แผนกเดียวกัน ตอนเราสัมภาษณ์ เขาบอกกับหัวหน้าว่าเราคือเพื่อนของเขา ซึ่งช่วยกันคุยจนเราเข้าทำงานในเงินเดือนที่เท่ากันกับเขา
พอเริ่มงานช่วงแรกเหมือนทุกอย่างจะโอเค แต่ผ่านไปไม่ถึงเดือน ปส ก็เข้ามาบอกกับเราเขาจะลาออก เราตกใจเพราะเรายังไม่เป็นงาน และยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้จากเขา ต่อมามีการประชุมแผนก เพื่อแบ่งงานเพราะยังมีอีกคนที่เข้าใหม่พร้อมๆเรา หัวหน้าจึงอยากชี้แจงว่าใครต้องรับผิดชอบส่วนไหน พอคุยไปจนจบ เราก็ไม่เห็นเขาพูดถึงส่วนงานของ ปส เพราถ้า ปส จะออก เขาก้ควรจะแจกจ่ายงานในส่วนนั้นมา เรากำลังจะถามว่าส่วนงานของ ปสใครจะรับผิดชอบ ยังไม่ทันพูดว่าแล้วส่วนง… ปส ก็หันมาดุเรา แล้วบอกว่าไม่ต้องพูด พอจบประชุม หัวหน้าก้คุยส่วนตัวกับ ปส เราคิดว่าคงคุยรายละเอียดงานว่าใครจะรับหน้าที่เขา จึงไม่สนใจอะไร พอพักเที่ยงเราก็เลยเขาไปคุยกับ ปส ว่าสรุปออกมั้ย แล้วใครต้องทำงานส่วนของเขา คำตอบคือเขาไม่ออกแล้ว และได้ปรับตำแหน่งในเงินเดือนที่สูงขึ้นเกือบเท่าตัว บอกตรงๆว่าเราดีใจ ที่จะได้เพื่อนเป็นหัวหน้า เราทำงานที่ต้องรับทราบว่าใครได้เงินเดือนเท่าไหร่ ต่อมาเราจึงไปถาม ปส ว่าเขาได้เงินเดือนเท่าไหร่ เพื่อประกอบกับชุดงานของเรา ปส ก็บอกรายละเอียดมาปกติ เหมือนไม่ได้มีอะไร แต่ ปส พูดมาประโยคนึงว่า ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเขาก็เห็นความสามารถของ เราก็งง ว่าพูดแบบนี้ทำไม แต่เราก็เฉยไปก่อน
ทำงานไปเรื่อยๆจนถึงวันหยุดประจำสัปดาห์ บอกก่อนว่าเราค่อนข้างเป็นคนที่ไม่คุยกับเพื่อนร่วมงานทางโซเชียล เพราะวันหยุดเราจะไม่ตอบแชทที่ทำงานเลย กันเขาเพิ่มงานให้ในวันหยุด แต่วันนั้นอยู่ๆ ปส ก็ส่งคลิปมาให้เรา เราเข้าไปดู กะไว้ว่าจะตอบเพราะเป็นเพื่อนกัน คลิปนั้นเป็นคลิปคนร้องเพลงที่มีเนื้อเพลงประมาณว่าถ้าไม่เจือกเรื่องชาวบ้าน ชีวิตก็ไปต่อไม่ได้ เราตะหงิดใจแล้วเอาให้แฟนดู แฟนก็บอกว่าคงไม่มีอะไรหรอก ปล่อยไปก่อน เราก็ปล่อยแชททิ้งไว้ ไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่ความคาใจเราก็เลยแคปทุกอย่างให้เพื่อนสนิทดูที่ชื่อ พพ และเล่าทุกอย่างที่เจอมาให้ พพ ฟัง เราโทรคุยกันนะ
