สุขวิชโนมิกส์: แผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการ ปี 2540-2544
บทคัดย่อ
ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ ได้เสนอแนวทางการปฏิรูประบบราชการเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2020 ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 โดยเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เสริมสร้างสิทธิเสรีภาพ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระดับนานาชาติ
สาระสำคัญของแผนแม่บทนี้ประกอบด้วยหลักการใหญ่ 2 ประการ ได้แก่
การปรับบทบาท ภารกิจ และขนาดของหน่วยงานของรัฐ โดยกำหนดวิธีดำเนินการไว้ 12 วิธีการ
การปรับปรุงระบบการทำงานของหน่วยงานรัฐ ซึ่งกำหนดไว้ 10 วิธีการ
ทั้งสองส่วนมีกรอบระยะเวลาดำเนินการรวม 5 ปี และสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในอนาคต เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและความเชื่อมโยงกับนโยบายอื่น ๆ เช่น การปฏิรูปการเมือง การศึกษา และการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม
นอกจากนี้ แผนแม่บทยังยึดหลักประชาธิปไตย โดยมุ่งกระจายอำนาจ ลดการรวมศูนย์จากส่วนกลาง เปิดโอกาสให้ภาคประชาชน ภาคเอกชน และหน่วยงานท้องถิ่นมีส่วนร่วม พร้อมทั้งส่งเสริมคุณธรรม ความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน
การจัดทำแผนแม่บทนี้ได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค รวมถึงได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความยอมรับและการมีส่วนร่วมของสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม
ท้ายที่สุด รัฐบาลขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันผลักดันแผนแม่บทนี้ไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนของประเทศไทยในศตวรรษที่ 21
บทนำ
ประเทศไทยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) โดยยึดตามแนวทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ซึ่งมุ่งเน้นการปฏิรูปสังคมและการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 การปฏิรูประบบราชการจึงเป็นหนึ่งในกลไกหลักที่จำเป็นต่อการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และคุณภาพชีวิตของประชาชน
ในอดีตกว่า 700 ปี ประเทศไทยมีการปฏิรูประบบราชการเพียงสองครั้งที่สำคัญ ได้แก่
ยุคกรุงศรีอยุธยาด้วยระบบจตุสดมภ์
ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พ.ศ. 2435
แต่ในปี 2540 โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากกระแสโลกาภิวัตน์ ความจำเป็นในการปฏิรูประบบราชการให้มีสมรรถนะสูงขึ้นจึงมีความชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลก และสอดคล้องกับการพัฒนาในภาคเอกชนและสังคมโลก
แผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการฉบับนี้ถูกจัดทำขึ้นโดยเน้นการกระจายอำนาจ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย รวมถึงการปรับบทบาทของรัฐให้มีความยืดหยุ่น คล่องตัว โปร่งใส และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ แผนยังประกอบด้วย 2 หลักการใหญ่ คือ
การปรับบทบาท ภารกิจ และขนาดของหน่วยงานรัฐ (12 วิธีการ)
การปรับปรุงระบบการทำงานของรัฐ (10 วิธีการ)
โดยมีระยะเวลาดำเนินการรวม 5 ปี และสามารถปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการเมือง และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
การจัดทำแผนแม่บทนี้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี จึงถือเป็นแผนที่มีความพร้อมทั้งในด้านเนื้อหาและการยอมรับจากสังคม
