กลางรัตติกาลอันอ่อนโยน —
สายหมอกละมุนคลอเคลียขอบหน้าต่างไม้เก่า
ฉันเอนกายลงบนหมอนแห่งความคิด
ปล่อยดวงใจให้ล่องไหลไปกับเสียงลมหายใจของโลก
ในห้วงนั้น — ความฝัน
เข้ามาโอบกอดฉันอย่างแผ่วเบา
เหมือนหญิงสาวในชุดแพรขาว
ซึ่งถือพู่กันเดินผ่านหมอกแห่งกาลเวลา
เธอวาดรูปฉัน — ด้วยเส้นหมึกแห่งความทรงจำ
ภาพนั้นบิดเบี้ยว…
แต่ก็สวยงามดุจกลีบดอกไม้ที่บานในฤดูอันไม่ควรบาน
เธอหัวเราะอย่างเศร้า
ราวรู้ดีว่าความงามใด ๆ
ล้วนเป็นเพียงพันธนาการอันอ่อนโยนของใจ
ฉันเดินเข้าไปในความฝันนั้น
ถ้อยคำที่ไม่เคยเอื้อนเอ่ย กลับกลายเป็นสายรุ้งบาง ๆ
ทอดข้ามรอยแยกระหว่าง “ความจริง” กับ “จินตนา”
เงาของฉันกับเงาเธอหลอมรวมกัน
จนไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ฝัน
และใครคือเงาของใคร
เมื่อลมยามรุ่งสางพัดผ่าน
ภาพวาดนั้นเริ่มละลาย
เหมือนน้ำหมึกบนกระดาษข้าว
ฉันเห็นความคิดของตนเอง —
พันธนาการแน่นหนาไว้ด้วยเส้นไหมแห่งความหวัง
บางเส้นเปราะ…
บางเส้นอ่อนโยนเกินกว่าจะตัดขาด
ฉันยิ้มให้กับความบิดเบี้ยวของตน
ดังคนจิบชาอุ่นท่ามกลางความหนาว
รู้ดีว่ารสขมที่ติดปลายลิ้น
คือสิ่งเดียวที่ทำให้ความหวานมีความหมาย
และในที่สุด
ฉันก็ยอมให้ความฝัน
พันธนาการฉันไว้อย่างสงบ —
ด้วยโซ่ทองคำแห่งความรักและความหลงใหล
เพราะในห้วงนั้น…
ฉันไม่ต้องเป็นใครอื่น
นอกจาก “เงา” ที่อบอุ่นในแสงแห่งหัวใจตนเอง
“ความฝัน พันธนาการความคิดอันบิดเบี้ยวของฉัน”