สิ่งที่ พพ ตอบกลับหลังจากฟังเราพูดจบคือ หัวเราะ แล้วพูดว่า กูว่าแล้ว แล้วมันก็เล่าว่า ไม่รู้หรอว่ามันเป็นคนแบบนี้ กูเจอมาหมดแล้วเพื่อน แล้วมันเล่าว่า ปส เป็นคนที่เจ้ายศเจ้าอย่าง ใครจะดีกว่าไม่ได้เลย ฉันต้องที่หนึ่ง ฉันต้องคือที่ เท่านั้น เราก็เลยเอ๊ะเรื่องนึง แล้วคิดตาม มันก็อาจเป็นไปได้ เพราะตอนแรกที่เข้ามาทำงานแรกๆ เพื่อนร่วมงานคนอื่นมักจะชอบเรียกเราว่า คนสวย (เราก็ไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้น แต่พูดด้วยสัจจริงว่าไม่แย่) ซึ่งเวลาใครเรียกแบบนั้นมันก้ต้องยิ้มยินดีอยู่แล้วป่ะ และเราก็เรียกคนอื่นในทางบวกด้วยเหมือนกัน แล้วพอมีใครมาติดต่องานส่วนของเราผ่าน ปส เรามักจะได้ยิน ปส พูดว่ากระแทกใส่คนนั้นว่า เอาไปให้คนสวยเขานู้น คนสวยนั่งอยู่นู้นจ้า เราจึงเก็บทุกอย่างไว้ในใจ ดูท่าทีไปก่อน ทำงานต่อไป
ผ่านไปไม่กี่วัน ปส ก็เข้ามาคุยกับเราแล้วบอกว่า ปส ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราเป็นเพื่อนกัน เพราะถ้าเกิดความเสียหายขึ้น ปส จะเดือดร้อนไปด้วย เราก้ถามกลับไปว่าแล้วหัวหน้าล่ะ ปส บอกว่าไม่เป็นไร ให้เขารู้แค่คนเดียวพอ แต่ในใจเราคิดว่าคนอื่นน่าจะรู้แล้วล่ะเพราะที่ผ่านมาก็คุยกูกันตลอด เราเริ่มปรึกษาเพื่อนสนิทอีกคน ชื่อย่อ กล คำตอบที่ได้คือ ไม่รู้หรอหรอว่า ปส มันเหมือนเป็นไบโพลาร์ นิสัยก็พูดตรงกับที่ พพ เคยบอก สรุปคือเพื่อนทุกคนรู้ แต่ฉันไม่รู้ จะบอกว่าไม่ใส่ใจก็ได้เพราะเราไม่ค่อยยุ่งกับใคร เพื่อนสนิทก็มีไม่กี่คน เหมือนเราแชร์ทุกเรื่องที่เจอกับ กล และ พพ แล้วได้คำแนะนำในการทำงานร่วมกันกับ ปส เราก็ใช้ชีวิตต่อ เพื่อนสนิท2คนแนะนำว่าทำงานกับคนแบบนี้อย่าไปเหนือให้มันต้องอิจฉา แต่ทำงานให้รอบคอบ อย่าให้มีอะไรผิดพลาด ทำเหมือนไม่ได้ติดใจอะไร ใช้ชีวิตปกติ เราทำแบบนั้นมาตลอดจนเข้าเดือนที่2 ของการทำงาน เจอ ปส ผีเข้าผีออก อยู่เรื่อยๆ ทำใส่เราบ้าง ใส่คนอื่นบ้าง จนเราเอือมที่ต้องทำงานกับคนแบบนี้ แต่เราก็ทน พยายามทำเฉย ไม่ให้เขารู้ว่าในใจเราคิดอะไร
มีวันนึงเราจะไปซื้อกาแฟตอนพักเที่ยง จึงถามเพื่อนร่วมงานว่ามีใครจะเอาอะไรมั้ย รวมถึง ปส บ้างก้ฝาก บ้างก้ไม่ฝาก ปส ก็ไม่ฝากบอกว่าไม่อยากกินกาแฟแล้วมันบ่ายละเดี๋ยวนอนไม่หลับจะเวียนหัวจะนั้นจะนี่ เราก้ไม่ได้อะไร พอกลับมาเรากำลังจะลงจากรถ เจอ ปส กลับมาจากพักเที่ยงพอดี เห็น ปส ถือแก้วกาแฟ ความแพ้เสียงในหัวตัวเอง จึงชี้นิ้วไปที่แก้วกาแฟแล้วพูดว่า อ้าว ปส เลิ่กลั่กแต่ก็ยิ้มกลับมาและไม่ตอบอะไร เอาจริงเราคิดนะว่าไม่อยากให้เราซื้อฝากก็พูดว่า ไม่เอา ไม่เป็นไรเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นเหตุผลให้เราฟังหรอก มันทำให้เรายิ่งรู้สึกว่า ปส จงใจเว้นระยะห่างบางอย่างกับเรา