สุดท้ายนี้ ความสำเร็จของแผนแม่บทจะเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน ประชาชน สื่อมวลชน และฝ่ายการเมือง เพื่อร่วมกันเปลี่ยนผ่านระบบราชการของไทยให้เข้มแข็ง ทันสมัย และเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
วรรณกรรมปริทัศน์
1. แนวคิดสำคัญ
เนื้อหาสาระในเอกสารนี้สะท้อนให้เห็นว่า การปฏิรูประบบราชการ เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) โดยมุ่งหวังให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นธรรม และสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในบริบทของโลกาภิวัตน์
2. กรอบแนวคิดและบริบท
สารฉบับนี้อ้างอิงจาก แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (เริ่มใช้ 1 ตุลาคม 2539) ซึ่งมุ่งเน้นการปฏิรูปสังคมและการจัดระเบียบประเทศ
ระบบราชการไทยในอดีตถูกปฏิรูปเพียง 2 ครั้งสำคัญ ได้แก่ ระบบจตุสดมภ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และการปรับโครงสร้างในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
โลกาภิวัตน์เป็นตัวเร่งให้การปฏิรูประบบราชการต้องดำเนินอย่างจริงจัง เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
3. สาระสำคัญของแผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการ
ประกอบด้วย 2 หลักการหลัก:
ปรับบทบาท ภารกิจ และขนาดของหน่วยงานรัฐ (12 วิธีการ)
ปรับปรุงระบบการทำงานของรัฐ (10 วิธีการ)
ดำเนินการภายในกรอบระยะเวลา 5 ปี
มุ่งให้เกิด “ระบบราชการที่มีสมรรถนะสูง” เป็นมิตรกับประชาชน และรองรับการแข่งขันในระดับภูมิภาคและโลก
4. ความสำคัญในเชิงนโยบาย
การกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น
การเปิดระบบราชการให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
การรับฟังความคิดเห็นผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์อย่างเป็นระบบ
5. จุดเด่นของวรรณกรรม
แสดงวิสัยทัศน์ของผู้นำระดับสูงที่มองเห็นบทบาทของ “ระบบราชการ” ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ
เนื้อหามีลักษณะเป็นทั้งเอกสารนโยบายและวาทกรรมทางการเมือง ที่สร้างความเชื่อมั่นและแรงจูงใจให้แก่ทุกภาคส่วน
ใช้ภาษาทางการ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วม และการต่อยอดนโยบายอย่างต่อเนื่อง
6. ข้อเสนอแนะเชิงวิเคราะห์
เอกสารนี้สะท้อนเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในช่วงปลายทศวรรษ 2530 ต่อการสร้างรัฐที่ทันสมัย มีความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ตามมา คือการนำแผนไปสู่การปฏิบัติจริง ซึ่งต้องอาศัยกลไกติดตาม ประเมินผล และความต่อเนื่องทางนโยบาย
การแปลงวิสัยทัศน์ระดับชาตินี้ลงสู่ระดับปฏิบัติการต้องการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และไม่อาจพึ่งเพียงนโยบายจากเบื้องบนเท่านั้น
ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology)
ในการศึกษาและวิเคราะห์สารของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เรื่อง “การปฏิรูประบบราชการ” ได้ดำเนินการตามแนวทางของวรรณกรรมปริทัศน์ (Literature Review) โดยมุ่งเน้นการสังเคราะห์เนื้อหาและแนวคิดสำคัญจากต้นฉบับ เพื่อให้เข้าใจถึงบริบท นโยบาย เป้าหมาย และกลไกที่ใช้ในการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการของประเทศไทยในช่วงปลายทศวรรษที่ 2530 – 2540
1. ประเภทการศึกษา
เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร (Documentary Research) ที่ใช้ วิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) โดยเฉพาะในลักษณะของวรรณกรรมปริทัศน์ เพื่อถอดรหัสแนวคิดและโครงสร้างทางนโยบายของรัฐจากสารฉบับทางการของผู้บริหารระดับสูง
2. แหล่งข้อมูล
ข้อมูลหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ:
