บรรลัยวิทยา: รถบัส

ตุลาคมปีที่แล้ว ตอนผมกำลังรอขึ้นเครื่องไปทำงานวิเคราะห์ความเสียหายที่ สปป. ลาว

ข่าวหนึ่งเด้งขึ้นบนหน้าฟีด

“รถบัสไฟไหม้แถวเซียร์รังสิต”

ตอนนั้นผมยังไม่รู้รายละเอียดแต่ก็สงสัยว่า “มันเกิดขึ้นได้ยังไงกันนะ...”

หลังจากเครื่องลงที่สนามบินวัดไต ที่ สปป. ลาว
ผมถึงได้ไล่อ่านข่าว ที่วันนั้นทั้งประเทศไทยมีแต่ความเสีใจ
แล้วหัวใจมันบีบแน่นขึ้นเรื่อย ๆ

ผมคิดในใจว่า ถ้ามีโอกาสผมอยากช่วยทำงานนี้จริง ๆ
สองวันต่อมาระหว่างทำงานก็มีข้อความจากเมืองไทยจากหัวหน้าแจ้งผมว่า

“ทีมพิสูจน์หลักฐานภาค 1 อยากขอให้ช่วยดูเคสนี้หน่อย”

เพราะรู้ว่าทีมผมทำอะไรได้บ้าง เพราะเราเคยช่วยคดีท่อก๊าซระเบิดที่เปร็ง
รวมถึงเคสการทำลายหลักฐานจากคดีฆาตกรรมมาก่อนและคดีอื่น ๆ มาก่อน

และเคสนี้ตำรวจเองสงสัยว่ารถอาจเกิดความเสียหายก่อนเสียการทรงตัวและทำให้เกิดอุบัติเหตุ

วันรุ่งขึ้นหลังกลับไทย ผมกับทีมรีบลงพื้นที่ทันที
ภาพแรกที่เห็นคือกล่องนมของเด็ก ๆ วางเรียงอยู่หน้ารถบัสที่ถูกไหม้...



ผมพูดไม่ออกได้แต่แอบยกแขนเสื้อแอบมาเช็ดน้ำตา

คุณตำรวจเล่าว่า “คุณครูพยายามกอดเด็ก ๆ ไว้จนถึงวินาทีสุดท้าย”

ผมฟังแล้วรู้สึกว่ามันไม่ควรเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริง ๆ

ในวันนั้นผมรู้สึกว่าทุกทีมที่ร่วมกันทำงานกันอย่างเต็มที่และจริงจังเพื่อหาสาเหตุและแนวทางป้องกันเหตุการณ์แบบบนี้อีก

ทีมกู้ภัยจาก กทม. ขนคนเครื่องมือและอุปกรณ์มาช่วยยกรถและอำนวยความสะดวกให้พวกผมทำงานได้อย่างปลอดภัย




ทีมพิสูจน์หลักฐานและตำรวจท้องที่ ช่วยให้ข้อมูลกับทีมผม
รวมถึงช่วยปิดถนนช่วงที่ทีมออกไปสำรวจความสัมพันธ์ระหว่างจุดเกิดเหตุกับวัตถุพยาน

จนวันนั้นถนนเส้นนั้นเงียบกว่าทุกวันที่ผมเคยผ่าน
ผมไม่ได้ยินเสียงแตรรถที่บีบไล่แม้รถจะติดเป็นทางยาว
ผมไม่ได้ยินเสียงบ่นจากประชาชนที่อยู่รอบ ๆ

ผมเชื่อว่าทุกคนในประเทศของเราไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก



หลังตรวจสอบชิ้นงานที่เกิดความเสียหาย
ทีมของเราพบว่าความเสียหายเป็นผลจาก

“การดัดแปลงตัวรถที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิศวกรรม"






ชิ้นส่วนสำคัญถูกดัดแปลงจากการเชื่อมจนทำให้ชิ้นส่วนที่ทำจากเหล็ก
เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างจุลภาค (Microstructure)

เหล็กเปลี่ยนสมบัติจากเหนียวกลายเป็นเปราะและมีรอยร้าวเล็ก ๆ เกิดขึ้นรวมถึงยังมีหลุมสนิมที่เกิดจากชั้นสีที่เคลือบไว้เสียหาย


หลังส่งรายงานผลการวิเคราห์ให้ตำรวจ ไม่นานนักผมถูกเรียกไปให้การ
ไม่ถึงปีเรื่องก็ถึงอัยการและศาล น่าจะเป็นกระบวนการยุติธรรมที่เร็วที่สุดเท่าที่ผมเคยผ่านมา

ทุกฝ่ายตั้งใจเต็มที่เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก
และอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมดีใจคือ

สำนักวิศวกรรม กรมการขนส่งทางบก” ติดต่อมาและสอบถามว่า

“เราจะป้องกันไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกได้ยังไง ?”

ในมุมของผม

คนไทยเราไม่ค่อยรู้จักวัสดุมากนัก
เรามักคิดว่าเหล็กก็คือเหล็ก เชื่อมเผาดัดยังไงก็ได้สมบัติไม่เปลี่ยนแปลง

แต่จริง ๆ แล้ว ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนสมบัติวัสดุได้หมดขึ้นกับกับเงื่อนไข
ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจกฎของเมอร์ฟี่ก็จะทำงาน ความสูญเสียก็จะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ

การแก้ไขจึงจำเป็นต้องให้ความรู้และพัฒนาคนเพื่อให้สามารถปิดความเสี่ยงที่นำไปสู่ความเสียหายได้

และโชคดีที่ผมมีพันธมิตรดีดี ผมจึงมีโอกาสได้เห็น

ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ
สมาคมการทดสอบโดยไม่ทำลายแห่งประเทศไทย
และผู้เชี่ยวชาญการทดสอบโดยไม่ทำลาย (NDT Level III) ที่ค่าตัวการทำงานแต่ละท่านอยู่ที่วันละหลักหมื่น



แต่มาตัวเปื้อนมุดอยู่ใต้ท้องรถ และมาประชุมกันทุกสัปดาห์โดยไม่มีเบี้ยประชุม
มีเพียงพระจันทร์และแสงไฟตอนแทนตอนที่แต่ละคนขึ้นรถกลับบ้าน


แม้งานนี้จะงานที่เกิดขึ้นหลังจากการสูญเสียที่ไม่ควรเกิด

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมดีใจคือ การร่วมมือจากหลายหน่วยงานแม้อาจจะยังไม่สวยงาม
ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ผมก็คิดว่าทุกคนตั้งใจจริง ๆ ที่ทำให้ประเทศนี้ดีขึ้น

และบางทีพระสยามเทวาธิราชที่คุ้มครองพวกเราอยู่จะได้เหนื่อยน้อยลง


#เหล็กไม่เอาถ่าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่