ต่อมาก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราเริ่มใช้คำว่าเกลียดคนแบบนี้ คือ ปส เข้ามาวุ่นวายในส่วนงานของเราจนมีความผิดพลาด พอหัวหน้าถาม กลับบอกว่างานส่วนนี้เราเป็นคนรับผิดชอบ เราเกือบฟิวขาด จึงบอกกับหัวหน้าไปว่า ปส เป็นคนมาทำส่วนนี้ วันนั้นๆ เวลานั้นๆ จน ปส พูดไม่ออก แล้วเราก็พูดใส่ไปตรงๆว่า ไหนๆตอนนี้ ปส ก็ได้ปรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าเราอยู่แล้ว งั้นจัดลำดับขั้นในการตรวจสอบงานเลยดีมั้ย เรา > ปส > หัวหน้า ผิดจุดไหนจะได้แก้กันถูก เพราะถ้าจะมาไม้นี้เราไม่ยอมเหมือนกัน นี่มันหน้าที่การงานของเรา หลังจากนั้นทุกคนตกลง
เวลาผ่านไปจวนจะเข้าเดือนที่3 เหมือนจะไม่มีอะไรแต่ก็มี! ล่าสุด ปส ถามเสียงดังใส่เราลั่นห้องว่าไม่แก้ไขข้อมูลงาน ทั้งๆที่เราทำให้ตั้งแต่วันที่ได้รับมอบหมายแล้ว แต่ ปส ไม่ดูไม่เช็ค เราก้เลยตอบกลับไปแบบเสียงดังเหมือนกันว่า ก็แก้แล้วตั้งแต่วันนั้น ไม่ได้ดูหรอ แล้ว ปส ก้ตะคอกใส่เรา อ้างว่าก็เขาบอกมา เราโคตรฉุน ลืมหรอว่าตัวเองก็มีข้อมูลในส่วนนี้ที่เราส่งให้ตรวจสอบ ทำไมต้องพูดเสียงดังให้คนอื่นเขาได้ยินกันแบบนั้น เราก็เงียบแล้วทำงานต่อ ห้องก็เงียบ หลังจากนั้น ปส ก็ทำเป็นเดินมาแถวๆ โต๊ะเรา เหมือนมาหาของอะไรสักอย่างๆ พอกำลังจะเดินกลับ ปส พูดใส่เราว่า นิสัยเสีย เท่านั้นแหละฉันลุกขึ้นเลยจ้า เราไลน์ไปบอกหัวหน้าว่าวันนี้ขอลานะ เนื่องจากอะไรก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจละกันนะ เอาเป็นว่าลาถูกต้องแหละ แค่ตอนแรกกะไว้ว่าจะไปวันอื่น แต่วันนี้ละกัน ฤกษ์มาละ พอหัวหน้าอนุมัติ เราเก็บของแล้วลุกออกเลย เราคิดว่าเพื่อนร่วมงานคงรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง และ ปส คงรู้ตัว เพื่อนร่วมงานคนนึงถามเราว่า น้อง จะไปไหนหรอ แล้ว ปส ก้พูดต่อทันทีว่า จะไปไหนอะ เราหันกลับไปตอบเพื่อนร่วมงานว่า ลาค่ะ คำเดียวแล้วเดินออกมาเลย
หลังจากเรากลับมาบ้าน ก็เห็นข้อความของ ปส ทักมาว่าไปไหนหรอ เรายังไม่ได้เข้าไปอ่านและคิดว่าจะไม่ตอบกลับ พรุ่งนี้วันจันทร์เราต้องไปทำงานแล้ว ใจท้อมาก ต้องไปรับมือกับคนแบบนี้ เล่าเรื่องมาสะยาวเลยย😅 เอาจริงแค่อยากระบายน่ะ อยากรู้ว่าใครเคยเจอกับคนประเภทนี้บ้าง แล้วรับมือยังไง หรือมีแนวคิดอะไรที่ทำให้เราทำงานได้อย่างสบายใจกับคนแบบนี้บ้างมั้ย เรากังวลนิดๆ ว่าเราจะเดือดร้อนเรื่องงานจากคนๆนี้ บางทีเราก็คิดว่าหรือเราเองที่คิดเยอะไป แต่ ปส ก็ทำให้ชัดเจนทุกครั้งว่าเราไม่ได้คิดเยอะไป