สารจาก ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ
เอกสารแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2539 – 2544)
เอกสารเกี่ยวกับแผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการ
งานวิจัยและบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบราชการและนโยบายสาธารณะ
3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์
ใช้กรอบการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis Framework) โดยมุ่งเน้น:
แนวคิดหลัก (Key Concepts): เช่น การกระจายอำนาจ, ประสิทธิภาพของระบบราชการ, การบริหารจัดการสาธารณะยุคใหม่
เป้าหมายของนโยบาย (Policy Objectives): เช่น การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว, การแข่งขันในเวทีโลก, การยกระดับคุณภาพชีวิต
กลยุทธ์และวิธีดำเนินการ (Strategies & Implementation Methods): เช่น การปรับบทบาทรัฐ, การปรับปรุงโครงสร้าง, การเปิดรับประชาธิปไตย
4. ขั้นตอนการวิเคราะห์
ศึกษาเนื้อหาในสารต้นฉบับอย่างละเอียด
แยกประเด็นหลักและประเด็นรองตามหัวข้อที่ปรากฏ
จัดกลุ่มข้อมูลตามหลักการของการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
สังเคราะห์แนวคิดเพื่ออธิบายความหมาย และเชื่อมโยงกับบริบททางประวัติศาสตร์และนโยบาย
สรุปผลในรูปแบบของวรรณกรรมปริทัศน์ พร้อมข้อเสนอแนะ
5. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ
การตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลกระทำโดย:
การเปรียบเทียบกับเอกสารทางราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
การวิเคราะห์ภายใน (internal consistency) ของสารต้นฉบับ
การตรวจสอบกับแนวคิดเชิงทฤษฎีด้านรัฐประศาสนศาสตร์ และนโยบายสาธารณะ
บทวิเคราะห์ (Analysis)
1. บริบททางประวัติศาสตร์
สารจาก ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของประเทศไทยทั้งในแง่ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์และการแข่งขันในเวทีโลก สารฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักรู้ของรัฐบาลต่อความจำเป็นในการ “ปรับโครงสร้างภาครัฐ” ให้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
2. จุดเน้นทางนโยบาย
แก่นของสารฉบับนี้อยู่ที่การผลักดัน “แผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการ” โดยมีเป้าหมายเพื่อ:
ยกระดับประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2020
กระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น
สร้างระบบราชการที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม
สอดรับกับการปฏิรูปด้านอื่น ๆ ได้แก่ การศึกษา และ สาธารณสุข
นโยบายนี้มุ่งหมายจะ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐแบบรวมศูนย์ ที่ใช้มาตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไปสู่ระบบที่มี ประชาชนมีส่วนร่วม และรัฐมี บทบาทเป็นผู้สนับสนุน (facilitator) มากกว่าผู้ควบคุม
3. การวางยุทธศาสตร์และกลไกการดำเนินการ
สารระบุชัดว่า การปฏิรูปแบ่งออกเป็น 2 แกนหลัก:
การ ปรับบทบาทภารกิจและขนาดของหน่วยงานภาครัฐ (12 วิธีการ)
การ ปรับปรุงระบบการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ (10 วิธีการ)
โครงการทั้งหมดมีกรอบระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี และได้รับการออกแบบให้มี “ความยืดหยุ่น” สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์จริง พร้อมเปิดพื้นที่ให้ ประชาชนและภาคเอกชนมีส่วนร่วม ผ่านกระบวนการ “ประชาพิจารณ์”
4. น้ำหนักของความชอบธรรมและความร่วมมือ
สารพยายามสร้างความชอบธรรมของแผนแม่บทฯ โดยเน้นว่า:
ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี
เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง
มีการมีส่วนร่วมของ “ประชาชน สื่อ ภาคเอกชน และฝ่ายการเมือง” ในทุกขั้นตอน
การสื่อสารลักษณะนี้สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยน “แนวคิดในการบริหารราชการแผ่นดิน” จากระบบบนลงล่าง (top-down) ไปสู่ แนวทางแบบมีส่วนร่วม (participatory governance)
5. ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
แม้สารจะชี้ให้เห็นทิศทางที่ชัดเจนของการปฏิรูป แต่ยังคงมี ประเด็นท้าทายที่ไม่กล่าวถึงโดยตรง ได้แก่:
แรงต้านจากระบบราชการเดิม ที่เคยมีความมั่นคงสูงและเน้นอำนาจรวมศูนย์
การขาดกลไกติดตาม-ประเมินผล ที่เป็นอิสระและโปร่งใส
การเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมองค์กร ที่ต้องอาศัยเวลามากกว่ากรอบ 5 ปี
การสืบทอดแผนงาน โดยรัฐบาลชุดต่อไป ที่อาจมีนโยบายหรือแนวทางที่แตกต่าง
6. ความสำคัญของสารในเชิงสัญลักษณ์
สารฉบับนี้มิใช่เพียงเอกสารทางราชการ หากแต่เป็นการสื่อสาร “เจตนารมณ์ทางการเมือง” (political will) ของรัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านระบอบการบริหารราชการสู่ระบบที่เปิดกว้างและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเน้นให้เห็นถึง การขับเคลื่อนประเทศด้วยวิสัยทัศน์ระยะยาว ซึ่งไม่เคยเป็นแนวทางหลักในระบบราชการไทยมาก่อนหน้านั้น
สรุปการวิเคราะห์
สารจาก ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เป็นหมุดหมายสำคัญของการปฏิรูประบบราชการไทยที่พยายามขยับจากระบบราชการแบบอนุรักษนิยมสู่ระบบที่มีพลวัต ทันสมัย และเปิดรับการเปลี่ยนแปลง มีการวางกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์อย่างมีระบบ พร้อมเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกระดับ อย่างไรก็ตาม การนำแผนสู่การปฏิบัติยังขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของเจตจำนงทางการเมือง และความสามารถในการจัดการกับแรงเสียดทานภายในระบบราชการเดิม
แผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการ ปี 2540 -2544
บทคัดย่อ
ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ ได้เสนอแนวทางการปฏิรูประบบราชการเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2020 ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 โดยเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน เสริมสร้างสิทธิเสรีภาพ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระดับนานาชาติ
สาระสำคัญของแผนแม่บทนี้ประกอบด้วยหลักการใหญ่ 2 ประการ ได้แก่
การปรับบทบาท ภารกิจ และขนาดของหน่วยงานของรัฐ โดยกำหนดวิธีดำเนินการไว้ 12 วิธีการ
การปรับปรุงระบบการทำงานของหน่วยงานรัฐ ซึ่งกำหนดไว้ 10 วิธีการ
ทั้งสองส่วนมีกรอบระยะเวลาดำเนินการรวม 5 ปี และสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในอนาคต เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและความเชื่อมโยงกับนโยบายอื่น ๆ เช่น การปฏิรูปการเมือง การศึกษา และการพัฒนาเศรษฐกิจ-สังคม
นอกจากนี้ แผนแม่บทยังยึดหลักประชาธิปไตย โดยมุ่งกระจายอำนาจ ลดการรวมศูนย์จากส่วนกลาง เปิดโอกาสให้ภาคประชาชน ภาคเอกชน และหน่วยงานท้องถิ่นมีส่วนร่วม พร้อมทั้งส่งเสริมคุณธรรม ความโปร่งใส และประสิทธิภาพในการให้บริการประชาชน
การจัดทำแผนแม่บทนี้ได้ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนทั้งในส่วนกลางและภูมิภาค รวมถึงได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความยอมรับและการมีส่วนร่วมของสังคมไทยอย่างเป็นรูปธรรม