ขอวิธีรับมือเพื่อนร่วมงานแบบนี้หน่อยค่ะ
พอเริ่มงานช่วงแรกเหมือนทุกอย่างจะโอเค แต่ผ่านไปไม่ถึงเดือน ปส ก็เข้ามาบอกกับเราเขาจะลาออก เราตกใจเพราะเรายังไม่เป็นงาน และยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องเรียนรู้จากเขา ต่อมามีการประชุมแผนก เพื่อแบ่งงานเพราะยังมีอีกคนที่เข้าใหม่พร้อมๆเรา หัวหน้าจึงอยากชี้แจงว่าใครต้องรับผิดชอบส่วนไหน พอคุยไปจนจบ เราก็ไม่เห็นเขาพูดถึงส่วนงานของ ปส เพราถ้า ปส จะออก เขาก้ควรจะแจกจ่ายงานในส่วนนั้นมา เรากำลังจะถามว่าส่วนงานของ ปสใครจะรับผิดชอบ ยังไม่ทันพูดว่าแล้วส่วนง… ปส ก็หันมาดุเรา แล้วบอกว่าไม่ต้องพูด พอจบประชุม หัวหน้าก้คุยส่วนตัวกับ ปส เราคิดว่าคงคุยรายละเอียดงานว่าใครจะรับหน้าที่เขา จึงไม่สนใจอะไร พอพักเที่ยงเราก็เลยเขาไปคุยกับ ปส ว่าสรุปออกมั้ย แล้วใครต้องทำงานส่วนของเขา คำตอบคือเขาไม่ออกแล้ว และได้ปรับตำแหน่งในเงินเดือนที่สูงขึ้นเกือบเท่าตัว บอกตรงๆว่าเราดีใจ ที่จะได้เพื่อนเป็นหัวหน้า เราทำงานที่ต้องรับทราบว่าใครได้เงินเดือนเท่าไหร่ ต่อมาเราจึงไปถาม ปส ว่าเขาได้เงินเดือนเท่าไหร่ เพื่อประกอบกับชุดงานของเรา ปส ก็บอกรายละเอียดมาปกติ เหมือนไม่ได้มีอะไร แต่ ปส พูดมาประโยคนึงว่า ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวเขาก็เห็นความสามารถของ เราก็งง ว่าพูดแบบนี้ทำไม แต่เราก็เฉยไปก่อน
ทำงานไปเรื่อยๆจนถึงวันหยุดประจำสัปดาห์ บอกก่อนว่าเราค่อนข้างเป็นคนที่ไม่คุยกับเพื่อนร่วมงานทางโซเชียล เพราะวันหยุดเราจะไม่ตอบแชทที่ทำงานเลย กันเขาเพิ่มงานให้ในวันหยุด แต่วันนั้นอยู่ๆ ปส ก็ส่งคลิปมาให้เรา เราเข้าไปดู กะไว้ว่าจะตอบเพราะเป็นเพื่อนกัน คลิปนั้นเป็นคลิปคนร้องเพลงที่มีเนื้อเพลงประมาณว่าถ้าไม่เจือกเรื่องชาวบ้าน ชีวิตก็ไปต่อไม่ได้ เราตะหงิดใจแล้วเอาให้แฟนดู แฟนก็บอกว่าคงไม่มีอะไรหรอก ปล่อยไปก่อน เราก็ปล่อยแชททิ้งไว้ ไม่ได้ตอบกลับอะไร แต่ความคาใจเราก็เลยแคปทุกอย่างให้เพื่อนสนิทดูที่ชื่อ พพ และเล่าทุกอย่างที่เจอมาให้ พพ ฟัง เราโทรคุยกันนะ