ท้ายที่สุด รัฐบาลขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อร่วมกันผลักดันแผนแม่บทนี้ไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังและต่อเนื่อง เพื่ออนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนของประเทศไทยในศตวรรษที่ 21
บทนำ
ประเทศไทยมีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) โดยยึดตามแนวทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 ซึ่งมุ่งเน้นการปฏิรูปสังคมและการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 การปฏิรูประบบราชการจึงเป็นหนึ่งในกลไกหลักที่จำเป็นต่อการพัฒนาในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และคุณภาพชีวิตของประชาชน
ในอดีตกว่า 700 ปี ประเทศไทยมีการปฏิรูประบบราชการเพียงสองครั้งที่สำคัญ ได้แก่
ยุคกรุงศรีอยุธยาด้วยระบบจตุสดมภ์
ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พ.ศ. 2435
แต่ในปี 2540 โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากกระแสโลกาภิวัตน์ ความจำเป็นในการปฏิรูประบบราชการให้มีสมรรถนะสูงขึ้นจึงมีความชัดเจนมากขึ้น เพื่อให้สามารถแข่งขันในเวทีโลก และสอดคล้องกับการพัฒนาในภาคเอกชนและสังคมโลก
แผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการฉบับนี้ถูกจัดทำขึ้นโดยเน้นการกระจายอำนาจ เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย รวมถึงการปรับบทบาทของรัฐให้มีความยืดหยุ่น คล่องตัว โปร่งใส และตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง
นอกจากนี้ แผนยังประกอบด้วย 2 หลักการใหญ่ คือ
การปรับบทบาท ภารกิจ และขนาดของหน่วยงานรัฐ (12 วิธีการ)
การปรับปรุงระบบการทำงานของรัฐ (10 วิธีการ)
โดยมีระยะเวลาดำเนินการรวม 5 ปี และสามารถปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิรูปการเมือง และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
การจัดทำแผนแม่บทนี้ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี จึงถือเป็นแผนที่มีความพร้อมทั้งในด้านเนื้อหาและการยอมรับจากสังคม
สุดท้ายนี้ ความสำเร็จของแผนแม่บทจะเกิดขึ้นได้จากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน ประชาชน สื่อมวลชน และฝ่ายการเมือง เพื่อร่วมกันเปลี่ยนผ่านระบบราชการของไทยให้เข้มแข็ง ทันสมัย และเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
วรรณกรรมปริทัศน์
1. แนวคิดสำคัญ
เนื้อหาสาระในเอกสารนี้สะท้อนให้เห็นว่า การปฏิรูประบบราชการ เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี พ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) โดยมุ่งหวังให้การบริหารราชการแผ่นดินมีประสิทธิภาพ โปร่งใส เป็นธรรม และสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในบริบทของโลกาภิวัตน์
2. กรอบแนวคิดและบริบท
สารฉบับนี้อ้างอิงจาก แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 (เริ่มใช้ 1 ตุลาคม 2539) ซึ่งมุ่งเน้นการปฏิรูปสังคมและการจัดระเบียบประเทศ
ระบบราชการไทยในอดีตถูกปฏิรูปเพียง 2 ครั้งสำคัญ ได้แก่ ระบบจตุสดมภ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา และการปรับโครงสร้างในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์
โลกาภิวัตน์เป็นตัวเร่งให้การปฏิรูประบบราชการต้องดำเนินอย่างจริงจัง เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
3. สาระสำคัญของแผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการ
ประกอบด้วย 2 หลักการหลัก:
ปรับบทบาท ภารกิจ และขนาดของหน่วยงานรัฐ (12 วิธีการ)
ปรับปรุงระบบการทำงานของรัฐ (10 วิธีการ)
ดำเนินการภายในกรอบระยะเวลา 5 ปี
มุ่งให้เกิด “ระบบราชการที่มีสมรรถนะสูง” เป็นมิตรกับประชาชน และรองรับการแข่งขันในระดับภูมิภาคและโลก
4. ความสำคัญในเชิงนโยบาย
การกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น
การเปิดระบบราชการให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน
การรับฟังความคิดเห็นผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์อย่างเป็นระบบ
5. จุดเด่นของวรรณกรรม
แสดงวิสัยทัศน์ของผู้นำระดับสูงที่มองเห็นบทบาทของ “ระบบราชการ” ในการเปลี่ยนแปลงประเทศ
เนื้อหามีลักษณะเป็นทั้งเอกสารนโยบายและวาทกรรมทางการเมือง ที่สร้างความเชื่อมั่นและแรงจูงใจให้แก่ทุกภาคส่วน
ใช้ภาษาทางการ เน้นย้ำถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วม และการต่อยอดนโยบายอย่างต่อเนื่อง
6. ข้อเสนอแนะเชิงวิเคราะห์
เอกสารนี้สะท้อนเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยในช่วงปลายทศวรรษ 2530 ต่อการสร้างรัฐที่ทันสมัย มีความโปร่งใส และมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ตามมา คือการนำแผนไปสู่การปฏิบัติจริง ซึ่งต้องอาศัยกลไกติดตาม ประเมินผล และความต่อเนื่องทางนโยบาย
การแปลงวิสัยทัศน์ระดับชาตินี้ลงสู่ระดับปฏิบัติการต้องการความร่วมมือจากหลายภาคส่วน และไม่อาจพึ่งเพียงนโยบายจากเบื้องบนเท่านั้น
ระเบียบวิธีวิจัย (Methodology)
ในการศึกษาและวิเคราะห์สารของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เรื่อง “การปฏิรูประบบราชการ” ได้ดำเนินการตามแนวทางของวรรณกรรมปริทัศน์ (Literature Review) โดยมุ่งเน้นการสังเคราะห์เนื้อหาและแนวคิดสำคัญจากต้นฉบับ เพื่อให้เข้าใจถึงบริบท นโยบาย เป้าหมาย และกลไกที่ใช้ในการขับเคลื่อนการปฏิรูประบบราชการของประเทศไทยในช่วงปลายทศวรรษที่ 2530 – 2540
1. ประเภทการศึกษา
เป็นการศึกษาเชิงเอกสาร (Documentary Research) ที่ใช้ วิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) โดยเฉพาะในลักษณะของวรรณกรรมปริทัศน์ เพื่อถอดรหัสแนวคิดและโครงสร้างทางนโยบายของรัฐจากสารฉบับทางการของผู้บริหารระดับสูง
2. แหล่งข้อมูล
ข้อมูลหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ:
สารจาก ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ
เอกสารแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 (พ.ศ. 2539 – 2544)
เอกสารเกี่ยวกับแผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการ
งานวิจัยและบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูประบบราชการและนโยบายสาธารณะ
3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์
ใช้กรอบการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis Framework) โดยมุ่งเน้น:
แนวคิดหลัก (Key Concepts): เช่น การกระจายอำนาจ, ประสิทธิภาพของระบบราชการ, การบริหารจัดการสาธารณะยุคใหม่
เป้าหมายของนโยบาย (Policy Objectives): เช่น การเป็นประเทศพัฒนาแล้ว, การแข่งขันในเวทีโลก, การยกระดับคุณภาพชีวิต
กลยุทธ์และวิธีดำเนินการ (Strategies & Implementation Methods): เช่น การปรับบทบาทรัฐ, การปรับปรุงโครงสร้าง, การเปิดรับประชาธิปไตย
4. ขั้นตอนการวิเคราะห์
ศึกษาเนื้อหาในสารต้นฉบับอย่างละเอียด
แยกประเด็นหลักและประเด็นรองตามหัวข้อที่ปรากฏ
จัดกลุ่มข้อมูลตามหลักการของการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา
สังเคราะห์แนวคิดเพื่ออธิบายความหมาย และเชื่อมโยงกับบริบททางประวัติศาสตร์และนโยบาย
สรุปผลในรูปแบบของวรรณกรรมปริทัศน์ พร้อมข้อเสนอแนะ
5. การตรวจสอบความน่าเชื่อถือ
การตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลกระทำโดย:
การเปรียบเทียบกับเอกสารทางราชการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
การวิเคราะห์ภายใน (internal consistency) ของสารต้นฉบับ
การตรวจสอบกับแนวคิดเชิงทฤษฎีด้านรัฐประศาสนศาสตร์ และนโยบายสาธารณะ
บทวิเคราะห์ (Analysis)