สิ่งที่ พพ ตอบกลับหลังจากฟังเราพูดจบคือ หัวเราะ แล้วพูดว่า กูว่าแล้ว แล้วมันก็เล่าว่า ไม่รู้หรอว่ามันเป็นคนแบบนี้ กูเจอมาหมดแล้วเพื่อน แล้วมันเล่าว่า ปส เป็นคนที่เจ้ายศเจ้าอย่าง ใครจะดีกว่าไม่ได้เลย ฉันต้องที่หนึ่ง ฉันต้องคือที่ เท่านั้น เราก็เลยเอ๊ะเรื่องนึง แล้วคิดตาม มันก็อาจเป็นไปได้ เพราะตอนแรกที่เข้ามาทำงานแรกๆ เพื่อนร่วมงานคนอื่นมักจะชอบเรียกเราว่า คนสวย (เราก็ไม่ได้หน้าตาดีขนาดนั้น แต่พูดด้วยสัจจริงว่าไม่แย่) ซึ่งเวลาใครเรียกแบบนั้นมันก้ต้องยิ้มยินดีอยู่แล้วป่ะ และเราก็เรียกคนอื่นในทางบวกด้วยเหมือนกัน แล้วพอมีใครมาติดต่องานส่วนของเราผ่าน ปส เรามักจะได้ยิน ปส พูดว่ากระแทกใส่คนนั้นว่า เอาไปให้คนสวยเขานู้น คนสวยนั่งอยู่นู้นจ้า เราจึงเก็บทุกอย่างไว้ในใจ ดูท่าทีไปก่อน ทำงานต่อไป
ผ่านไปไม่กี่วัน ปส ก็เข้ามาคุยกับเราแล้วบอกว่า ปส ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเราเป็นเพื่อนกัน เพราะถ้าเกิดความเสียหายขึ้น ปส จะเดือดร้อนไปด้วย เราก้ถามกลับไปว่าแล้วหัวหน้าล่ะ ปส บอกว่าไม่เป็นไร ให้เขารู้แค่คนเดียวพอ แต่ในใจเราคิดว่าคนอื่นน่าจะรู้แล้วล่ะเพราะที่ผ่านมาก็คุยกูกันตลอด เราเริ่มปรึกษาเพื่อนสนิทอีกคน ชื่อย่อ กล คำตอบที่ได้คือ ไม่รู้หรอหรอว่า ปส มันเหมือนเป็นไบโพลาร์ นิสัยก็พูดตรงกับที่ พพ เคยบอก สรุปคือเพื่อนทุกคนรู้ แต่ฉันไม่รู้ จะบอกว่าไม่ใส่ใจก็ได้เพราะเราไม่ค่อยยุ่งกับใคร เพื่อนสนิทก็มีไม่กี่คน เหมือนเราแชร์ทุกเรื่องที่เจอกับ กล และ พพ แล้วได้คำแนะนำในการทำงานร่วมกันกับ ปส เราก็ใช้ชีวิตต่อ เพื่อนสนิท2คนแนะนำว่าทำงานกับคนแบบนี้อย่าไปเหนือให้มันต้องอิจฉา แต่ทำงานให้รอบคอบ อย่าให้มีอะไรผิดพลาด ทำเหมือนไม่ได้ติดใจอะไร ใช้ชีวิตปกติ เราทำแบบนั้นมาตลอดจนเข้าเดือนที่2 ของการทำงาน เจอ ปส ผีเข้าผีออก อยู่เรื่อยๆ ทำใส่เราบ้าง ใส่คนอื่นบ้าง จนเราเอือมที่ต้องทำงานกับคนแบบนี้ แต่เราก็ทน พยายามทำเฉย ไม่ให้เขารู้ว่าในใจเราคิดอะไร
มีวันนึงเราจะไปซื้อกาแฟตอนพักเที่ยง จึงถามเพื่อนร่วมงานว่ามีใครจะเอาอะไรมั้ย รวมถึง ปส บ้างก้ฝาก บ้างก้ไม่ฝาก ปส ก็ไม่ฝากบอกว่าไม่อยากกินกาแฟแล้วมันบ่ายละเดี๋ยวนอนไม่หลับจะเวียนหัวจะนั้นจะนี่ เราก้ไม่ได้อะไร พอกลับมาเรากำลังจะลงจากรถ เจอ ปส กลับมาจากพักเที่ยงพอดี เห็น ปส ถือแก้วกาแฟ ความแพ้เสียงในหัวตัวเอง จึงชี้นิ้วไปที่แก้วกาแฟแล้วพูดว่า อ้าว ปส เลิ่กลั่กแต่ก็ยิ้มกลับมาและไม่ตอบอะไร เอาจริงเราคิดนะว่าไม่อยากให้เราซื้อฝากก็พูดว่า ไม่เอา ไม่เป็นไรเฉยๆ ก็ได้ ไม่ต้องชักแม่น้ำทั้งห้ามาเป็นเหตุผลให้เราฟังหรอก มันทำให้เรายิ่งรู้สึกว่า ปส จงใจเว้นระยะห่างบางอย่างกับเรา
ต่อมาก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราเริ่มใช้คำว่าเกลียดคนแบบนี้ คือ ปส เข้ามาวุ่นวายในส่วนงานของเราจนมีความผิดพลาด พอหัวหน้าถาม กลับบอกว่างานส่วนนี้เราเป็นคนรับผิดชอบ เราเกือบฟิวขาด จึงบอกกับหัวหน้าไปว่า ปส เป็นคนมาทำส่วนนี้ วันนั้นๆ เวลานั้นๆ จน ปส พูดไม่ออก แล้วเราก็พูดใส่ไปตรงๆว่า ไหนๆตอนนี้ ปส ก็ได้ปรับตำแหน่งเป็นหัวหน้าเราอยู่แล้ว งั้นจัดลำดับขั้นในการตรวจสอบงานเลยดีมั้ย เรา > ปส > หัวหน้า ผิดจุดไหนจะได้แก้กันถูก เพราะถ้าจะมาไม้นี้เราไม่ยอมเหมือนกัน นี่มันหน้าที่การงานของเรา หลังจากนั้นทุกคนตกลง
เวลาผ่านไปจวนจะเข้าเดือนที่3 เหมือนจะไม่มีอะไรแต่ก็มี! ล่าสุด ปส ถามเสียงดังใส่เราลั่นห้องว่าไม่แก้ไขข้อมูลงาน ทั้งๆที่เราทำให้ตั้งแต่วันที่ได้รับมอบหมายแล้ว แต่ ปส ไม่ดูไม่เช็ค เราก้เลยตอบกลับไปแบบเสียงดังเหมือนกันว่า ก็แก้แล้วตั้งแต่วันนั้น ไม่ได้ดูหรอ แล้ว ปส ก้ตะคอกใส่เรา อ้างว่าก็เขาบอกมา เราโคตรฉุน ลืมหรอว่าตัวเองก็มีข้อมูลในส่วนนี้ที่เราส่งให้ตรวจสอบ ทำไมต้องพูดเสียงดังให้คนอื่นเขาได้ยินกันแบบนั้น เราก็เงียบแล้วทำงานต่อ ห้องก็เงียบ หลังจากนั้น ปส ก็ทำเป็นเดินมาแถวๆ โต๊ะเรา เหมือนมาหาของอะไรสักอย่างๆ พอกำลังจะเดินกลับ ปส พูดใส่เราว่า นิสัยเสีย เท่านั้นแหละฉันลุกขึ้นเลยจ้า เราไลน์ไปบอกหัวหน้าว่าวันนี้ขอลานะ เนื่องจากอะไรก็ละไว้ในฐานที่เข้าใจละกันนะ เอาเป็นว่าลาถูกต้องแหละ แค่ตอนแรกกะไว้ว่าจะไปวันอื่น แต่วันนี้ละกัน ฤกษ์มาละ พอหัวหน้าอนุมัติ เราเก็บของแล้วลุกออกเลย เราคิดว่าเพื่อนร่วมงานคงรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง และ ปส คงรู้ตัว เพื่อนร่วมงานคนนึงถามเราว่า น้อง จะไปไหนหรอ แล้ว ปส ก้พูดต่อทันทีว่า จะไปไหนอะ เราหันกลับไปตอบเพื่อนร่วมงานว่า ลาค่ะ คำเดียวแล้วเดินออกมาเลย
หลังจากเรากลับมาบ้าน ก็เห็นข้อความของ ปส ทักมาว่าไปไหนหรอ เรายังไม่ได้เข้าไปอ่านและคิดว่าจะไม่ตอบกลับ พรุ่งนี้วันจันทร์เราต้องไปทำงานแล้ว ใจท้อมาก ต้องไปรับมือกับคนแบบนี้ เล่าเรื่องมาสะยาวเลยย😅 เอาจริงแค่อยากระบายน่ะ อยากรู้ว่าใครเคยเจอกับคนประเภทนี้บ้าง แล้วรับมือยังไง หรือมีแนวคิดอะไรที่ทำให้เราทำงานได้อย่างสบายใจกับคนแบบนี้บ้างมั้ย เรากังวลนิดๆ ว่าเราจะเดือดร้อนเรื่องงานจากคนๆนี้ บางทีเราก็คิดว่าหรือเราเองที่คิดเยอะไป แต่ ปส ก็ทำให้ชัดเจนทุกครั้งว่าเราไม่ได้คิดเยอะไป