1. บริบททางประวัติศาสตร์
สารจาก ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของประเทศไทยทั้งในแง่ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์และการแข่งขันในเวทีโลก สารฉบับนี้สะท้อนให้เห็นถึงการตระหนักรู้ของรัฐบาลต่อความจำเป็นในการ “ปรับโครงสร้างภาครัฐ” ให้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ
2. จุดเน้นทางนโยบาย
แก่นของสารฉบับนี้อยู่ที่การผลักดัน “แผนแม่บทการปฏิรูประบบราชการ” โดยมีเป้าหมายเพื่อ:
ยกระดับประเทศไทยเป็นประเทศพัฒนาแล้วภายในปี 2020
กระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น
สร้างระบบราชการที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรม
สอดรับกับการปฏิรูปด้านอื่น ๆ ได้แก่ การศึกษา และ สาธารณสุข
นโยบายนี้มุ่งหมายจะ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างรัฐแบบรวมศูนย์ ที่ใช้มาตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไปสู่ระบบที่มี ประชาชนมีส่วนร่วม และรัฐมี บทบาทเป็นผู้สนับสนุน (facilitator) มากกว่าผู้ควบคุม
3. การวางยุทธศาสตร์และกลไกการดำเนินการ
สารระบุชัดว่า การปฏิรูปแบ่งออกเป็น 2 แกนหลัก:
การ ปรับบทบาทภารกิจและขนาดของหน่วยงานภาครัฐ (12 วิธีการ)
การ ปรับปรุงระบบการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ (10 วิธีการ)
โครงการทั้งหมดมีกรอบระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี และได้รับการออกแบบให้มี “ความยืดหยุ่น” สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์จริง พร้อมเปิดพื้นที่ให้ ประชาชนและภาคเอกชนมีส่วนร่วม ผ่านกระบวนการ “ประชาพิจารณ์”
4. น้ำหนักของความชอบธรรมและความร่วมมือ
สารพยายามสร้างความชอบธรรมของแผนแม่บทฯ โดยเน้นว่า:
ได้ผ่านการพิจารณาจากคณะรัฐมนตรี
เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง
มีการมีส่วนร่วมของ “ประชาชน สื่อ ภาคเอกชน และฝ่ายการเมือง” ในทุกขั้นตอน
การสื่อสารลักษณะนี้สะท้อนถึงการปรับเปลี่ยน “แนวคิดในการบริหารราชการแผ่นดิน” จากระบบบนลงล่าง (top-down) ไปสู่ แนวทางแบบมีส่วนร่วม (participatory governance)
5. ความท้าทายเชิงโครงสร้าง
แม้สารจะชี้ให้เห็นทิศทางที่ชัดเจนของการปฏิรูป แต่ยังคงมี ประเด็นท้าทายที่ไม่กล่าวถึงโดยตรง ได้แก่:
แรงต้านจากระบบราชการเดิม ที่เคยมีความมั่นคงสูงและเน้นอำนาจรวมศูนย์
การขาดกลไกติดตาม-ประเมินผล ที่เป็นอิสระและโปร่งใส
การเปลี่ยนผ่านทางวัฒนธรรมองค์กร ที่ต้องอาศัยเวลามากกว่ากรอบ 5 ปี
การสืบทอดแผนงาน โดยรัฐบาลชุดต่อไป ที่อาจมีนโยบายหรือแนวทางที่แตกต่าง
6. ความสำคัญของสารในเชิงสัญลักษณ์
สารฉบับนี้มิใช่เพียงเอกสารทางราชการ หากแต่เป็นการสื่อสาร “เจตนารมณ์ทางการเมือง” (political will) ของรัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านระบอบการบริหารราชการสู่ระบบที่เปิดกว้างและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเน้นให้เห็นถึง การขับเคลื่อนประเทศด้วยวิสัยทัศน์ระยะยาว ซึ่งไม่เคยเป็นแนวทางหลักในระบบราชการไทยมาก่อนหน้านั้น
สรุปการวิเคราะห์
สารจาก ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล เป็นหมุดหมายสำคัญของการปฏิรูประบบราชการไทยที่พยายามขยับจากระบบราชการแบบอนุรักษนิยมสู่ระบบที่มีพลวัต ทันสมัย และเปิดรับการเปลี่ยนแปลง มีการวางกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์อย่างมีระบบ พร้อมเปิดพื้นที่ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกระดับ อย่างไรก็ตาม การนำแผนสู่การปฏิบัติยังขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของเจตจำนงทางการเมือง และความสามารถในการจัดการกับแรงเสียดทานภายในระบบราชการเดิม